พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เล่มที่ ๑ (นอกตำราเรียน)

คำนำ                                                                                     

 

พระราชประวัติสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา                                                                                                                                                                      

บทที่-๑ สายราชสกุลของหม่อมนกเอี้ยง                                                                                                                               

บทที่-๒ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ประสูติที่ จ.สุราษฎรธานี                                                                           

บทที่-๓ ชีวิตวัยเยาว์ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ                                                                                         

บทที่-๔ชีวิตการรับราชการ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ                                                                            

บทที่-๕ พระยาตากสิน อาสา ทำสงครามกับกองทัพพม่า                                                                            

บทที่-๖ สามสหายถูกปลดออกจากราชการ                                                                                                   

บทที่-๗ พระยาราชบังสันสิน ทำสงครามกับกองทัพพม่า                                                                         

บทที่-๘ พระยาจักรีสิน สร้างกองทัพกู้ชาติ ที่เมืองท่าชนะ                                                                       

บทที่-๙ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สมัย ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี                                                    

บทที่-๑๐ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ปราบปราม เจ้าฟ้าจุ้ย                                                           

บทที่-๑๑ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เข้ายึดครอง ราชอาณาจักรละโว้   

                                        

 บรรณานุกรม  

 

 คำนำของผู้เขียน

 

          เนื่องจากผู้เขียนเป็นคนหนึ่งในสายตระกูล ของ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา ราชธิดาพระองค์ที่สอง ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กับ ท่านหญิงวาโลม มเหสีพระองค์แรก ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่มีสายสกุลไม่ห่างไกลมากนัก ทั้งนี้เพราะ มารดาของคุณย่าของผู้เขียน ก็คือ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนก และ บิดาของคุณปู่ของผู้เขียน ก็คือหลานชายของ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนาท ส่วนสายสกุลของคุณตาของผู้เขียนนั้นก็เป็นหลาน ของ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนาท

 ทั้งสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนาท และ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนก ก็คือ พระราชธิดา ของ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา กับ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เป็นที่มาให้ผู้เขียนได้รับรู้เกี่ยวกับ พระราชประวัติ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่แท้จริงมาตั้งแต่วัยเด็ก แต่ข้อมูลที่รับทราบมาจากสายสกุล นั้น ล้วนขัดแย้งกับพระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่เขียนปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลังทั้งสิ้น ผู้เขียนจึงได้พกพาเอาความสงสัยติดตัวมาโดยตลอด ไม่ทราบว่าข้างไหนเป็นจริง และข้างไหนเป็นเท็จ

         ความสงสัยดังกล่าวจึงเป็นที่มาให้ผู้เขียนได้พยามสืบค้นตรวจหาหลักฐานต่างๆ เมื่อประมาณ ๒๐ ปีมาแล้ว แต่เนื่องจากผู้เขียนเป็นวิศวกร มิใช่นักประวัติศาสตร์ จึงต้องใช้เวลาค้นคว้าศึกษาเป็นเวลานานกว่าปรกติ เพราะเหตุที่ผู้เขียนเชื่อว่า ประวัติศาสตร์ คือเรื่องราวต่างๆ ของมนุษย์ชาติที่เกิดขึ้นจริงในอดีต ไม่ใช่เรื่องราวที่ปรุงแต่งขึ้น หรือเรื่องราวที่จงใจสร้างขึ้นใหม่ เพื่อรักษาอำนาจตนเอง และทำลายอำนาจฝ่ายตรงข้าม ผู้เขียนจึงเชื่อว่า ถ้าคนเราทราบเรื่องราวความเป็นจริงในอดีต ก็จะสามารถทำความเข้าใจความเป็นจริงในปัจจุบัน และสามารถวางแผนการทำงานในอนาคต ให้ดีขึ้น มิให้เกิดความผิดพลาดอย่างซ้ำซาก ขึ้นอีก ผู้เขียนจึงได้ใช้เวลายาวนานประมาณ ๕ ปี ทำการรวบรวมพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่แท้จริงขึ้นมาเป็นรูปเล่มจนสำเร็จ เมื่อประมาณ ๑๕ ปี มาแล้ว แต่ได้เก็บต้นฉบับไว้เฉยๆ ยังมิได้นำไปจัดพิมพ์เผยแพร่ แต่ประการใด

 การสืบค้นพระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่เป็นจริงนั้น ต้องสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชนชาติไทยในดินแดนสุวรรณภูมิด้วย เพราะเกี่ยวโยงกับความคิดในการกำหนดยุทธศาสตร์ยุทธวิธีในการทำสงครามกอบกู้เอกราชของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ด้วยทั้งสิ้น อีกทั้งยังต้องสืบค้นสายสกุลบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้อง เช่น สายสกุลของหม่อมนกเอี้ยง สายสกุลของหม่อมอั๋น สายสกุลของเจ้าพระยาจักรีมุกดา สายสกุล เจ้าพระยาโกษาธิบดี(หยางจิ้งจุง) เป็นต้น เพราะสายสกุลดังกล่าว ล้วนเกี่ยวโยงกับพระราชประวัติ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในการสร้างกองทัพกู้ชาติ ซึ่งเป็นกองทัพของขุนนางอำมาตย์ต่างๆ ที่มาร่วมกันสร้างกองทัพขึ้น เพื่อการทำสงครามกอบกู้เอกราช จนสำเร็จ

   ผู้เขียนมีเหตุผลสำคัญ ๒ ประการ ที่ต้องนำต้นฉบับที่เก็บรักษาไว้ในคอมพิวเตอร์ มาจัดพิมพ์ขึ้นมาในปัจจุบัน เหตุผลประการแรก เพราะผู้เขียนอยู่ในวัยชรา อายุ ๖๓ ปีแล้ว เกรงว่าหากผู้เขียนเสียชีวิตไป สิ่งที่ผู้เขียนได้ค้นคว้ารวบรวมไว้จะสูญหายไป เพราะลูกหลานคนรุ่นใหม่ ไม่ค่อยสนใจ

  เหตุผลประการที่สอง ผู้เขียนพิจารณาเห็นว่า ความขัดแย้งระหว่างคนไทยด้วยกันเอง ที่เคยเกิดขึ้นก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่สอง นั้นคล้ายคลึงกับความขัดแย้งของคนไทยด้วยกันเองในปัจจุบัน ที่แต่ละฝ่ายต่างเรียกร้องความสามัคคี แต่ความสามัคคี มิได้เกิดขึ้นจริง ดังนั้นการเหลียวหลังกลับไปมองประวัติศาสตร์ในอดีต ที่เคยมีลักษณะเนื้อหา คล้ายคลึงกันนั้น น่าจะนำมาใช้ประโยชน์ในการวางแผนสร้างความสามัคคีของคนในชาติไทย ในปัจจุบันได้บ้าง ไม่มากก็น้อย ก่อนที่ชาติไทยจะเสียหายไปมากกว่านี้

  หนังสือพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มีเรื่องราวที่มีเนื้อหาจำนวนมาก ผู้เขียนจึงได้จัดแบ่งแยกเนื้อหาต่างๆ ออกเป็น ๓ เล่มๆ แรกเป็นพระราชประวัติพระเจ้าตากสินฯ ในวัยทรงพระเยาว์จนกระทั่งขึ้นครองราชย์สมบัติเป็น สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เล่มที่-๒ เป็นเรื่องราวสมัยที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ขึ้นครองราชย์สมบัติ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี มีพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาที่-๔ และเล่มที่-๓ เป็นพระราชประวัติ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เมื่อถูกยึดอำนาจ จนกระทั่งสวรรคต เมื่อพระชนมายุ ๘๙ พรรษา

       เนื่องจาก ประวัติศาสตร์คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในอดีต การตรวจสอบหลักฐานความเป็นจริงต่างๆ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ของ เรื่องราวในอดีต คือเรื่องราวก่อนเกิดนั้น มิใช่เรื่องง่ายนัก ถ้ามีการปรุงแต่งหลักฐานใหม่ๆ ในภายหลังเพื่อทำลายอำนาจของฝ่ายตรงข้าม และรักษาอำนาจของตนเอง ก็เปรียบเสมือนคนที่ดวงตาเคยดี จะกลายเป็นตาต้อกระจก ตาจะพร่ามัว จนกระทั่งกลายเป็นตาต้อหิน และตาบอดในที่สุด

 หนังสือเล่มนี้อาจจะมีข้อบกพร่องผิดพลาดบ้างไม่มากก็น้อย ผู้เขียนหวังว่า นักศึกษารุ่นใหม่ๆ จะได้ช่วยกันค้นคว้า ต่อยอดการค้นคว้าหาความจริงให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในอนาคต ซึ่งจะทำให้คนไทยมีสายตาที่แจ่มใส สามารถทราบพระราชประวัติที่แท้จริงของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เกิดขึ้นจริงในอนาคต

             สำหรับท่านผู้อ่านที่คิดว่า เรื่องราวที่ผู้เขียน ได้เขียนขึ้นนั้น ไม่น่าเป็นจริง หรือเชื่อว่าเรื่องราวที่ปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลังนั้น น่าเชื่อถือมากกว่า ก็ให้ถือว่า เป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ที่ต้องช่วยกันตรวจสอบหลักฐานเพิ่มขึ้น เพื่อการปรับปรุงให้ดีขึ้น ในอนาคต

 

นายเสนีย์อนุชิต ถาวรเศรษฐ

๕/๕/๒๕๕๕

 

 

 

 

พระราชประวัติ ของ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา โดยสังเขป

 

       สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา เป็นพระราชธิดาพระองค์หนึ่งในพี่น้อง ๖ พระองค์ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กับ ท่านหญิงวาโลม มเหสีพระองค์แรก ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เรียงลำดับดังนี้ คือ เจ้าฟ้าชายไข่แดง สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงโกมล สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา เจ้าฟ้าชายเมฆิน สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสุมาลี และ สมเด็จเจ้าฟ้าชายสิงหรา สำหรับท่านหญิงวาโลม นั้น เป็นลูกครึ่งระหว่างเจ้าชายอาหรับ กับ เจ้าหญิงจีน เป็นชาวจีนมณฑลกวางตุ้ง นับถือศาสนาอิสลาม พระยาจักรี(มุกดา) เป็นผู้สู่ขอให้มาอภิเษกสมรส กับ พระยาตากสิน ตั้งแต่สมัยที่เป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองตาก เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๒๙๘ ขณะนั้นพระยาตากสิน มีพระชนมายุได้ประมาณ ๒๑-๒๒ พรรษา ท่านหญิงวาโลม ได้เปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา ในภายหลัง

        สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา ประสูติที่เมืองตาก เมื่อปี พ.ศ.๒๓๐๑ เป็นช่วงเวลาที่พระเจ้าอุทมพร ขึ้นครองราชย์สมบัติในระยะเวลาสั้นๆ แล้วถูกยึดอำนาจโดยพระเจ้าเอกทัศน์ ในขณะที่พระยาตากสิน เดินทางมาร่วมในพิธีบรมราชาภิเษก ณ กรุงศรีอยุธยา ต่อมาเมื่อเกิดสงครามกับกองทัพพม่า และพระเจ้าอุทมพร ขึ้นครองราชย์สมบัติอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ.๒๓๐๑ พระยาตากสินฯ ต้องออกทำสงครามต่อต้านข้าศึกพม่า พระยาตากสิน จึงต้องส่งท่านหญิงวาโลม พร้อมบุตรธิดา ไปอาศัยอยู่กับหม่อมนกเอี้ยง ณ พระราชวังเจ้าตาก เมืองคันธุลี ส่วนหม่อมนกเอี้ยง ประทับอยู่ที่ พระราชวังดอนชาย เมืองท่าชนะ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา จึงถูกเลี้ยงดู โดยหม่อมนกเอี้ยง มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เป็นที่รักใคร่ ของ หม่อมนกเอี้ยง มาก หลังจากนั้นไม่นาน หลวงพิชัย หรือ หยางจิ้งจุง(จิ้งจุง แซ่หยาง) ได้ไปสร้างอู่ต่อเรืออย่างลับๆ อยู่ที่เมืองคันธุลี ใกล้ๆ พระราชวังเจ้าตาก ห่างจากพระราชวังดอนชาย ประมาณ ๑๐ กิโลเมตร

       ก่อนที่กรุงศรีอยุธยา จะเสียแก่กองทัพพม่า นั้น ประมาณปี พ.ศ.๒๓๐๙ พระยาตากสิน มีตำแหน่งเป็น พระยาจักรีสิน นอกราชการ ได้ทำพิธีมหาไชยาบรมราชาภิเษก ณ ยอดภูเขาสุวรรณคีรี เป็นกษัตริย์ปกครอง ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี มีพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) มีราชธานีอยู่ที่เมืองคันธุลี หม่อมนกเอี้ยง ซึ่งได้เคยถวายที่ดินพระราชวังดอนชาย ให้สร้างเป็นวัดดอนชาย ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๐๓ หม่อมนกเอี้ยง จึงได้นำสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา โยกย้ายไปประทับอยู่ที่พระราชวังเทพนิมิต หรือ วังเจ้าตาก ติดต่อแดนกับ ดอนเจ้าตาก ทางทิศใต้ ของ วัดศรีราชัน(วัดสั่งประดิษฐ์) เมืองคันธุลี

        เมื่อสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) แห่ง ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี นำกองทัพเข้าทำสงครามกอบกู้ดินแดนราชอาณาจักรละโว้ กลับคืนสำเร็จ และได้ใช้กรุงธนบุรี เป็นราชธานี ของ ราชอาณาจักรเสียม-ละโว้(เสียม-หลอ) ก็ได้ทำพิธีมหาไชยาบรมราชาภิเษกขึ้นครองราชย์สมบัติ อีกครั้งหนึ่ง เมื่อปลายปี พ.ศ.๒๓๑๐ มีพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาที่-๔ เป็นที่มาให้ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา พร้อมหม่อมนกเอี้ยง ฯลฯ ได้เสด็จไปประทับที่พระราชวังหลวง กรุงธนบุรี สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา เป็นผู้ดูแลหม่อมนกเอี้ยง ในวัยชรา จนกระทั่งหม่อมนกเอี้ยง สิ้นพระชนม์ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๗ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา จึงได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวของ พระราชประวัติต่างๆ ของหม่อมนกเอี้ยง และ ของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มาโดยตลอด และได้รับการถ่ายทอดสืบทอดต่อๆ กันมาถึงผู้เขียน

     ในระหว่างที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทำสงครามขับไล่กองทัพพม่า ให้ออกจากดินแดนราชอาณาจักรละโว้ และ ราชอาณาจักรข้างเคียง นั้น พระเชษฐา คือ เจ้าชายไข่แดง ซึ่งเป็นผู้ปกครองเมืองถลาง ได้ควบคุมกองทัพไปทำสงครามกับพม่า เพื่อยึดเมืองมะริด และ ตะนาวสี กลับคืน ได้ถูกกองทัพพม่าซุ่มโจมตี หายสาบสูญไปในสงคราม ส่วนสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงโกมล ได้อภิเษกสมรส กับ เจ้าเมืองลพบุรี ต่อมาได้ออกไปทำศึกกับกองทัพพม่า ได้เสียชีวิตในสงครามทั้งคู่ คงเหลือ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา เจ้าชายเมฆิน เจ้าหญิงสุมาลี และ เจ้าฟ้าชายสิงหรา สี่พี่น้องท้องเดียวกัน ที่ยังมีชีวิตอยู่

       เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา มีพระชนมายุได้ ๑๙ พรรษา สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้จัดให้อภิเษกสมรสกับ พระยาจักรีทองด้วง เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๙ เป็นเหตุให้ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้โปรดเกล้าแต่งตั้งให้ พระยาจักรี (ทองด้วง) เป็นเชื้อสายราชวงศ์ เป็นราชบุตรเขย มีพระนามว่า สมเด็จเจ้าฟ้ากษัตริย์ศึก เพื่อเตรียมให้เป็นผู้สืบทอดราชย์สมบัติ ในอนาคต สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้มอบให้ พระยาสรวิชิต(หน) หรือ พระยาคลัง(หน) ไปถ่ายทอดตำนานวรรณคดีจีน สามก๊ก และมอบให้ เจ้าพระยาสรประสิทธิ์ เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ของ ชนชาติไทย ณ เมืองท่าชนะ แต่สมเด็จเจ้าฟ้ากษัตริย์ศึก สนใจแต่การศึกษาวรรณคดีจีนเรื่องสามก๊ก ไม่ค่อยสนใจศึกษาประวัติศาสตร์ชนชาติไทย สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ จึงเรียกสมเด็จเจ้าฟ้ากษัตริย์ศึก และ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา กลับคืนพระราชวังหลวง กรุงธนบุรี

       ในปี พ.ศ.๒๓๒๔ สมเด็จเจ้าฟ้ากษัตริย์ศึก ราชบุตรเขย ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ร่วมกับพวก ได้ทำการก่อการรัฐประหาร สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา ญาติพี่น้อง รวมไปถึง ลูกเมียของขุนนางอำมาตย์ ถูกจับเป็นตัวประกัน เป็นเหตุให้สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ต่อรองให้จับพระองค์ไปเป็นตัวประกัน แทนที่ จึงถูกนำไปขังคุกที่วัดบางยี่เรือ ต่อมา พระอนุชาของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ พร้อมบริวาร ได้ลักลอบขุดอุโมงค์ นำสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ หลบหนีออกจากคุกที่คุมขังที่วัดบางยี่เรือ เป็นผลสำเร็จ

    เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้ากษัตริย์ศึก ขึ้นครองราชย์สมบัติ ได้มีพระราชธิดากับ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา ๒ พระองค์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนาท(หญิงใหญ่) กับ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนก(หญิงเล็ก) ทั้งสองพระองค์มีพระชนมายุต่างกัน ๔ พรรษา แต่สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา ไม่มีพระราชโอรส กับ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ

      เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนาท(หญิงใหญ่) มีพระชนมายุได้ ๑๒ พรรษา เริ่มโตเป็นสาว คือเหตุการณ์ประมาณปี พ.ศ.๒๓๔๔ กรมพระราชวังบวร(บุญมา) ได้สู่ขอสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนาท ไปอภิเษกสมรส ด้วย เพื่ออ้างสิทธิ์ในการสืบทอดราชย์สมบัติ แต่ พระพุทธยอดฟ้าฯ พร้อมขุนนางอำมาตย์ ไม่ทรงเห็นชอบด้วย เพราะต้องการให้ กรมหลวงอิศรสุนทร(พระพุทธเลิศหล้านภาลัย) เป็นผู้สืบทอดราชย์สมบัติ ต่อมา พระพุทธยอดฟ้าฯ พิจารณาเห็นว่า ทั้งสามแม่ลูก อาจจะไม่ปลอดภัย จึงให้ทหารนำสามแม่ลูก เดินทางไปอาศัยอยู่ที่ บ้านทุ่งนาเล เมืองท่าชนะ เจ้าหญิงสองพี่น้อง จึงได้พบกับ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ อีกครั้งหนึ่งในภาพของ หลวงตาผ้าขาว(สิน) ณ เชิงภูเขาพนมเบญจา อ.เขาพนม จ.กระบี่ ในปัจจุบัน

       ที่เมืองท่าชนะ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา ได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า นอบ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนาท เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า เครือ และ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนก เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า เฟือ ต่อมาไม่นาน สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา ได้ส่งสองราชธิดา ไปศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติม กับ หลวงตาผ้าขาว(สิน) ซึ่งประทับอยู่ที่เชิงภูเขาพนมเบญจา เมืองกระบี่ เป็นเวลา ๕ ปี ทำให้สองเจ้าหญิง ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นอย่างดี

เมื่อสองเจ้าหญิงเสด็จกลับมายังเมืองท่าชนะ หลวงตาผ้าขาว(สิน) และ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ได้จัดให้สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนาท อภิเษกสมรสกับ ขุนหลวงประเทศ(หยางฮุ่งเชี่ยน) บุตรชายคนกลาง ของ เจ้าพระยาโกษาธิบดี(หยางจิ้งจุง) มีสายสกุลฝ่ายบุตรชายที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ๔ สายตระกูล คือ ตระกูลถาวรเศรษฐ ตระกูลสุทธิสุวรรณ ตระกูลวนรักษ์ และ ตระกูลพิทักษ์ธรรม ส่วนสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนก ได้อภิเษกสมรสกับ สมเด็จเจ้าฟ้าหนูดำ พระราชโอรส ของ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเป็นพระอนุชา ของ สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีสายสกุลฝ่ายบุตรชายที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน คือ ตระกูล ถาวรเศรษฐ สมเศรษฐ และ ตระกูล แย้มเนตร เป็นต้น ทั้งสองพระองค์ได้โยกย้ายมาอยู่ที่ บ้านใหญ่ เมืองคันธุลี

     ถ้าสืบสายสกุลสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนาท ให้สาวลึกลงไป ก็จะพบความเป็นจริงว่า สมเด็จย่าศรีสังวาล นั้นมิใช่มาจากสายสกุลสามัญชน แท้ที่จริงแล้ว เป็นพระเจ้าหลานเธอ ของ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนาท ทั้งนี้เพราะ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนาท มีบุตรธิดา กับ หยางฮุ่งเชี่ยน(บุตรคนกลางของ หยางจิ้งจง) จำนวน ๔ คน คือ หยางยี่ผ่าง(ช) หยางยี่หยุ่น(ช) หยางยี่เคี่ยน(ช) และ หีต(ญ)

เนื่องจาก หยางยี่หยุ่น นั้นมีภรรยาหลายคน มีภรรยาคนหนึ่งสืบสายสกุลมาจาก กษัตริย์ แห่ง ราชอาณาจักรลาว หยางยี่หยุ่น ซึ่งเปลี่ยนชื่อหลายครั้งนั้น ก็คือ บิดา ของสมเด็จย่าฯ นั่นเอง ส่วนเรื่องราวการสิ้นพระชนม์ ของ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา นั้น เกิดขึ้นภายหลังการจัดงานอภิเษกสมรส ระหว่าง สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนก กับ สมเด็จเจ้าฟ้าหนูดำ(พระยาคอปล้อง) ได้ไม่นาน สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุบผา ก็เจ็บป่วย และสิ้นพระชนม์ ณ เมืองท่าชนะ นั่นเอง

 

เสนีย์อนุชิต ถาวรเศรษฐ

 

 


 

 

 

 

                                                                                              บทที่ ๑

สายราชสกุล ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ

 

 

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นสามัญชน หรือ เชื้อสายราชวงศ์

        ข้อมูลส่วนใหญ่เกี่ยวกับพระราชประวัติของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มักจะถูกเขียนปรุงแต่งขึ้นมาภายหลัง ส่วนใหญ่จะนำข้อมูลมาจากหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ*"๑ หนังสือเล่มนี้นักประวัติศาสตร์ สันนิษฐานว่า ถูกเขียนขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๐ หรือ ระหว่างปี พ.ศ.๒๓๙๔-๒๓๙๘ เนื้อหาบางส่วน ได้ถูกนำไปจัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๑ โดย ก.ศ.ร. กุหลาบ ในวารสารสยามประเภทของท่าน ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๗๔ ได้จดพิมพ์ฉบับสมบูรณ์ขึ้นในงานพระศพของ ม.จ. ปิยะภักดีนารถ สุประดิษฐ์ และถูกนำมาอ้างอิงเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาที่แสร้งยกย่อง บิดเบือนปกปิดข้อมูลจริง และโจมตี กล่าวหา สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ โดยกล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นสามัญชน เป็นลูกเจ๊ก มีมารดาเป็นไทยชื่อ นกเอี้ยง มิได้มีเชื้อสายราชวงศ์แต่อย่างใด

        หนังสือพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่ถูกเขียนปรุงแต่งขึ้นโดย เอี๊ยะมิ้ง และ ป.พิศนาคะ กล่าวว่า พระราชมารดาของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นเชื้อพระวงศ์กรุงเก่า เป็นธิดาผู้ดี ต่อมาถูกส่งไปอยู่ในวัง จึงไปได้เสียกับเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ทำให้ต้องออกจากวัง มาแต่งงานใหม่กับพ่อค้าจีนคนหนึ่ง เมื่อตรวจสอบหลักฐานต่างๆ แล้ว ข้อเขียนนี้ไม่ค่อยได้รับความเชื่อถือ

        หนังสือเกล็ดประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เขียนโดยแม่สงฆ์วรมัย กบิลสิงห์ ซึ่งวางจำหน่ายทั่วไป ในปัจจุบัน เขียนปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลังบันทึกว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นสามัญชน ประสูติที่เมือง สามโคก ปทุมธานี บิดาเป็นชาวจีน แซ่ลิ้ม มารดาชื่อนกเอี้ยง เป็นบุตรนายผลึก นางทองจีบ บิดามารดาเป็น พ่อค้าข้าวสาร เจ้าของโรงสีข้าว

        หลักฐานบันทึกของต่างชาติเกี่ยวกับชาติกำเนิดของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เช่น จดหมายของ บาทหลวงฝรั่งเศส ชื่อ ปาลเลกัวซ์ ลงวันที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๑๑ กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มีเชื้อสายชาติจีน ครึ่งหนึ่ง และเชื้อสายชาติไทย อีกครึ่งหนึ่ง ส่วนบันทึกชาวฝรั่งเศส อีกคนหนึ่งชื่อ ดูแปง บันทึกว่า แม่นกเอี้ยง พระราชมารดาของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มีเชื้อสายจีนด้วย พงศาวดารประเทศเวียตนาม บันทึกว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มีเชื้อสายจีน ใช้แซ่เจิ้ง หรือ แช่แต้

        ส่วนการค้นคว้าของนักประวัติศาสตร์ชาวจีน ชื่อ ต้วนหลีชิง ได้ทำการค้นคว้าเรื่องราวในภายหลัง สรุปว่า พระราชบิดาของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ชื่อนายต้า แซ่ลิ้ม ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า นายหยูง แซ่ลิ้ม หลักฐานต่างๆ ที่กล่าวมา มิได้ระบุให์ชัดเจนว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นสามัญชน หรือ มีเชื้อสาย ราชวงศ์และทำไมเมื่อสายสกุลของพระราชบิดา มีสายสกุล แซ่รม แต่ทำไมสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ใช้สกุลแซ่แต้หรือ แซ่เจิ้ง ที่ปรากฎตามเอกสารต่างๆ ข้อสงสัยเหล่านี้ยังไม่มีผู้ใดให้คำตอบที่ชัดเจนได้ หนังสือเล่ม นี้ผู้เขียนจะเป็นผู้ให้คำตอบเกี่ยวกับความสับสนเกี่ยวกับสองแซ่ ดังกล่าว

        จากบันทึกต่างๆ ที่นำมากล่าวโดยสังเขป ไม่สามารถสรุปได้ว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นสามัญชน หรือ เชื้อสายราชวงศ์ ผู้เขียนในฐานะผู้สืบเชื้อสายราชสกุลสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ และรับทราบเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มาตั้งแต่วัยเยาว์ ได้รับการถ่ายทอดข้อมูลต่างๆ สรุปว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นเชื้อสายราชวงศ์เทียบเท่ากับ หม่อมเจ้า ในปัจจุบัน เนื่องจากพระราช มารดาแม่นกเอี้ยง มีฐานะเป็น พระองค์เจ้า เป็นพระราชธิดาของ สมเด็จเจ้าฟ้าแก้ว พระราชโอรสพระองค์หนึ่งของ สมเด็จพระเพทราชา สืบเชื้อสายราชวงศ์มาจาก สมเด็จพระนเรศวรฯ ซึ่งสืบสายราชวงศ์มาจาก สมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์ ซึ่งเป็นสายราชวงศ์หนึ่ง ของ สายราชวงศ์พระร่วง

 

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สืบสายราชวงศ์มาจาก

สมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์

        มีการเล่าสืบต่อกันมาจากสายราชสกุล สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา ว่า พระองค์เจ้านกเอี้ยง หรือ หม่อมนกเอี้ยง เป็นพระเจ้าหลานเธอ ของ พระเพทราชา ซึ่งเป็นเชื้อสายราชกุลสืบทอดมาจาก มหาจักรพรรดิสมเด็จเจ้าพระยาสุรนทรารักษ์ ซึ่งเป็นมหาจักรพรรดิพระองค์สุดท้าย ของ สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ (เสียม-ละโว้) พระองค์ได้ต่อสู้กับกองทัพมุสลิม ของ นายพลเจิ่งหัว แห่ง มหาอาณาจักรจีน ซึ่งสมคบกับเจ้านครอินทร์ นำกองทัพมุสลิมของนายพลเจิ่งหัว โค่นล้มอำนาจของ สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ เพื่อให้มหาอาณาจักรจีน มีอิทธิพลเหนือดินแดนช่องแคบมะละกา ผลของสงคราม กองทัพมุสลิม ของ นายพลเจิ้งหัว สามารถทำสงครามยึดครอง ราชธานี กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ของ สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ เป็นผลสำเร็จ และสามารถจับกุมมหาจักรพรรดิสมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์ ไปสำเร็จโทษ ณ กรุงนานกิง* ๒ เมื่อปี พ.ศ.๑๙๕๕ เป็นการจบสิ้นการปกครองแบบสหราชอาณาจักร ที่เคยปกครองดินแดนสุวรรณภูมิ ที่สืบทอด อย่างยาวนานมาในอดีต

        มหาจักรพรรดิสมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์เป็นพระราชโอรส ของ พระเจ้าอู่ทอง มีพระนามเดิม ว่า เจ้าชายม้า เนื่องจากชอบทรงม้า เป็นพี่น้องต่างมารดากับ พระราเมศวร ซึ่งสืบสายราชวงศ์มาจาก พระยาศรีไสณรงค์ พระราชโอรสพระองค์หนึ่ง ของ พระยาร่วง เนื่องจากเจ้าชายม้า มีความสามารถในการทำสงครามชนะข้าศึกหลายครั้ง รวมทั้งชนะกองทัพทมิฬอาแจ๊ะ ด้วย จึงถูกประชาชนนิยมเรียกพระนามว่า ตาม้าชนะอาแจ๊ะ และต่อมา สภาโพธิ มีมติให้ดำรงตำแหน่ง จักรพรรดิ แห่ง สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ มี พระนามว่า สมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์ ประชาชนทั่วไปนิยมเรียกพระนามว่า เจ้าจักรพรรดิ ตั้ง พระราชวังอยู่ที่เกาะกันไพรี เมืองคันธุลี โดยกฎมณเฑียรบาลแล้ว สมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์ จะต้องสืบ ทอดตำแหน่ง มหาจักรพรรดิ แห่ง สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ เมื่อพระเจ้าอู่ทองเสด็จสวรรคต หากสภาโพธิเห็นชอบ

        เจ้าชายตาม้าชนะอาแจ๊ะ หรือ สมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์รพระราชโอรสที่สำคัญ ๒ พระองศ์ คือ พระยามานะชวาลา ว่าราชการอยู่ที่บริเวณภูเขาชวาลา เมืองคันธุลี และ พระยาชวาแผลด มีที่ว่าราชการ อยู่ที่พระราชวังของขุนศรีธรรมโศก บริเวณวัดเวียง เมืองศรีโพธ(ไชยา) พระราชโอรสที่สำคัญของพระยาแผลด คือ พระยาชวาแผลง ซึ่งเป็นพระราชบิดาของขุนพิเรนเทพ ซึ่งเป็นพระราชบิดาของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สายราชวงศ์นี้มีสายราชวงศ์เชื่อมต่อมาถึง เจ้าศรีศิลป์ ต่อเชื่อมมาถึง พระเพทราชา และ มาถึงพระองค์เจ้านกเอี้ยง ซึ่งเป็นพระราชมารดาของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ

        ก่อนที่พระเจ้าอู่ทอง จะเสด็จสวรรคต นั้น พระองค์ไม่ไว้วางพระทัย ขุนหลวงพะงั่ว ซึ่งสมคบกับเจ้านครอินทร์ไปสร้างความสัมพันธ์อย่างลับๆ กับ มหาอาณาจักรจีน เพื่อสร้างความอ่อนแอให้กัน สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ เพื่อให้มหาอาณาจักรจีน เข้าไปมีอิทธิพลเหนือดินแดนช่องแคบมะละกา จึงได้โปรดเกล้าให้พระราเมศวร ขึ้นเป็นกษัตริย์ ราชอาณาจักรละโว้ แทนที่ ขุนหลวงพะงั่ว ซึ่งเป็นมหาอุปราช ว่า ราชการอยู่ที่กรุงละโว้ ดังนั้นเมื่อพระเจ้าอู่ทอง เสด็จสวรรคต พระราเมศวรจึงขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นมหาราชาแห่ง ราชอาณาจักรละโว้ซึ่งเป็นอาณาจักรหนึ่งของ สหราชอาณาจักรเสียม-หลอเป็นเหตุให้ขุนหลวง พะงั่วนำกองทัพจากเมืองลพบุรีเข้ายึดอำนาจกรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองราชอาณาจักรละโว้แล้ว เกลี้ยกล่อมให้พระราเมศวร ไปดำรงตำแหน่งมหาอุปราชแห่ง ราชอาณาจักรละโว้ ว่าราชการอยู่ที่เมืองละโว้ แทนที่ หลังจากนั้น ขุนหลวงพะงั่ว ก็ประกาศแยกราชอาณาจักรละโว้ ออกจากการปกครองของ สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ เป็นที่มาให้เกิดสงครามแย่งชิงอำนาจระหว่าง ราชอาณาจักรละโว้ กรุงศรีอยุธยา กับ สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงคันธุลี เรื่อยมา

        เมื่อขุนหลวงพะงั่ว สวรรคต สมเด็จพระราเมศวร ได้เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นกษัตริย์ ราชอาณาจักรละโว้และพยายามนำ ราชอาณาจักรละโว้กรุงศรีอยุธยาให้ขึ้นต่อการปกครอง ของ สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงคันธุลี อีกครังหนึ่ง แต่ต่อมาเจ้านครอินทร์ เข้าขัดขวาง และยังยกกองทัพเข้ายึดครองกรุงศรีอยุธยา อีกด้วย เป็นเหตุให้สมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์ ต้องยกกองทัพจากกรุงคันธุลี เข้า คุ้มครองราชอาณาจักรละโว้ แต่ต่อมาไม่นานพระราเมศวร ก็ก่อกบฏ ประกาศแยกราชอาณาจักรละโว้ออก จากการปกครองของ สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ อีกครั้งหนึ่ง โดยสืบทอดราชการมาถึง พระรามราชา พระราชโอรสของ สมเด็จพระราเมศวร ขึ้นครองราชย์สมบัติก็แย่งชิงอำนาจกับ เจ้านครอินทร์ ซึ่งประกาศเป็น กษัตริย์ปกครอง ราชอาณาจักรละโว้ มีราชธานีอยู่ที่เมืองสุพรรณบุรี โดยการสนับสนุนจากกองทัพนายพล เจิ้งหัว แห่ง มหาอาณาจักรจีน เป็นที่มาให้ สมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์ ต้องยกกองทัพมาทำสงคราม ปราบปรามพระรามราชา และ เจ้านครอินทร์ ที่กรุงศรีอยุธยา เป็นที่มาให้นายพลเจิ้งหัว นำกองทัพเรือเข้ายึด ครองกรุงคันธุลี*"๓ ผลของสงครามครั้งนั้น พระยามานะชวาลา สวรรคต ในสงคราม

        เมื่อสมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์ ทราบข่าว จึงยกกองทัพจากกรุงคันธุลี ไปขับไล่กองทัพของนาย พลเจิ้งหัว และเป็นที่มาให้สมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์ ต้องย้ายราชธานี จาก เมืองคันธุลี ไปตั้งพระราชวังหลวง อยู่ที่พระราชวังเดิมของขุนศรีธรรมโศก บริเวณวัดเวียง เมืองศรีโพธิ์(ไชยา) ซึ่งเป็นที่ว่าราชการ ของ พระยาแผลด ซึ่งประชาชนให้สมยานามใหม่ว่า พ่อพระยาปีนไฟ

        ต่อมา เจ้านครอินทร์ ได้สมคบกับฮ่องเต้ แห่ง มหาอาณาจักรจีน โดยได้นำกองทัพเรือใหญ่ เข้า โจมตีกรุงศรีโพธิ์(ไชยา) และสามารถยึดครองกรุงศรีโพธิ ได้สำเร็จเมื่อปี พ.ศ.๑๙๕๕ สมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์ ถูกจับคุม และถูกนำไปสำเร็จโทษ ที่กรุงนานกิง ผลของสงครามครั้งนั้น ทหารไทยบาดเจ็บล้มตายไปจำนวนมาก จึงเกิดแม่ม่าย จำนวนมากเช่นกัน ทหารจีนมุสลิม เข้าข่มขืนหญิงไทย ตามใจชอบ*' เจ้านครอินทร์ ได้สั่งให้รื้อทำลายกำแพงเมืองกรุงศรีโพธิ์ นำไปใช้ที่กรุงศรีอยุธยา พร้อมกับกวาดต้อนประชาชน ไปตั้งรกรากที่ บางพลัด เมืองธนบุรี คำว่า บางพลัด จึงหมายถึง ชาวเสียม จากกรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ที่พลัดพรากถิ่นที่อยู่เดิมเนื่องจากพายแพ้สงคราม ส่วนพระยาแผลด หรือ พ่อพระยาปืนไฟ สามารถหลบหนีไปได้ และพยายามเข้ามารื้อฟื้นกรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ขึ้นใหม่โดยได้ตั้งที่ว่าราชการอยู่ที่บริเวณ ดอนบ่อกร้อ ใกล้วัดไชยาราม และสืบทอดมาถึงบุตรชาย คือ พระยาแผลง เป็นผู้ปกครอง กรุงศรีโพธิ์ ต่อมา และได้ตั้งตัว เป็นมหาจักรพรรดิ ของ สทราชอาณาจักรเสียม-หลอ อีกครั้งหนึ่ง

        ขุนพิเรนเทพ และ ขุนอินทรเทพ เป็นพระราชโอรส ของ พระยาชวาแผลง ที่พยายามฟื้นฟู สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ ขึ้นมาอีกครั้งหนื่ง โดยได้ไปตั้งราชธานีที่ กรุงคันธุลี ต่อมา ในปี พ.ศ.๒๐๙๐ สุลต่านอลาดิน เรียยัต ชาห์ อัลกาแฮ แห่ง อาณาจักรทมิฬอาแจ๊ะ เกาะสุมาตรา สมคบกับทมิฬโจฬะ แห่ง ราชอาณาจักรพม่า ยกกองทัพเข้าทำสงครามยึดครองแว่นแคว้นต่างๆ ของ ราชอาณาจักรมาลัยรัฐ และ ราชอาณาจักรเสียม กรุงชวา(คันธุลี) เป็นเหตุให้ พระยาชวา-แผลง ซึ่งประกาศตัวเป็น มหาจักรพรรดิ แห่ง สหราชอาณาจักรเสียม กรุงชวา(คันธุลี) ต้องทำสงครามต่อต้าน ผลของสงคราม พระยาชวาแผลง พ่ายแพ้สงคราม ต้องสวรรคต ในสงคราม พระราชโอรส ๒ พระองค์ คือ ขุนพิเรนเทพ และ ขุนอินทรเทพ ต้องหลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่ ดอนบ่อกร้อ ดอนไชยา เมืองศรีโพธิ์(ไชยา) จนกระทั่งสงครามสงบ จึงเข้าจับช้างเผือก และนำไปถวายแก่ พระเทียนราชา กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ในเวลาต่อมา จนกระทั่งพระเทียนราชา ได้รับพระนามใหม่ว่า พระเจ้าช้างเผือก ในเวลาต่อมา จากที่กล่าวมาจะเห็นว่า สายราชวงศ์ของ มหาจักรพรรดิสมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์จึงได้สืบทอดสายราชวงศ์มาถึง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สืบทอดมาถึง สมเด็จพระเพทราชา และสืบทอดมาถึง สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ

 

สมเด็จพระนเรศวร ฯ สืบสายราชสกุลมาจาก

สมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์

        มีเรื่องเล่าสืบทอดต่อๆ กันมา เรื่องช้างเผือกที่ขุนพิเรนเทพ และ ขุนอินทรเทพ นำไปถวายแก่ พระเทียนราชา นั้น สายตระกูลสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวดังกล่าว สรุปว่า ขุนพิเรนเทพ และ ขุนอินเทพ ต้องการรื้อฟื้นอำนาจของสายราชวงศ์สมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์ ซึ่งถูกแย่งชิงอำนาจโดยเจ้านครอินทร์ จึงใช้ช้างเผือก เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ นำช้างเผือกไปถวายพระเทียนราชา เรื่องราวเกี่ยวกับช้างเผือกนั้น มีเรื่องราวสืบทอดมาตั้งแต่สมัยมหาจักรพรรดิพ่อมาฆะ ปกครอง สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) คือเหตุการณ์ตอนปลายของ สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ซึ่งปกครอง โดย มหาจักรพรรดิพ่อมาฆะ พระราชบิดาของ พระยาโรจนฤทธิ์(พระยาร่วง)

        เหตุการณ์สมัยนั้น พระเจ้าชัยวรมันที่-๗ แห่ง ราชอาณาจักรโจฬะ(เขมร) ได้ร่วมกับกองทัพ อาณาจักรชนชาติทมิฬโจฬะ หลายๆ ราชอาณาจักร ทำสงครามเข้ายึดครองราชอาณาจักรต่างๆ ภายใต้การ ปกครองของสหราชอาณาจักรเสียม-หลอแม้กระทั่งราชอาณาจักรละโว้ ก็ตกไปอยู่ภายใต้การปกครอง ของ พระเจ้าชัยวรมันที่-๗ จนกระทั่งเชื้อสายราชวงศ์กษัตริย์ราชอาณาจักรละโว้ ได้อพยพไพร่พลไปตั้งฐานที่มั่นที่ปากแม่น้ำโพธิ์ เพื่อต่อสู้กับกองทัพโจฬะ และสามารถขับไล่กองทัพโจฬะ ให้ต้องพ่ายแพ้สงคราม ต้องถอยทัพกลับไป เป็นที่มาให้เกิด อาณาจักรโจรลี้โพธิ์(จดหมายเหตุจีน เรียกชื่อว่า เจนลี่ฟู) ณ ปากแม่นํ้าโพธิ์ ขึ้นมาในช่วงเวลาดังกล่าว

        ต่อมา ราชอาณาจักรโจรลี้โพธิ์ ดังกล่าวยังถูกกองทัพโจฬะ(เขมร) ยกกองทัพเข้ารุกรานอีกหลายครั้ง จึงต้องยายราชธานี ของ ราชอาณาจักรโจรลี้โพธิ์ ไปตั้งอยู่ที่ เมืองกำแพงเพชร และย้ายไปยัง กรุงสุโขทัย อีกครั้งหนึ่งในเวลาต่อมา เนื่องจากราชธิดา ของ กษัตริย์ราชอาณาจักรโจรลี้โพธิ์ พระองค์หนึ่ง คือ พระนางจันทร์นาค เป็นมเหสีฝ่ายซ้าย ของ มหาจักรพรรดิพ่อมาฆะ โดยมีพระราชโอรสองค์หนึ่ง คือ พระยาโรจน์ฤทธิ์(พระร่วง) เมื่อโตขึ้นได้ไปอภิเษกสมรสกับ เจ้าหญิงสร้อยสุวรรณ ราชธิดาของ พระยาพนมศิริชัย มหาราชา แห่ง ราชอาณาจักรโจรลี้โพธิ์ กรุงซากังราว(กำแพงเพชร) ได้รับโปรดเกล้าให้ไปเป็นเจ้าเมืองปกครอง เมืองพังงา ในเวลาต่อมา

        เหตุการณ์เมื่อปี พ.ศ.๑๗๕๘ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ แห่ง สหราชอาณาจักรโจฬะ(เขมร) สามารถส่ง กองทัพเข้ายึดครอง กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ราชธานี ของ สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ เป็นผลสำเร็จ*-๕ สามารถปล้นทรัพย์สินต่างๆ ออกไปเป็นจำนวนมาก ได้เผาพระราชวังหลวง เผาวัดธารน้ำใจฯ(วัดเฉิงเทียน วันชู) ทำการกวาดต้อนเชลยศึก ไปอาศัยอยู่ที่ เมืองเสียมเรียบ และ เสียมราษฎร์ เป็นจำนวนมาก ขณะนั้น มหาจักรพรรดิพ่อมาฆะ ติดราชการสงครามอยู่ที่ เกาะศรีลังกา กลุ่มขุนนางอำมาตย์ กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ที่พ่ายแพ้สงครามต้องอพยพไพร่พล พร้อมกับนำเทวรูป พระพุทธสิหิงส์ข้ามไปยัง แคว้นพังงา แล้วนำลงเรือมุ่งหน้าไปยัง ภาคใต้ ของ ราชอาณาจักรศรีลังกามหาจักรพรรดิพ่อมาฆะจึงต้องลี้ภัยสงคราม ณ เกาะศรีลังกา โดยได้ไปปกครองแคว้นราชารัฐ ทางภาคใต้ ของเกาะศรีลังกาพร้อมกับนำ พระพุทธสิหิงส์ ไปรักษาไว้ที่ เกาะศรีลังกาด้วย แต่เนื่องจาก ประชาชนชาวศรีลังกา ไม่ยอมต้อนรับว่าเป็นกษัตริย์ของตน กลับยอมรับ พระเจ้านิสสังกะมัลละ โดยมี เมืองโปโลนนุวะปุระ เป็นราชธานี ของ ราชอาณาจักรศรีลังกา ในขณะนั้น

        ผลของสงครามครั้งนั้น ทำให้พระราชวังหลวงของ สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ ที่ตั้งอยู่ที่บริเวณ เกาะดอนขวาง บริเวณรอบๆ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) จึงร้างไป ช้างเผือก ที่เป็นช้างศึก ได้หลบหนีเข้าป่า ต่อมาได้มารวมตัวอยู่ในพื้นที่บางยาง ซึ่งเป็นที่ตั้งวัดธารน้ำใจฯ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขานํ้าร้อน)ช้างเผือกเหล่านั้นไม่ยอมให้ผู้ใดควบคุม

        ต่อมาพระยาโรจน์ฤทธิ์ เจ้าเมืองพังงา ทราบเรื่อง จึงนำกองทัพเข้ามาขับไล่ทหารโจฬะ(เขมร) ให้ ออกไปจากกรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ได้มาพบช้างเผือกจำนวนมากรวมตัวอยู่ที่บางยาง จึงได้พยายามเข้าจับช้าง ดังกล่าวเข้าไปควบคุม ด้วยการใช้เชือกโรยตัวจากต้นยาง แล้วร่วงลงมาขึ่คอช้าง เพื่อควบคุมช้างศึกดังกล่าว จนสำเร็จ เป็นที่มาให้พระยาโรจน์ฤทธิ์ มีพระนามใหม่ที่ประชาชนเรียกว่า พระยาร่วง ช้างศึกเหล่านั้นถูกควบคุมไปเลี้ยงไว้ที่ทุ่งพระยาชนช้าง เมืองคันธุลี ต่อมาช้างบางเชือกถูกส่งไปใช้ทำศึกที่ กรุงสุโขทัย ช้างอีกบางส่วนได้ขยายพันธุ์ที่ทุ่งพระยาชนช้าง เป็นจำนวนมาก คงมีช้างเผือกบางเชือกที่หลบหนีไปอยู่ในป่า ได้ขยายพันธุ์ให้ขุนพิเรนเทพ นำไปถวายพระเทียนราชา ในเวลาต่อมา

        หลังจาก พระราชวังหลวง ซึ่งตั้งอยู่ที่ บริเวณดอนนพไชย ทางทิศเหนือของฎเขาสุวรรณคีรี(ภูเขานํ้าร้อน)ถูกกองทัพข้าศึกของพระเจ้าชัยวรมันที่-๗ เผาร้างไป ก็ได้มีพระธุดงค์ องค์หนึ่ง เดินธุดงค์มาพบกองอิฐพระราชวังหลวงที่คงเหลือจากการถูกเผาไหม้จึงได้ใช้สถานที่ดังกล่าวสร้างเป็นวัดขึ้น เรียกชื่อว่า วัดนพ ต่อมาในรัชสมัยของ มหาจักรพรรดิสมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์ มาใช้พระราชวังขุนศรีธรรมโศก บริเวณวัดเวียง ซึ่งมีกำแพงเมืองล้อมรอบ เป็นที่ตั้งพระราชวังหลวง เมื่อถูกกองทัพจีนแขกมุสลิมของนายพลเจิ้งหัว เข้าล้อมเมืองศรีโพธิ์(ไชยา) อยู่นั้น กองทัพแขกมุสลิม ของ นายพลเจิ้งหัว สามารถยึดครองเมืองศรีโพธิ์ จนสำเร็จ ทหารจีนแขกมุสลิม พยายามเข้าเผาวัดนพ หลายครั้งแต่มีช้างเผือก ออกมาขับไล่ช้าศึก วัดนี้ จึงไม่ถูกเผา จนกระทั่งวัดนพมีเจ้าอาวาดต่อเนื่องมาถึง ๔ องค์

        ต่อมาสมัยพระยาชวาแผลง พ่ายแพ้สงครามต่อกองทัพทมิฬอาแจะ และสวรรคตในสงคราม ได้มีฝูงช้างเผือกตกมัน ได้ออกไปรื้อถอนทำลายวัดนพจนร้างไป ขุนพเรนเทพ และ ขุนอินทรเทพ พระราชโอรส ของ พระยาชวาแผลง เป็นผู้จับฝูงช้างเผือกเหล่านั้น นำไปเลี้ยงดูอยู่ที่ทุ่งพระยาชนช้าง เมืองคันธุลี และต่อมา ได้นำไปถวายพระเทียนราชา เป็นที่มาให้พระเทียนราชา มีพระนามใหม่ว่า พระเจ้าช้างเผือก

        เมื่อขุนพิเรนเทพ นำช้างเผือกหลายเชือกไปถวาย จึงได้ไปรับราชการกับพระเทียนราชา ณ กรุงศรีอยุธยา ก็ได้อภิเษกสมรสกับ พระนางวิสุทธิกษัตรี พระราชธิดาของพระเทียนราชา ได้ไปปกครองเมือง พิษณุโลก มีพระราชโอรส ๒ พระองค์ คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช กับ สมเด็จพระเอกาทศรถ ส่วนขุน อินทรเทพ ได้รับโปรดเกล้าให้กลับมาปกครองเมืองนครศรีธรรมราช

        ขุนอินเทพ เคยมีมเหสี ที่เมืองศรีโพธิ์(ไชยา) มาก่อน มีพระราชโอรส และราชธิดา ที่สำคัญคือ พระนางเขียว พระยาไชยาเทพบุตร และ พระยาไชยาธิเบศต่อมา พระนางเขียว ได้ไปเป็นมเหสีของ สุลต่านมูดู ส่วน พระยาไชยาเทพบุตร หรือ พระยาไชยาธิเบศ มีราชธิดาองค์หนึ่งมีพระนามว่า พระนางไชยาเทวี ได้เป็น อัครมเหสี ของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในเวลาต่อมา มีโอรสที่สำคัญ คือ สมเด็จเจ้าฟ้าศรีศิลป์ มีพระราชธิดา องค์หนึ่งที่สำคัญคือ พระนางน้ำเงิน ซึ่งได้ไปสมรสกับ โมกุล ซึ่งสายตระกูลดังกล่าว มีบทบาท สำคัญในการปกครองเมืองไชยา และเป็นขุนนางสำคัญของ กรุงศรีอยุธยา ในเวลาต่อมา และเป็นที่มาให้สาย ตระกูลโมกุล มีสายสัมพันธ์ที่ดี กับ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในเวลาต่อมา สายสกุลโมกุล กับ พระนางน้ำเงิน ได้มีสายสกุลสืบทอดมาถึง พระยาจักรีมุกดาผู้รับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ไปเป็นบุตรบุญธรรม ตั้งแต่ทรงพระเยาว์

 

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สืบสายราชสกุล มาจาก

สมเด็จพระนเรศวรฯ

        ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ขึ้นครองราชย์สมบัติปกครอง ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา นั้น สมเด็จเจ้าฟ้าศรีศิลป์ พระราชโอรส ของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช กับ พระนางไชยาแทวี ได้เป็นมหาอุปราช และได้นำพระยาโมกุลซึ่งถือเป็นพี่เขยเป็นแม่ทัพเรือปกครองเมืองธนบุรีมาควบคุมทัพหลวงของ มหาอุปราชสมเด็จเจ้าฟ้าศรีศิลป์ มีกำลังพลในกองทัพถึง ๒๐,๐๐๐ คน ส่วนราชาหะซัน หรือที่ประชาชนนิยมเรียกพระนามว่า บังสัน หรือ พระยาราชบังสัน ซึ่งเป็นบุตรชาย ของ โมกุล กับ พระนางนํ้าเงิน ได้มา เป็นแม่ทัพเรือ และเป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองธนบุรี

        เมื่อพระเจ้าทรงธรรม เสด็จสวรรคต แทนที่สมเด็จเจ้าฟ้าศรีศิลป์ จะได้ขึ้นครองราชย์สมบัติตามที่กฎมณเฑียรบาลกำหนดให้ต้องปฏิบัติ แต่พระยากลาโหม(พระเจ้าปราสาททอง) ได้ก่อการรัฐประหาร โดยที่ พระยากลาโหม(พระเจ้าปราสาททอง) ได้สมคบกับ พระยาเสนาภิมุข-ยามาดะ ทหารญี่ป่น นำทหารเข้ายึด พระราชวังหลวง แล้วเชิด พระเชษฐาธิราช(พระราชโอรสของพระเจ้าทรงธรรม) ขึ้นครองราชย์สมบัติ อีกทั้ง ได้ส่งทหารเข้าจับกุม สมเด็จเจ้าฟ้าศรีศิลป์ ไปกักขังไว้ และ พยายามปลงพระชนม์ แต่ไม่สำเร็จ เพราะพระยาโมกุล แม่ทัพหลวง ของ สมเด็จเจ้าฟ้าศรีศิลป์ และ พระยาราชบังสัน(หะซัน) สามารถนำกองทัพเข้าช่วยเหลือ สมเด็จเจ้าฟ้าศรีศิลป์ ให้สามารถหลบหนีออกไปได้สำเร็จ โดยการสับเปลี่ยนบุคคลทดแทน สมเด็จเจ้าฟ้าศรีศิลป์แทนที่ แล้วนำหลบหนีไปยัง เมืองเพชรบุรีพร้อมพระราชโอรส ๒พระองค์คือ สมเด็จเจ้าฟ้าอภัยเจิด และ สมเด็จเจ้าฟ้าอำภัยช้าง

        สมเด็จเจ้าฟ้าศรีศิลป์ ได้ทำพิธีมหาไชยาบรมราชาภิเษก ขึ้นเป็นกษัตริย์ ปกครองราชอาณาจักร เสียม-หลอ กรุงเพชรบุรี ตามที่กฎมณเฑียรบาล กำหนด โดยได้ตั้งราชธานีที่ เมืองเพชรบุรี โดยการสนับสนุนจาก กองทัพ ๒๐,๐๐๐ คน ของ พระยาโมกุล ซึ่งเป็นราชบุตรเขย ของ สมเด็จพระนเรศวรฯ และ พระยาราชบังสัน(หะซัน) ซึ่งเป็นพระเจ้าหลานเธอ ของสมเด็จพระนเรศวรฯ ซึ่งปกครองเมืองธนบุรี และยังได้รับการสนับสนุน จาก ราชอาณาจักรต่างๆ คือ ราชอาณาจักรเสียม และ ราชอาณาจักรมาลัยรัฐ กรุงปัตตานี ทางภาคใต้ และ ราชอาณาจักรอื่นๆ อีกด้วย

        พระยากลาโหม(พระเจ้าปราสาททอง) วางแผนให้ พระยากำแพง นำกองทัพ ๒๐,๐๐๐ คน เข้าทำ สงครามปราบปราม สมเด็จเจ้าฟ้าศรีศิลป์ โดยมอบให้ พระยาเสนาภิมุข-ยามาดะ ไปแสร้งสวามิภักดิ์ กับ สมเด็จพระเจ้าศรีศลป์ ณ กรุงเพชรบุรี โดยวางแผนให้ทำการก่อกบฏ ในภายหลัง ต่อมาได้เกิดกบฏ ณ กรุงเพชรบุรี โดย พระยาเสนาภิมุข(ยามาดะ) และสมเด็จพระเจ้าศรีศิลป์ เป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงคราม พระยาโมกุล ต้องนำ สมเด็จพระเจ้าศรีศิลป์ หลบหนี ไปยัง ราชอาณาจักรมาลัยรัฐ กรุงปัตตานี แต่ถูกกองทหารรับจ้าง ญี่ปุ่น คือ พระยาเสนาภิมุข(ยามาดะ) จับกุมได้ระหว่างทาง จึงถูกนำไปประหารชีวิต ที่กรุงศรีอยุธยา ส่วน พระยาโมกุล ได้นำกองทัพจำนวน ๒๐,๐๐๐ คน ทำสงครามกับกองทัพของ พระยากำแพง และ พระยาเสนาภิมุข(ยามาดะ) ณ สมรภูมิ กลางทะเล อ่าวเพชรบุรี ผลของสงคราม พระยาโมกุล พ่ายแพ้สงคราม เรือล่ม เสียชีวิตกลางทะเล อีกข้อมูลหนึ่งกล่าวว่า โมกุลได้หลบหนีไปยัง เมืองธนบุรี ต่อมาถูก พระยากำแพง และ พระยาเสนาภิมุข(ยามาดะ) จับกุม พระยาโมกุล ได้ที่กรุงธนบุรี พร้อมกับนำไปประหารชีวิต ณ เมืองธนบุรี พรรคพวกบริวาร ของ พระยาโมกุล ได้นำศพไปฝังไว้ณ มัสยิดต้นสน เมืองธนบุรี

        ส่วนพระราชโอรส ๒ พระองค์ ของ สมเด็จเจ้าฟ้าศรีศิลป์ คือ เจ้าฟ้าอำภัย-ช้าง และ เจ้าฟ้าอภัย-เจิด นั่น พระยาราชบังสัน(หะซัน) ได้นำหลบหนีไปยังเมืองไชยา ต่อมาพระยาไชยาธิเบศ ได้นำหลบหนี และนำไปเลี้ยงดูอาศัยอยู่ที่ บ้านพลูหลวง แขวงเมืองสุพรรณบุรี พร้อมกับมอบเมืองไชยา ให้พระยาราชบังสัน (หะซัน) เป็นผู้ปกครอง โดยได้ไปสร้างที่ว่าราชการปกครองเมืองอยู่ที่ ทุ่งไชยา(บ้านสงขลา) ชาวไชยา เรียกชื่อว่า มหาหุมปะแก ต่อมาเจ้าฟ้าอำภัย-ช้าง มีพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง คือ พระเพทราชา เป็นสายราชวงศ์สมเด็จพระนเรศวร ที่หลงเหลืออยู่ เป็นที่มาให้สายตระกูล พระยาราชบังสัน(หะซัน) ได้ส้องสุม กำลังเพื่อยึดอำนาจกลับคืนให้กับพระเพทราชา จนสำเร็จ ในเวลาต่อมา

        ในปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สายตระกูลของ พระยาราชบังสัน(หะซัน) ได้สืบทอด มาถึง พระยาไชยา(ครุฑ) ซึ่งชาวไชยา เรียกชื่อว่า มหาหุมตาไฟ บุคคลผู้นี้สามารถนำกองทัพจากเมืองไชยา เข้าทำสงครามปราบปรามพระเจ้าสงขลา ซึ่งเป็นสายตระกูลโมกุล*"๖ สายพระนางสาแล๊ะ เป็นผลสำเร็จ ทำให้สมเด็จพระนารายณ์ไว้วางพระทัย นำไปรับราชการที่กรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งดำรงตำแหน่งเป็น พระยาจักรี(ครุฑ) เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้พระเพทราชา ขึ้นครองราชย์สมบัติ ในเวลาต่อมา พระเพทราชา มีพระราชโอรสที่สำคัญ ๒ พระองค์คือ สมเด็จเจ้าฟ้าแก้ว และ สมเด็จเจ้าฟ้าขวัญ เนื่องจาก สมเด็จเจ้าฟ้าขวัญ ถูกลอบวางยาพิษ สิ้นพระชนม์ตั้งแต่วัยเยาว์คงเหลือแต่สมเด็จเจ้าฟ้าแก้วหรือ พระแก้ว ซึ่งมีสายราชสกุลสืบทอดมาถึง หม่อมนกเอี้ยง และ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในเวลาต่อมา

 

พระองค์เจ้านกเอี้ยง เป็นพระเจ้าหลานเธอ ของ

สมเด็จพระเพทราชา

        ในรัชสมัย ของ พระเจ้าท้ายสระ สมเด็จเจ้าฟ้าแก้ว หรือพระนามที่ประชาชนทั่วไปนิยมเรียกพระนามว่า พระแก้ว พระราชโอรสของ สมเด็จพระเพทราชา ได้เกิดรักใคร่ชอบพอกับหญิงสาวสวย สาย ราชวงศ์ของพระเจ้ากรุงจีน ที่มาเป็นตัวแทนค้าขายอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา โดยได้ตั้งรกรากอยู่ที่บ้านท่าดินแดง กรุงศรีอยุธยา หญิงสาวสวย ดังกล่าว มีนามเป็นภาษาจีนแต้จิ๋วว่า "น.ส.ติ่ง แซ่แต้" หรือภาษาจีนกลางเรียกว่า "เจิงติ่ง" จนกระทั่งได้อภิเษกสมรส มีพระราชธิดา ๒ พระองค์ คือ พระองค์เจ้านกเอี้ยง กับ พระองค์เจ้าอั๋น หรือที่ประชาชนนิยมเรียกชื่อว่า "หม่อมนกเอี้ยง" และ "หม่อมอั๋น" ข้อเท็จจริงเหล่านี้คือที่มาให้สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ใช้สกุลแซ่เจิ้ง หรือ แซ่แต้ ในเวลาต่อมานั่นเอง

        ต่อมามีหญิงชาววัง เชื้อสายราชวงศ์นางหนึ่ง มาตกหลุมรักสมเด็จเจ้าฟ้าแก้ว ต้องการแย่งชิงสมเด็จเจ้าฟ้าแก้ว จากพระนางเจิ่งติ่ง ไปครอบครอง จึงวางแผนลอบวางยาพิษ พระนางเจิ้งติ่ง จนกระทั่งได้เสียชีวิต จึงได้ทิ้งสมบัติให้ไว้กับ หม่อมนกเอี้ยง และ หม่อมอั๋น ไว้เป็นจำนวนมาก สมเด็จเจ้าฟ้าแก้ว จึงได้พระชายา พระองค์ใหม่อีกพระองค์หนึ่ง มีพระราชธิดาพระองค์หนึ่ง คือพระราชมารดาของ “พระองค์พลับ” หรือ "กรมหลวงพิจิตรมนตรี" อัครมเหสี ของ สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ในเวลาต่อมา จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นญาติลูกพี่ลูกน้องกับ สมเด็จพระเจ้าอุทมพร และ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์อีกด้วย

        เมื่อพระนางเจิ้งติ่ง สิ้นพระชนม์ สมเด็จเจ้าฟ้าแก้ว ได้จัดให้หม่อมอั๋น พระขนิษฐา ของ หม่อมนกเอี้ยง ได้อภิเษกสมรส กับ พระยาเพชรบุรี(ตาล) ส่วนหม่อมนกเอี้ยง ยังมิได้อภิเษกสมรส กับ ผู้ใด เพราะแอบชอบพออยู่อย่างลับๆ กับชาวจีนอพยพ ซึ่งมีอาชีพเป็นช่างทอง ในกรุงศรีอยุธยา ชื่อ นายต้า แซ่ลิ้ม จนกระทั่ง พระเจ้าท้ายสระ เสด็จสวรรคต พระเจ้าบรมโกศ เกรงว่า สมเด็จเจ้าฟ้าแก้ว จะแย่งชิงอำนาจขึ้นเป็นกษัตริย์ จึงสร้างเรื่องตอแหลใส่ความสมเด็จเจ้าฟ้าแก้ว กล่าวหาว่าเป็นผู้ขโมยพระธรรมรงค์ แล้วนำไปสำเร็จโทษ ชน สิ้นพระชนม์* ๗

        เมื่อพระเจ้าบรมโกศ ขึ้นครองราชย์สมบัติ ก็ได้แต่งตั้งน้องสาวต่างมารดา ของ หม่อมนกเอี้ยง ขึ้น เป็นอัครมเหสี ส่วนแม่เลี้ยง ของ หม่อมนกเอี้ยง ก็ลอบวางยาพิษ หม่อมนกเอี้ยง เพื่อแย่งสมบัติ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะแมวที่เลี้ยงช่วยไว้ เป็นที่มาให้หม่อมนกเอี้ยง รู้สึกว่าไม่ปลอดภัย จึงขนสมบัติของมารดา ลักลอบหนีออกจากบ้าน ไปหานายต้า แซ่ลิ้ม ให้ช่วยนำไปส่งที่เมืองเพชรบุรี เพื่อไปอาศัยอยู่กับ หม่อมอั๋น ซึ่งเป็นพระขนิษฐา เป็นที่มาให้ หม่อมนกเอี้ยง ได้เสีย กับ นายต้า แซ่ลิ้ม และให้กำเนิด สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในเวลาต่อมา

        นายต้า แซ่ลิ้ม เคยเป็นลูกจ้าง เป็นช่างทองอยู่ในร้านทอง มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน มีชื่อเติมว่า นายต้า แซ่ลิ้ม ได้รู้จักกับสายตระถูลแซ่เจิ้ง หรือ แซ่แต้ ที่เดินเรือสำเภา ค้าขายกับกรุงศรีอยุธยา จึงถูกชักชวน ให้มาเป็นช่างทองที่บ้านท่าดินแดง กรุงศรีอยุธยา โดยที่ตระกูลแซ่เจิ้ง เป็นผู้อุปถัมภ์ ต่อมาพระนางเจิ้งติ่ง และ หม่อมนกเอี้ยง ไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องที่บ้านท่าดินแดง จึงได้นำเครื่องทองรูปภัณฑ์ต่างๆ ไปให้ช่างต้า แซ่ลิ้ม ซ่อมแซม เป็นประจำ จนกระทั่งหม่อมนกเอี้ยง กลายเป็นลูกค้าประจำของ ช่างต้า แซ่ลิ้ม และเกิดความรักระหว่างกัน

 

เชิงอรรถ

 


 

-

       หนังสืออภินิหารบรรพบุรุษเป็นสมุดไทยขาวตัวหมึกจีนรวมเล่มมีชื่อหลังปกว่าหนังสือบรรพบุรุศ๑๒๔๙ถ้าหากว่าหมายเลฃ๑๒๔๙หมายถึงหมายเลขจุลศักราชที่เขียนขึ้นแสดงว่าหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นเมื่อปี..๒๔๓๐

- 

        สืบแสง พรหมบุญ ความสัมพันธ์ในระบบบรรณาการ ระหว่างจีนกับไทย หน้าที่ ๑๐๑ บันทึกของ นักประวัตสาสตรชาวจีน ชื่อ ฉีหยวน.(พ.ศ.๒๑๐๘-๒๑๗๑) ได้ทำการบันทึกเรื่องนี้ว่า.. "...นายทหาร นายธง พลทหาร ข้าราชการ เจ้าพนักงานซื้อของ และ เสมียน รวมทั้งสิ้น ๒๗,๘๗๐ คน เรือทั้งสิ้น ๖๓ ลำ ลำใหญ่ที่สุดยาว ๔๔๔ ศอก กว้าง ๑๘๐ ศอก เรือลำขนาดกลางยาว ๓๗๐ ศอก กว้าง ๑๕๐ ศอก...ภารกิจ ครั้งที่ สามนี้ นายพลเจิ้งหัว สามารถจัมคุม มหาจักรพรรดสมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์แห่ง สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรโพธ(ไชขา) นำมายัง กรุงนานกิง เป็นผลสำเร็จ เมื่อในปี พ.ศ.๑๙๕๕ และนำเดินทางไปยัง กรุงนานกิง เมื่อปี พ.ศ.๑๙๕๕..."

-

        ม้าหวน เป็นทหารคนหนึ่งในกองทัพของนายพลเจิ้งหัว ได้ทำการบันทึกเกี่ยวกับ เมืองคันธุลี หรือ เมืองเกียโลหิต หรือ เมืองครหิต ก่อนที่กองทัพของนายพลเจิ้งหัว จะเข้าตีแตก มีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า "...อาณาจักรเสียม(ภาคใต้ตอนบน) มีความยาวประมาณ ๑,๐๐๐ ลี้ ราชธานี เป็นภูเขาสูงชันทั้งหมด และขรุขระ(ภูเขาคันธุลี ภูเขาจอสี และ ภูเขาประสงค์) พื้นดินแฉะ ดินไม่ดี แทบจะทำการเพาะปลูกไม่ได้ อากาศไม่แน่นอน ถ้าไม่มีหมอก ฝนไม่ตก อากาศก็ร้อนจัด

        การเดินทาง แล่นเรือจาก อาณาจักรจามปา มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ๗ วัน ๗ คืน จะมาถึงท่าเรือ ของ เมืองเสียมใหม่(กรุงครหิต) แล้วท่านจะเข้าปากแม่น้ำปากแม่น้ำครหิต หรือ คลองกลิงค์) ซึ่งเป็นทางไปสู่ ราชธานีใหม่ของ อาณาจักรเสียม(กรุงครหิต-คันธุลี)

        พระราชวัง ของ กษัตริย์(บริเวณวัดศรีราชัน) หรูหรามาก พลเมืองอาศัยอยู่ในบ้านยกพื้นสูง ทำด้วยกระดาน หรือ ไม้ต้นหมาก วางปู เรียงติดกัน และผูกด้วยหวาย เพื่อให้แข็งแรงยิ่งขึ้น บนพื้นไม้ต้นหมากนี้ พวกเขาปูฟากหวาย และเตียงไม้ไผ่ และนอนบนเตียงฟากไม้ไผ่นี้

        กษัตริย์ของ อาณาจักรเสียม มีเชื้อสายราชวงศ์สืบทอดมาจากอินเดียใต้(ราชวงศ์มหาจักรพรรดิศรีจุฬามณี) พระองค์ทรงคาด ผ้าขาวม้าสีขาว ที่ทำด้วยผ้าฝ้าย บนพระเศียร และท่อนบน ไม่ฉลองพระองค์ใดเลย รอบพระนาภี พระองค์ทรงลาดผ้าขาวม้าปัก ที่ทำด้วยผ้าไหม ยกดอกทอง เป็นผ้าคาดเอว

        กษัตริย์เสด็จพระราชดำเนิน โดยการทรงช้าง หรือ ประทับบนเกี้ยว และกั้นด้วยกลดสีทอง ซึ่งทำด้วยในไม้ชนดหนึ่ง กษัตริย์ทรง เชื่อถือในคำสอนของ พระพุทธศาสนา มาก

        ประชาชนใน ราชธานี(กรุงครหิต) จะออกบวชเป็นพระสงฆ์ และ แม่ชีเป็นจำนวนมากเครื่องนุ่งห่มของพระสงฆ์และแม่ชีนั้น เป็นแบเดียวกันที่ใช้สวมกันอยู่ในดินแดนของ มหาอาณาจักรจีนบรรดาพระสงฆ์และแม่ชีนั้น จะอาศัยอยู่ในวัดและ สำนักแม่ชีจะถือศีล กินอาหารเพียง ๒ มือ และทำพิธีปลงอาบัติ ด้วยเป็นธรรมเนียมของประชาชนในราชธานี(กรุงครหิต)ของ อาณาจักรเสียมที่ปล่อยให้ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วมีอำนาจที่จะตัดสินใจ ด้วยตนเอง สามีจะเชื่อฟังคำแนะนำ ของ ภรรยาตน แต่ถ้าผู้หญิงเป็นหม้าย ก็จะสามารถคบเป็นชู้สาวกับ ชาวจีน เป็นสามีใหม่ เป็นเรื่องธรรมดา โดยไม่มีข้อห้าม

        พวกผู้ชาย โพกศีรษะ ด้วย ผ้าขาวม้าผ้าฝ้าย สลับสีขาว และสวมเสื้อผ้ายาวๆ(โสร่ง) คล้ายของผู้หญิง(ผ้าถุง) ผู้หญิงจะขมวดผมไว้เป็นมวย ส่วนผู้ชายมีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ จะต้องเริ่มสวมเครื่องประดับ ด้วยการแขวนสร้อยลูกปัด หรือหินมีค่า สำหรับคนรํ่ารวย จะสวม เครื่องประดับที่ทำด้วยทองคำ ที่ประดับด้วยลูกปัดเพื่อทำให้มีเสียงดัง คล้ายกระดิ่ง(ตุ้มหู) เวลาเดินไปไหน จะได้รับความชื่นชม อย่างมาก แต่ถ้า หากเป็นคนยากจน ก็จะไม่มีเครื่องประดับเหล่านี้

        ในเรื่องพิธีการแต่งงาน จะมีพระสงฆ์และฝูงชนเข้าร่วมขบวนไปเป็นเพื่อน ของ เจ้าบ่าว ในเวลาเดินทางไปยังบ้านของ เจ้าสาว จะจูง เจ้าสาวมาเป็นพยานเพื่อให้ พระสงฆ์ ทำการเจิมเครื่องหมายสีแดง บนหน้าผากของผู้ชาย เครื่องหมายนี้เรียกว่า หลีฉือ(สละใสด) ซึ่งไม่สมควรที่ จะกล่าวถึงรายละเอียดในที่นี้ อก ๓ วันต่อมา พระสงฆ์และบรรดาญาติ ตลอดจนเพื่อนฝูง จะร่วมเดินทางไปกับขบวนของเจ้าบ่าว เรียกว่า ขบวนเจ้าบ่าว ซึ่งจะนำเจ้าสาวเดินทางกลับไปยังบ้านของเจ้าบ่าว จะเป็นขบวนเรือที่ตกแต่งสวยงามมาก เมื่อเดินทางลงบ้านเจ้าบ่าว เรียบร้อยแล้ว จากนั้นจะมีงานเสียงฉลอง ณ บ้านเจ้าบ่าว ทั้งเจ้าสาวและเจ้าบ่าว จะเลี้ยงสนุกสนาน กันอย่างเต็มที่

        ในเรื่องของพิธีศพ ในหมู่คนมั่งคั่งรํ่ารวย จะมีการกรอกปรอทลงในปากศพ และทำการฝังศพ นั้น สำหรับในหมู่สามัญชน พวกเขาจะแบกศพลงเรือเดินทางไปยงเกาะเล็กๆ ในทะเล(เกาะเสร็จ) ณ ที่นั้น นกสีทอง จะบนมากินศพ จากนั้นศพที่เหลือ จะถูกโยนทิ้งลงในทะเล วิธีการนี้เรียกว่า การฝังศพโดยนก พวกเขาจะทำพิธีถือศีลกินเพล ตามความเชื่อ ของ ศาสนาพุทธ และมีผู้สวดมนต์เช่นเดียวกับการปฏิบัติกันใน เมือง กวางตุ้ง ของ มหาอาณาจักรจีน

        ประชาชนในดินแดน ของ อาณาจักรเสียม ไว้วางใจได้ยาก พวกเขามีความสามารถในการทำสงครามทางเรือ มาก พวกเสียม มักจะส่งกองทัพเข้าโจมตี ประเทศเพื่อนบ้าน อยู่บ่อยครั้ง

        ในด้านการค้าขาย พวกเขาใช้หอยเบี้ย แทนสตางค์แดง ผลผลิตในท้องถิ่น คือ หินพลอยสีแดง ซึ่งมีค่าน้อยกว่า ทับทัมสีแดง และมีประกายสว่างสุกใสเท่าๆ กับ สีเม็ดทับทิม มีมากทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของราชธานี ห่างออกไปประมาณ ๒๐๐ ลี้(ระนอง) ยังมีตลาดอีก ตลาดหนึ่ง เรียกกันว่า ชาง-ฉุย(ไชยา) ซึ่งมีเส้นทางทิศต่อกับ เมืองต่างๆ ทางทิศใต้ได้ตลาดแห่งนี้มีพลมืองประมาณ ๖๐๐ ครอบครัว

        ผลผลิตต่างๆ จากต่างประเทศ ทุกๆชนิด สามารถที่จะหาซื้อได้ในตลาดราชธานีของอาณาจักรเสียมได้ เช่น ฮวงเหลียนเซี่ยงซึ่งเป็น รากไม้ชนิดหนึ่ง โล้โหเหลียนเซี่ยง ซึ่งเป็นไม้หอมชนิดหนึ่ง มีไม้กฤษณา ไม้กระวานหอม เม็ดลูกกระเบา เลือดมังกร หวาย ไม้ฝาง ดีบุก งาช้าง ขนนกกระเต็น ไม้ฝางนั้น มีราคาถูกมากเท่าๆ กับไม้ฟืน สีของไม้ฝางงดงามมากที่สุด สำหรับสัตว์สำคํญ ที่มีในราชธานี ของ อาณาจักรเสียม นั้นมีช้างเผือก สิงโต แมว และ กระรอกเผือกส่วนผักและผลไม้มีเช่นเดียวกันกับในดินแดนของ อาณาจักรจามปา(เวียตนามใต้) ยังมีโรงต้ม เหล้า(เหล้าขาว) โรงทำนำตาลเมา(กระแช่) ทั้งสองประเภทล้วนดื่มแล้ว มึนเมา..."

-

        หลังจากนายพลเจิ้งหัว ร่วมกับ เจ้านครอินทร์สามารถส่งกองทัพทำลายกรุงศรีโพธิ์(ไชยา) เรียบร้อยเแล้ว ต่อมาได้มีทหารจีน ชื่อ เฟ่ยสิน ซึ่งเคยเดินทางมาทำสงครามยึดครองดินแดนต่างๆ ของ สหราชอาณาจักรเสียม พร้อมกับกองทัพของ นายพลเจิ้งหัว ตามสำสั่งของ ฮ่องเต้หยุงโล้ และได้เดินทางผ่านมาที่ อาณาจักรเสียม กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ ล่มสลาย และอาณาจักรเสียมตกอยู่ภายใต้การปกกรอง ของ เจ้านครอินทร์แห่ง อาณาจักรละโว้กรุงศรีอยุธยาและลูกนำไปรวมเข้าด้วยกันเรียกว่าราชอาณาจักรเสียม-หลอ หรือ ประเทศเสียม-หลอ เรียบร้อยแล้ว

        ระหว่างปี พ.ศ.๑๙๕๕-๑๙๕๗ และอีกช่วงหนึ่งระหว่างปี พ.ศ.๑๙๕๘-๑๙๖๑ ทหารจีนชื่อ เฟ่ยสิน ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับ กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) อดีตราชธานี ของ สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ หลังจากถูกยึดครองราชย์ธานี ไว้ด้วย ระหว่างการเดินทางของ เฟ่ยสิน ออกเดินทางสำรวจอาณาจักรต่างๆ ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของ สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) คือดินแดนระหว่างดินแดน ของ มหาอาณาจักรจีน กับดินแดนอาณาจักรเบงกอล เรียกกันว่า จดหมายเหตุ ของ เฟ่ยสิน ปีบันทึกเกี่ยวกับกรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ว่า.-.

        "...จาก จามปา(เวียดนามใต้) ถ้ามีลมดี จะสามารถเดินทางถึง อาณาจักรเสียม ภายใน ๑๐ วัน ฎมิประเทศ ของ อาณาจักรเสียม(ภาคใต้ตอนบน) จะพบเห็นเทือกเขาสูง บริเวณชายฝั่งทะเล มีหน้าผาหินสีขาว ขรุขระ ตลอดแนวชายฝั่งทะเลของ อาณาจักรเสียม ซึ่งยาวประมาณ๑,๐๐๐ ลี้ จากเนินเขาด้านในแผ่นดิน ที่อยู่ห่างไกลออกไป จะเป็นที่ราบที่อุดมสมบูรณ์พืชผลงอกงาม อากาศมักจะร้อน ตลอดทั้งปี

ก่อนหน้านี้ ประชาชนใน อาณาจักรเสียม จะยกย่องผู้มีอำนาจ และยกย่องความกล้าหาญส่วนบุคคล อาณาจักรเสียม ชอบทำสงครามเข้าโจมตี อาณาจักรข้างเคียงที่กระด้างกระเดื่อง อาวุธศรธนู ทำด้วยไม้ไผ่แหลมอาบยาพิษ ใช้หนังควาย มาทำโล่ และยังมีอาวุธอื่นๆ อีกมากมาย       ประชาชนชอบ และมีความเชี่ยวชาญในการทำสงครามทางทะเล โดยเฉพาะ

ประชาชน ทั้งผู้ชาย และ ผู้หญิง เกล้าผมไว้เป็นมวย และคาดด้วยผ้าฝ้ายโพกศีรษะ สีขาว ชอบสวมเสื้อยาว และคาดพุงด้วย ผ้าขาวม้าสลับสีขาว

ก่อนที่ผู้ชายจะตกลงทำการใดๆ โดยไม่เกิดปัญหายุ่งยากขึ้นภายหลังนั้น จะต้องปรึกษากับภรรยา โดยเฉพาะในเรื่องกิจการทางธุรกิจ แทบทุกเรื่อง ทหารจีน ชอบหญงสาวชาวเสียม มาก(หลังจาก กรุงศรีโพธิ์ ถูกยึดครอง) เมื่อพวกหล่อนมีงานรื่นเริง ทหารจีน จะมาร่วมงาน สนุกสนานกับพวกหล่อนด้วย จนถึงดึกดื่น และหากหล่อนที่เป็นหญิงหม้าย จะขอหลับนอน ขอร่วมเพศด้วยกับ พวกหล่อนชอบทหารจีน มาก

มีผู้หญิงเสียมอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นแม่ม่าย เนื่องจากสงคราม ที่บวชเป็นแม่ชีในพระพุทธศาสนา แม่ชีจะทำการสวดมนด์ และทำพิธีปลงอาบัติด้วย สีเครื่องนุ่งห่ม ของ แม่ชี คล้ายคลึงกับของแม่ชีในดินแดน ของ มหาอาณาจักรจีน แม่ชีจะทำการก่อสร้างสิ่งสำคัญทาง พระพุทธศาศนา หลายอย่างด้วย

ประชาชนที่ กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) อดีตเมืองราชธานี ของ อาณาจักรเสียม มีพิธีไว้ทุกข์ที่เข้มงวดมากที่สุด ถ้าหากว่า มีผู้ใดผู้หนึ่งใน ครอบครัวสิ้นใจตายไป พวกเขาจะกรอกปรอทลงในร่างศพ เพื่อที่จะรักษาศพไว้มิให้เน่าเปื่อย และทำพิธีทางศาสนา ต่อมาพวกเขาจะหาที่ดินบน เนินสูง เพื่อใช้เป็นที่ฝังศพไว้

ประชาชนกรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ของ อาณาจักรเสียม จะหมักข้าวเหยียวไว้ทำเหล้า และต้มน้ำทะเล เพื่อทำเกลือ สินค้าสำคัญ ของ กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) แห่ง อาณาจักรเสียม คือ ไม้ต่างๆ ที่มีกลิ่นหอม น้ำมันที่ทำจากเมล็ดถูกกระเบา ไม้ฝาง นอแรด งาช้าง ขนนกกระเต็น ขี้ผึ้ง พวกเขา ใช้หอยเบี้ยเป็นเงินตรา อัตราแลกเปลี่ยน ๑๐,๐๐๐ เบี้ย เท่ากับ ๒๐ ตำลึงจีน ของ เงินกระดาษจีนสินค้าต่างชาติ ที่มีขายในอดีตราชธานี กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ของ อาณาจักรเสียม มี ถ้วยชามจีน สีฟ้า และ สีขาว ผ้าดอกสีต่างๆ สำหรับการใช้หุ้มเก้าอี้ผ้าไหมสีอ่อน ผ้าต่วนสีทองคำ เงิน ทองแดง เหล็ก ปรอท ลูกปัด และ เหรียญทองคำ

ผู้ปกครอง(ใหม่) ของ อาณาจักรเสียม-หลอ(เจ้านครอินทร์) ชื่นชมในพระกรุณาธิคุณของฮ่องเต้ อันหาที่เปรียบมิได้ จากราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ ของ มหาอาณาจักรจีน จึงทรงส่งคณะราชทูต มายังราชสำนักจีน พร้อมกับถ้อยคำที่จารึกบนแผ่นทองคำ พร้อมกับเครื่องราชบรรณาการ อย่างสมํ่าเสมอ..."

-

        ศ...สุภัทรดิศดิศกุลความยอกย้อนของประวัติศาสตร์สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีหน้าที่๔๒

 -

        โมกุล เป็นเจ้าชายอิหร่าน นับถือศาสนาอิสลามสายชีอะ ได้ถูกส่งมาค้าขายกับเกาะชวา จนกระทั่งได้เจ้าหญิงเกาะชวา นับถือ ศาสนาอิสลาม สายสุหนี่ มาเป็นชายา คนแรก เรียกชื่อว่า พระนางสาแล๊ะ และได้ไปปกครองเมืองสาแล๊ะ ในเกาะชวา ต่อมาถูกกองทัพ โปรตุเกส เข้ายึดครองเมืองสาแล๊ะ โมกุล จึงนำครอบครัวหลบหนีทองทัพโปรตุเกส มาอยู่ที่เมืองสงขลา ต่อมา พระนเรศวรฯ ทราบข่าวและไม่ไว้วางพระทัย จึงเรียกไปเข้าเฝ้าที่ ภูเขาโมกุล ดงพระยาใหญ่ จ.ลพบุรีในปัจจุบัน เพื่อทำการทดสอบความจงรักถักดี เมื่อได้รับความไว้วางพระทัย โมกุล ได้ภรรยา อีก ๒ คน กลายเป็น ๓ สายตระกูลโมกุล สายตระกูลแรก คือ สายตระกูลพระนางสาและ หรือที่เรียกกันใน ปัจจุบันว่าสายสุไลมาน สายที่สองภรรยาโมกุลเป็นธิดาเจ้าเมืองละโว้บุตรหลานได้ไปปกครองเมืองเพชรบูรณ์สายสกุลนี้ ต่อมาเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา ทั้งหมด สายที่สาม ภรรยาโมกุล เป็นราชธิดา ของ สมเด็จพระนเรศวร เรียกกันโดยทั่วไปว่า สายราชบังสัน สายสกุลนี้ ได้เข้ามาเกี่ยวโยงกับ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นอย่างมาก ในเวลาต่อมา

- 

        กรมศิลปากร พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา พ.ศ.๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๐๙-๑๑๐

 


 

 

 

                                                                                                บทที่-๒

        สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ประสูติที่        จ.สุราษฎร์ธานี

 

ความสับสนเกี่ยวกับสถานที่ประสูติ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ

       หนังสือฉบับหนึ่ง เขียนปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลัง มักจะเขียนขึ้นเพื่อโจมตีสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มีชื่อว่า จีนแจ้ง ประสูติที่กรุงศรีอยุธยา เป็นบุตรของชาวจีน คลองสวนพลู กรุงศรีอยุธยา©-๑ ต่อมาได้เป็นบุตรบุญธรรม ของ พระยาจักรี จึงเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า สิน หนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ประสูติที่กรุงศรีอยุธยา ที่คลองสวนพลู แขวงกรุงเก่า บิดาเป็นชาวจีนชื่อ นายหยุง แซ่แต้ ต่อมาได้เป็นขุนพัฒน์ เป็นนายอากรบ่อนเบี้ย มารดาชื่อ นกเอี้ยง

หนังสือต้าหนานฉือลู่ ของประเทศเวียตนาม กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ประสูติที่เมืองตาก เป็นบุตรเจ้าเมืองตาก ครั้นบิดาสิ้นชีวิต ก็ได้เป็นเจ้าเมืองตาก แทนที่บิดา ตรงกับข้อสันนิษฐาน ของ สมเด็จพระจอมเกล้าฯ กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ประสูติ ที่บ้านตาก จ.ตาก ในปัจจุบัน ส่วนแม่สงฆ์วรมัย กบิลสิงห์ กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ประสูติที่ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี

      ก.ศ.ร.กุหลาบ กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ประสูติที่ อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี เนื่องจากแม่นกเอี้ยง เป็นชาวบ้านแหลม©-๒ มาแต่เดิม และเป็นญาติกับ พระยาเพชรบุรี(ตาล) อีกด้วย หนังสือจดหมายเหตุปฐมวงศ์สกุลบุนนาค กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ประสูติที่กรุงศรีอยุธยา นายบุนนาค เคยกลั่นแกล้งสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ โดยกลั่นแกล้งด้วยการผูกหางเปีย ของพระองค์ในขณะนอนหลับ แล้วแกล้งให้ตกใจเพื่อจะได้รีบลุกตื่น จนกระทั่งพระเศียรกระแทกถูกของแข็งเจ็บปวด ทำให้นายบุนนาค ขัดแย้งกับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มาโดยตลอด ทำให้นายบุนนาค ไม่ได้รับราชการในสมัยธนบุรี ในเรื่องนี้ไม่น่าเชื่อถือ เชื่อได้ว่าเป็นการเขียนปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลังเพื่อโจมตีสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เท่านั้น

อันที่จริง นายบุนนาค เป็นลูกเมียน้อย ของ พระยาจักรีมุกดา กับ นางบุญศรี มาตั้งแต่สมัยที่ พระยาจักรีมุกดา เป็นพระยาไชยา ปกครองเมืองไชยา นายบุนนาค มีอายุมากกว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ถึง ๗ ปี นายบุนนาค เคยมารับราชการเป็นมหาดเล็กที่กรุงศรีอยุธยา เป็นเพียง นายฉลองไนยนารถ เมื่อพระยาจักรีมุกดา เสียชีวิตในสมรภูมิสงครามที่ราชบุรี ก่อนกรุงแตก เป็นเหตุให้ นางบุญศรี มารดาของนายบุนนาค ก็ไปเป็นเมียน้อยของ พระยาจ่าแสนยากร(เชน) สายตระกูลเชคอะหมัด แท้จริงแล้ว นายบุนนาค เป็นพี่น้องต่างมารดากับ พระยาไชยารุก เชลยศึกพม่า และนายบุนนาค เป็นผู้สนับสนุนให้ เจ้าฟ้าจุ้ย ขึ้นเป็นกษัตริย์ แข่งขันกับ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ จึงขัดแย้งกับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มาโดยตลอด เมื่อเจ้าฟ้าจุ้ย ถูกปราบปราม นายบุนนาค จึงมาแอบอิงอำนาจของ สมเด็จเจ้าฟ้ากษัตริย์ศึก(ทองด้วง) ดังนั้นข้อมูลที่นายบุนนาค ปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลังจึงเชื่อถือไม่ได้

 

หม่อมนกเอี้ยง ต้องหลบหนี เพราะถูกแม่เลี้ยงสั่งฆ่า

เหตุการณ์ในปี พ..๒๒๗๕ เมื่อพระเจ้าบรมโกศ ขึ้นครองราชย์สมบัติ สมเด็จเจ้าฟ้าแก้ว พระราชบิดา ของ หม่อมนกเอี้ยง ก็ถูกใส่ความ จนกระทั่งถูกนำไปสำเร็จโทษ สิ้นพระชนม์ หม่อมนกเอี้ยง ขาดที่พึ่งต้องอาศัยอยู่กับแม่เลี้ยง หลังจากสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ขึ้นครองราชย์สมบัติ ก็โปรดเกล้าแต่งตั้งให้ กรมหลวงพิจิตรมนตรี หรือ พระองค์พลับ พี่น้องต่างมารดา ของ หม่อมนกเอี้ยง เป็นอัครมเหสี หม่อมนกเอี้ยง จึงถูกวางแผนกำจัดจากพระราชมารดาของพระองค์พลับ ทิ้งหม่อมนกเอี้ยงให้อยู่แต่ลำพังกับแม่เลี้ยง ที่ต้องการแย่งชิงสมบัติที่ตกทอดมาจาก แม่นางติ่ง แซ่แต้ มารดาของ หม่อมนกเอี้ยง

แม่เลี้ยง ของ หม่อมนกเอี้ยง วางแผนลอบสังหาร ด้วยการลอบวางยาพิษ หม่อมนกเอี้ยง หลายครั้ง เพื่อแย่งสมบัติ แต่รอดชีวิตมาได้ทุกครั้ง เป็นที่มาให้หม่อมนกเอี้ยง ต้องตัดสินใจนำสมบัติของมารดา หลบหนีออกจากพระราชวังหลวงไปอาศัยอยู่กับญาติมารดา ที่บ้านท่าดินแดง แต่ถูกติดตาม จึงตั้งใจจะไปอยู่อาศัยกับพระขนิษฐา คือ หม่อมอั๋น ที่เมืองเพชรบุรี เนื่องจากก่อนหน้านั้น หม่อมอั๋น พระขนิษฐา ของ หม่อมนกเอี้ยง ได้ไปอภิเษกสมรสกับ พระยาเพชรบุรี(ตาล) จึงร้องขอให้ นายต้า แซ่ลิ้ม ช่างทอง คนรักของหม่อมนกเอี้ยง ให้เป็นเพื่อนช่วยนำเดินทางหลบหนีไปพบ หม่อมอั๋น ที่เมืองเพชรบุรี 

เมื่อหม่อมนกเอี้ยง พร้อม นายต้า แซ่ลิ้ม เดินทางมาถึง เมืองเพชรบุรี ก็ทราบข่าวจากหม่อมอั๋น สรุปว่า หม่อมนกเอี้ยง ถูกใส่ร้ายว่า เป็นผู้ขโมยทรัพย์สิน ของ แม่เลี้ยง จึงถูกออกหมายจับ ให้ยึดทรัพย์สิน และให้ส่งตัวไปให้พระเจ้าบรมโกศ ทำการลงโทษ เป็นเหตุให้ หม่อมอั๋น แนะนำให้ หม่อมนกเอี้ยง และ นายต้า แซ่ลิ้ม ต้องตัดสินใจหลบหนีต่อไป  

 

 

หม่อมนกเอี้ยง หลบหนีการจับกุม ไปอาศัยอยู่ที่

เมืองกำเนิดนพคุณ

หม่อมนกเอี้ยง กับ นายต้า แซ่ลิ้ม ต้องหลบหนีการถูกติดตามจับกุมต่อไปยังเมืองกำเนิดนพคุณ(อ.บางสะพานใหญ่ จ.ประจวบคีรีขัน) ที่เมืองกำเนิดนพคุณ หม่อมนกเอี้ยง ไปได้เสียกับชาวจีนช่างทอง ตระกูลแซ่ลิ้มคือ นายต้า แซ่ลิ้ม ได้ตั้งร้านทอง มีอาชีพเป็นพ่อค้ารับซื้อทองคำ มาใช้ทำเป็นเครื่องประดับ ส่งไปขายที่กรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งหม่อมนกเอี้ยง ทรงพระครรภ์สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ

หม่อมนกเอี้ยง และ สามี นายต้า แซ่ลิ้ม ตั้งร้านทอง อยู่ที่เมืองกำเนิดนพคุณ ได้ประมาณ ๘ เดือน เหตุการณ์ที่มิได้คาดคิดของหม่อมนกเอี้ยง ได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระเจ้าบรมโกศ มีพระบรมราชโองการสั่งประชาชนที่ร่อนทองคำได้ ห้ามขายทองคำที่ขุดร่อนได้จากท้องที่เมืองกำเนิดนพคุณให้กับผู้ใด รับสั่งให้เจ้าเมืองกำเนิดนพคุณ รับซื้อส่งทองคำที่ประชาชนขุดร่อนได้ เข้าสู่ท้องพระคลังหลวงทั้งหมด เป็นเหตุให้หม่อมนกเอี้ยง และ นายต้า แซ่ลิ้ม ต้องตัดสินใจส่งข่าวให้หม่อมอั๋น ทราบข่าว ได้ร่วมปรึกษาหารือระหว่างกันแล้ว สรุปว่า ต้องอพยพโยกย้ายถิ่นฐาน จากเมืองกำเนิดนพคุณ ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เมืองท่าชนะ ซึ่งเป็นแหล่งทองคำเก่าแก่ตั้งแต่สมัยโบราณ 

 

 

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ประสูติที่ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี

ภาพที่-๑ ภาพถ่ายพื้นที่บริเวณทุ่งลานช้าง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ของ ภูเขาแม่นางส่ง(ภูเขาประสงค์) ในท้องที่ ต.วัง อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี บริเวณภูเขา จะมีถ้ำใหญ่ ตั้งสูงจากพื้นดินประมาณ ๑๐๐ เมตร เป็นสถานที่ประสูติของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ปัจจุบัน บริเวณเชิงภูเขา เป็นที่ตั้งวัดถ้ำใหญ่

 

หลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับสถานที่ประสูติ และวันเวลา ในการประสูติ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มักจะไม่ตรงกัน ที่ตรงกันคือปีประสูติ คือปี พ.ศ.๒๒๗๗ จดหมายเหตุโหร ระบุว่าประสูติเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ.๒๒๗๗ หนังสือหลักฐานไทย กล่าวว่า ประสูติเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ.๒๒๗๗ ส่วนหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ กล่าวว่า ประสูติในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ จ.ศ.๑๐๙๖ ตรงกับวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๒๗๗ หนังสือบางเล่มกล่าวว่า ประสูติในวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๒๗๗ บางเล่มก็อ้างว่าประสูติในวันอาทิตย์ที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๒๗๗ ล้วนขัดแย้งกันทั้งสิ้น©-๓

ส่วนข้อเท็จจริงนั้นกล่าวกันว่า หม่อมอั๋น ได้นำพระพี่นาง คือหม่อมนกเอี้ยง ที่ต้องอุ้มท้องแก่ พร้อม นายต้า แซ่ลิ้ม เดินทางลงเรือสำเภา จากเมืองกำเนิดนพคุณ มุ่งหน้าสู่เมืองไชยา หวังที่จะไปขอความช่วยเหลือจาก หม่อมดาว ญาติสนิท ซึ่งเป็นภรรยาหลวง ของ พระยาไชยามุกดา ขณะนั้นหม่อมดาว ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่สี่แยกท่าโพธิ์ คือบริเวณที่ตั้งโรงเรียนสารภีอุทิศ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน

หม่อมดาว เสนอให้หม่อมนกเอี้ยง และ นายต้า แซ่ลิ้ม มีอาชีพใหม่เป็นพ่อค้ารับซื้อสินค้าพื้นเมืองเพื่อส่งขายให้กับพ่อค้าเรือสำเภาจีน โดยได้ติดต่อซื้อที่ดินใกล้ท่าเรือปากน้ำท่ากระจาย บริเวณวัดดอนชาย อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน เป็นที่ตั้งบ้านเรือนให้กับ หม่อมนกเอี้ยง เป็นที่มาให้ นายต้า แซ่ลิ้ม ได้ติดต่อว่าจ้างคนงานไปสร้างบ้านเรือนขึ้นในที่ดินที่จัดซื้อไว้ ส่วนหม่อมอั๋น นั้น เป็นห่วงพระพี่นาง หม่อมนกเอี้ยง ที่กำลังท้องแก่ จึงยังพักอาศัยอยู่ที่บ้านหม่อมดาว ยังมิได้เดินทางกลับเมืองเพชรบุรี แต่อย่างใด

ในขณะที่นายต้า แซ่ลิ้ม กำลังสร้างบ้านเรือนอยู่ที่บ้านดอนชาย อยู่นั้น เป็นช่วงเวลาที่มีการจัดงานประเพณีสงกรานต์ประจำปี เพื่อรดน้ำดำหัว เทวรูปนอน พ่อหงสาวดี หรือ พระยาศรีจง ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระยาศรีธรรมโศก ในถ้ำใหญ่ เป็นงาน ๗ วัน ๗ คืน บริเวณทุ่งลานช้าง©-๔ ภูเขาแม่นางส่ง นายต้า แซ่ลิ้ม ได้ถือโอกาสมาออกร้านรับซื้อภาชนะทองคำเก่า ในงานดังกล่าวด้วย เป็นเหตุให้ หม่อมนกเอี้ยง และ หม่อมอั๋น เดินทางไปท่องเที่ยวในงานดังกล่าวในวันสุดท้านของงาน แม้ว่า หม่อมดาว จะทัดทานไว้ เพราะเห็นว่าท้องแก่มาก แต่ก็ไม่สามารถทัดทานได้ เพราะหม่อมนกเอี้ยง อ้างว่า ต้องการไปทำบุญ เพื่อให้พ้นทุกข์โศก

หม่อมนกเอี้ยง และ หม่อมอั๋น ได้เดินทางไปรดน้ำดำหัวเทวรูปพระนอนพ่อหงสาวดี ในตอนเย็นของงานวันสุดท้าย ของคืนที่ ๗ ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดี ที่ ๑๖ เมษายน พ..๒๒๗๗ ซึ่งมีการจัดงานจนสว่างถึงตอนเช้าของวันใหม่ และสิ้นสุดงานประเพณีในปีนั้น หลังจากหม่อมนกเอี้ยง และ หม่อมอั๋น เดินขึ้นถ้ำใหญ่ ทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ และทำการรดน้ำดำหัวจนเสร็จสิ้น เมื่อจะเดินทางออกจากถ้ำ ก็เกิดการปวดท้องกะทันหัน ไม่สามารถเดินทางลงจากถ้ำได้ หม่อมนกเอี้ยง ขอนอนพักผ่อนชั่วครู่ แล้วค่อยเดินทางกลับไปยังบ้านหม่อมดาว เป็นเหตุให้หม่อมอั๋น ต้องออกไปซื้อเสื่อไปปูเพื่อหลับนอนอยู่ในถ้ำใหญ่ ของภูเขาแม่นางส่ง หม่อมนกเอี้ยง ก็นอนหลับไปในถ้ำใหญ่ หม่อมอั๋น เห็นว่า พระพี่นางกำลังพักผ่อน จึงไม่ยอมปลุก กลับนอนด้วยกันอยู่ข้างๆ จนกระทั่งหลับไป มาตกใจตื่นเมื่อรุ่งสาง เนื่องจากหม่อมนกเอี้ยงเริ่มปวดท้องเจ็บพระครรภ์

หม่อมนกเอี้ยง เจ็บปวดพระครรภ์อย่างหนัก และได้ประสูติสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในถ้ำใหญ่ทุ่งลานช้าง  เมืองท่าชนะ โดยหม่อมอั๋น เป็นผู้ทำคลอด เมื่อเช้าตรู่ของวันศุกร์ที่ ๑๗ เมษายน พ..๒๒๗๗ ท่ามกลางเสียงปี่ เสียงกลอง เสียงสังข์ที่บรรเลงเพลงมหาฤกษ์ จากเทวดาทั้งหลายว่าผู้มีบุญได้มาจุติ ประสูติ เรียบร้อยแล้ว จนชาวบ้านในท้องที่ดังกล่าว นึกว่างานประเพณีสงกรานต์รดน้ำดำหัวเทวรูปนอนพ่อหงสาวดี ยังไม่เลิก ได้เดินทางมาดูเหตุการณ์ กลับพบว่า หม่อมนกเอี้ยง ได้ประสูติบุตรชาย ออกมาลืมตาดูโลก ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นเด็กมีบุญมาเกิด จึงได้ร่วมกันช่วยเหลือ จนกระทั่งหม่อมนกเอี้ยง ปลอดภัย

 

ภาพที่-๒ บริเวณถ้ำใหญ่ ของ ภูเขาแม่นางส่ง สถานที่ประสูติของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เมื่อเข้าไปในถ้ำ สถานที่ประสูติ จะตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ของถ้ำ

 

ส่วนนายต้า แซ่ลิ้ม สามีของ หม่อมนกเอี้ยง นอนหลับอยู่ที่หน้าโรงหนังตะลุง คิดไปเองว่า หม่อมนกเอี้ยง และ หม่อมอั๋น กลับไปพักผ่อนอยู่ที่บ้านหม่อมดาว เมืองไชยา เรียบร้อยแล้ว แต่ต้องตกใจตื่นขึ้นมาเมื่อหม่อมอั๋น มาปลุก และแจ้งข่าวว่า หม่อมนกเอี้ยง คลอดบุตรชาย ภายในถ้ำใหญ่ เรียบร้อยแล้ว ให้ช่วยหาหม้อต้มน้ำ และไม้ฟืน ไปช่วยต้มน้ำร้อน นายต้า แซ่ลิ้ม จึงเดินทางขึ้นถ้ำใหญ่ พบว่ามีงูเหลือมตัวใหญ่ นอนขดรอบเด็กทารก ในขณะที่หม่อมนกเอี้ยง นอนหลับอยู่ นายต้า แซ่ลิ้ม จึงเดินทางออกมาจากถ้ำ ร้องขอให้ประชาชนไปช่วยเหลือ

 

งูเหลือมใหญ่ มาขดรอบๆ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ พร้อมคาย

ลูกแก้ววิเศษ ให้ไว้

หนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ ที่เขียนปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลัง มักจะให้ความจริงส่วนหนึ่ง และความเท็จอีกส่วนหนึ่งเพื่อลวงให้ประชาชนเชื่อถือ เรียกกันว่า ทำตอแหล หนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ กล่าวว่า ขณะที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ประสูติออกมานั้น มีงูเหลือม มาขดรอบๆ ทารก ทำให้บิดาซึ่งเป็นชาวจีน เห็นว่าไม่เป็นมงคล จึงเอาบุตรไปทิ้งไว้ที่บ้านพระยาจักรี เป็นเหตุให้เจ้าพระยาจักรี ได้พบ จึงเก็บทารกนั้นไปเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม และให้นามว่า สิน©-๕

 

 

ภาพที่-๓  แสดงสถานที่ตั้งของสถานที่ประสูติ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ บริเวณถ้ำใหญ่ ทุ่งลานช้าง ท้องที่ ต.วัง อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน

 

เรื่องงูเหลือม และ ลูกแก้ววิเศษ คือเรื่องราวที่งูเหลือมขนาดใหญ่ คาบมาให้ ขณะที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ประสูติ ณ ถ้ำใหญ่ ภูเขาแม่นางส่ง อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี นั้น มีเรื่องราวสรุปว่า ในขณะที่ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ประสูตินั้น มีเรื่องเล่าว่า หลังจากที่ หม่อมนกเอี้ยงได้ประสูติ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ลืมตาออกมาดูโลกแล้ว หม่อมนกเอี้ยงก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แล้วก็ม่อยหลับไป ด้วยความอ่อนเพลีย หม่อมนกเอี้ยง ฝันไปว่า “…หลวงพ่อทวดวัดช้างให้ ผู้เหยียบน้ำทะเลจืด ได้นำลูกแก้ววิเศษ มามอบให้กับหม่อมนกเอี้ยง และสั่งเสียว่า ให้นำลูกแก้วนี้ มอบให้กับบุตรชาย เมื่อออกผนวชเป็นพระภิกษุ เพราะบุตรชายที่ประสูติออกมานี้ เป็นเทวดามาเกิด จะเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ของ ประเทศเสียม-หลอ ในอนาคต…”

เมื่อหม่อมนกเอี้ยง ตื่นขึ้นมา ก็พบ งูเหลือมขนาดใหญ่ กำลังล้อมขดให้ความอบอุ่นแก่ทารกชายของตนเองอยู่ พบเห็นหม่อมอั๋น กำลังนำน้ำมนต์ มาประพรมให้ถูกงูเหลือมใหญ่ ได้ยินเสียงสวดมนต์พึมพำ ของหม่อมอั๋น หลังจากนั้นงูเหลือมใหญ่ก็คายลูกแก้วออกจากปาก ลงสู่ฝ่าพระหัตของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ขณะเพิ่งประสูติ แล้วงูเหลือมตัวใหญ่ดังกล่าว ก็เลื้อยหายจากไป

หม่อมนกเอี้ยง ได้เก็บรักษาลูกแก้ววิเศษ ดังกล่าวไว้จนกระทั่งบุตรชายคือ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงออกผนวชที่เมืองตาก หม่อมนกเอี้ยง จึงมอบลูกแก้ววิเศษดังกล่าว ให้กับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ บุตรชาย ตามความฝันในเวลาต่อมา

 

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มีพระนามครั้งแรกว่า พ่วง

เมื่อหม่อมดาว ทราบข่าวว่า หม่อมนกเอี้ยง ประสูติบุตรชาย ในถ้ำใหญ่ ณ ภูเขาแม่นางส่ง ทุ่งลานช้าง แขวงเมืองท่าชนะ จึงรีบส่งเรือไปรับกลับ ขณะที่เดินทางกลับ เมื่อเรือเดินทางเลียบชายทะเลมาที่แหลมทราย คือบริเวณชายทะเล ใกล้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตไชยา ในท้องที่ ต.ตะกรบ อ.ไชยา ในปัจจุบัน หม่อมนกเอี้ยง ได้ขอให้เรือทอดสมอ เพื่อนำรกของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ไปฝังไว้ที่โคนต้นไม้หนาด ต้นเล็กๆ ต้นหนึ่ง ใกล้ชายฝั่งทะเล ต้นไม้หนาดต้นนี้ ยังเป็นที่เคารพของสายราชสกุลสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่อาศัยอยู่ในท้องที่ จ.สุราษฎร์ธานี สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

เมื่อหม่อมนกเอี้ยง หม่อมอั๋น นายต้า แซ่ลิ้ม เดินทางมาถึงบ้านหม่อมดาว ที่สี่แยกท่าโพธิ์ เมืองไชยา พระยาไชยามุกดา ทราบข่าวก็ได้ขี่ม้า เดินทางจากบ้านสงขลา มาเยี่ยมเยียนด้วย ในที่สุดทั้ง ๕ ท่าน ได้ร่วมกันตั้งพระนามให้กับบุตรชายของหม่อมนกเอี้ยง มีพระนามครั้งแรกว่า พ่วง

หลังจาก หม่อมนกเอี้ยง ได้ไปอยู่ไฟ เพื่อให้มดลูกเข้าอู่ อยู่ที่บ้าน หม่อมดาว ภรรยาของพระยาไชยามุกดา บริเวณสี่แยกท่าโพธิ์ เมืองไชยา จนร่างกายแข็งแรงแล้ว นายต้า แซ่ลิ้ม ก็สร้างบ้านดอนชาย เสร็จสิ้น หม่อมนกเอี้ยง จึงโยกย้ายไปอาศัยบ้านเรือนตนเองอยู่ในพื้นที่ บ้านดอนชาย เมืองท่าชนะ ในปัจจุบัน ส่วนหม่อมอั๋น ก็เดินทางกลับเมืองเพชรบุรี

ชีวิตหม่อมนกเอี้ยง ที่พระราชวังบ้านดอนชาย ขณะนั้นนายต้า แซ่ลิ้ม มีอาชีพเป็นช่างทอง ได้รับซื้อภาชนะทองคำเก่า เพื่อนำมาทำเป็นเครื่องประดับทองคำ แล้วส่งไปขายที่กรุงศรีอยุธยา ส่วนหม่อมนกเอี้ยง มีอาชีพรับซื้อ ไม้นูด ข้าวสาร ฯลฯ เพื่อขายให้กับพ่อค้าเรือสำเภาจีน ณ ท่าเรือ ปากน้ำท่ากระจาย ต่อมาเมื่อการรับซื้อภาชนะทองคำเก่า หาซื้อยากขึ้น นายต้า แซ่ลิ้ม ได้ค่อยๆ เปลี่ยนอาชีพจากช่างทอง ไปช่วยงานหม่อมนกเอี้ยง แทนที่ และกลายเป็นผู้รับซื้อสินค้าพื้นเมืองต่างๆ เพื่อส่งขายให้กับพ่อค้าจีนเรือสำเภาจีน แทนที่การเป็นช่างทอง ในเวลาต่อมา



เชิงอรรถ

©-๑  นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ การเมืองไทยสมัยธนบุรี สำนักพิมพ์มติชน ๒๕๓๘ หน้าที่ ๖๖-๖๗

ในหนังสือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โดย พลตรี จรรยา ประชิตโรมรัน สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.๒๕๓๗ หน้าที่ ๒ กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ประสูติเมื่อวันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีขาล จ.ศ.๑๐๙๖ ตรงกับวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๒๗๗ ต่อมาได้นำไปฝากเป็นบุตรบุญธรรม ของ พระยาจักรี ซึ่งมีบุตรตนเองชื่อ นายศักดิ์(หลวงศักดิ์นายเวร) อันที่จริงเป็นชื่อตำแหน่งมหาดเล็ก ชื่อจริงคือ นายบุญชู ชาวไชยา เรียกพระยาจักรี ท่านนี้ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองไชยาว่า มหาหุมมุกดา เป็นบุตรชายของ มหาหุมตาไฟ

 ©-๒ นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ การเมืองไทยสมัยธนบุรี สำนักพิมพ์มติชน ๒๕๓๘ หน้าที่ ๗๒

©-๓  นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ การเมืองไทยสมัยธนบุรี สำนักพิมพ์มติชน ๒๕๓๘ หน้าที่ ๖๔-๖๕

 ©-๔        ทุ่งลานช้าง บริเวณภูเขาแม่นางส่ง ตั้งอยู่ในท้องที่ ต.วัง อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบันเป็นที่ตั้งวัดถ้ำใหญ่ ก่อนหน้านี้ ในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ทุ่งลานช้าง เป็นสถานที่ตั้งค่ายทหาร และที่ฝึกทหาร ของ หลวงพิชัยอาสา(พระยาพิชัยดาบหัก) ต่อมาในสมัยปลายสมัยกรุงธนบุรี และต้นราชวงศ์จักรี ทุ่งลานช้าง เป็นสถานที่ตั้งเมืองไชยา มีเชื้อสายราชวงศ์สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ และราชวงศ์จักรี มาตั้งรกรากในพื้นที่ทุ่งลานช้าง สถานที่แห่งนี้จึงถูกเรียกชื่อว่า บ้านวังพวกราชวงศ์ เป็นที่ตั้งของจวนว่าราชการของ เมืองไชยา มีเจ้าเมืองไชยา ต่อเนื่องมาหลายคน จนกระทั่งมาถึง สมัยพระยาคอปล้อง(สมเด็จเจ้าฟ้าหนูดำ) เป็นเจ้าเมืองไชยา คนสุดท้ายที่ใช้ทุ่งลานช้าง เป็นที่ว่าราชการเมืองไชยา เมื่อพระยาคอปล้อง ถูกพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เรียกกลับพระราชวังหลวง ๔ ครั้ง แต่ สมเด็จเจ้าฟ้าหนูดำ หรือ พระยาคอปล้อง ขัดขืนคำสั่ง จึงถูกคำสั่งยึดทรัพย์ ทำให้ที่ว่าราชการเมืองไชยา ที่ทุ่งลานช้าง จึ่งร้างไป ที่ว่าราชการเมืองไชยา จึงย้ายมาอยู่ที่พุมเรียง ส่วนพวกเชื้อสายราชวงศ์ก็อพยพโยกย้ายถิ่นฐาน กระจัดกระจายไปตั้งรกรากในท้องที่อื่นๆ

ตามหลักฐาน หนังสือราชสกุลพระบรมราชวงศ์จักรี ของ นายบรรเจิด อินทุจันทร์ยง จัดพิมพ์โดยองค์การค้าของครุสภา กล่าวว่า สมเด็จเจ้าฟ้าหนูดำ ประสูติเมื่อเดือน ๔ ปีชวด จัตวาศก จุลศักราช ๑๑๕๔(พ.ศ.๒๓๓๕) เป็นพระราชโอรสของ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย กับ สมเด็จพระศรีสุลาลัย(ท่านเรียม ธิดาของ ท่านเพ็ง กับ เจ้าเมืองนนทบุรี) กล่าวว่า สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๑ เมื่อพระชันษา ๑ ปี

ส่วนข้อมูลที่ผู้เขียนสรุปเรื่องราวขึ้นมา กล่าวว่า สมเด็จเจ้าฟ้าหนูดำ เป็นเชื้อสายของ เจ้าพระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู เพราะ ท่านเพ็ง ซึ่งเป็นมารดา ของ ท่านเรียม(สมเด็จพระศรีสุลาลัย) เป็นธิดาคนหนึ่ง ของ เจ้าพระยายมราช(หวัง) ซึ่งเป็นบุตรคนที่สาม ของ เจ้าพระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าหนูดำ ประสูติมาได้ประมาณ ๑-๒ ปี นั้นเกิดการระลึกชาติได้ว่าอดีตชาติ เคยเกิดมาเป็นเจ้าพระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู มาทวงคืนราชย์สมบัติ เป็นที่มาให้สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ต้องส่งพระองค์เจ้าหนูดำ ไปเป็นบุตรบุญธรรม ของ ภรรยาคนหนึ่ง ของ เจ้าพระยายมราช(หวัง) ที่เมืองไชยา ต่อมาในปลายรัชกาลที่-๑ ได้อภิเษกสมรส กับ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนก และต่อมาในรัชกาลที่-๒ ได้รับโปรดเกล้าเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าหนูดำ และ เป็น พระยาวิชิตภักดี เจ้าเมืองไชยา

สถานที่แห่งนี้มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ มากมาย เคยเป็นสถานที่ชนช้างระหว่าง พระยากง(ท้าวปรารพ) กับ พระยาพาน(ท้าวอู่ทอง) มีเรื่องกล่าวว่า ท้าวอุเทน เป็นผู้ฆ่า พระยากง ณ ทุ่งลานช้าง แต่มีการทำตอแหลว่า พระยาพาน ฆ่า พระยากง ผู้เป็นบิดา

ต่อมาเมื่อเกิดสงครามท่าชนะ พระนางอุษา(แม่นางส่ง) ผู้พ่ายแพ้สงคราม ได้มาจำศีลภายในถ้ำใหญ่ ของ ทุ่งลานช้าง ต่อมา พ่อหงสาวดี(ขุนศรีจง) สามี ของ พระนางอุษา ก็ได้มาสวรรคต ณ สถานที่แห่งนี้ จึงได้มีการสร้างเทวรูปพระนอน ไว้ในถ้ำใหญ่

เมื่อกำเนิด สหราชอาณาจักรเสียม กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ซึ่งเรียกชื่อผิดว่า อาณาจักรศรีวิชัย ในปัจจุบัน เมื่อปี พ.ศ.๑๒๒๔ ขึ้นมาแทนที่ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ สถานที่ดังกล่าวจึงถูกใช้งานเพื่อจัดงานเฉลิมฉลองวันชาติของชนชาติไทย ณ ทุ่งลานช้าง หลังจากสามารถทำสงครามกอบกู้ดินแดนสุวรรณภูมิ กลับคืนมาให้ชนชาติไทยเป็นผลสำเร็จ ก็เกิดการจัดงานเป็นประเพณี เรื่อยมา ซึ่งปัจจุบันเรียกกันว่า วันสงกรานต์ ซึ่งถือว่าเป็นคนละวันกับวันปีใหม่ เพราะถือกันว่าวันปีใหม่ของชาติไทยโบราณนั้น คือวันแรกของเดือนอ้าย ของปี ศกศักราช

 ©-๕      นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ การเมืองไทยสมัยธนบุรี สำนักพิมพ์มติชน ๒๕๓๘ หน้าที่ ๗๔-๗๖

 


 

 

                                                             บทที่-๓

 ชีวิตวัยเยาว์ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ

 

 

ชีวิตวัยเยาว์ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นเด็กเลี้ยงควายฝูง

        เมื่อ ด.. พ่วง มีพระชนมายุได้ ๓ พรรษา หม่อมนกเอี้ยง ต้องเป็นพระอาจารย์ให้ ด..พ่วง ได้รับการศึกษา อ่านออกเขียนได้ และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย ตามราชประเพณี อย่างเชื้อเจ้าซึ่งต้องศึกษาการเขียนอ่าน และ ศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นที่มาให้สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มีความเข้าใจประวัติศาสตร์ชาติไทย และเกิดความรักชาติมาตั้งแต่วัยเด็ก พื้นฐานเหล่านี้ คือพื้นฐานที่ทำให้สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มีความตั้งใจมั่น มีสติที่มั่นคงในการทำสงครามกอบกู้เอกราช โดยไม่กลัวความเหน็ดเหนื่อย และความยากลำบากใดๆ ในเวลาต่อมา

        การเติบโตตั้งแต่วัยเด็กในท้องที่ภาคใต้ ทำให้สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สามารถตรัสได้ ๓ ภาษา กล่าวกันว่า ด.ช.พ่วง ต้องตรัสภาษาไทยภาคกลางกับ พระราชมารดาหม่อมนกเอี้ยง ต้องตรัสภาษาจีนแต้จิ๋ว กับ พระราชบิดา และต้องตรัสภาษาไทยภาคใต้ กับเพื่อนๆ และเพื่อนบ้าน อย่างคล่องแคล่ว

        เมื่อ ด..พ่วง มีพระชนมายุได้ประมาณ ๕ พรรษา ก็สามารถช่วยเลี้ยงควายฝูงใหญ่ให้กับหม่อมนกเอี้ยง ได้เป็นอย่างดี ด.ช.พ่วง มีความสามารถในการขี่ม้า สามารถขี่ม้า ควบคุมควายฝูงใหญ่อยู่ในท้องที่ระหว่าง ทุ่งลานช้าง กับ ท่ากระจาย แขวงเมืองท่าชนะ กล่าวกันว่า ด.ช.พ่วง มีความสามารถในการประดิษฐ์อุปกรณ์แขวนคอควาย เรียกว่า ลูกเคาะ หรือ ลูกเกราะ ใช้สำหรับแขวนคอควาย เพื่อใช้ติดตามควบคุมควายฝูงใหญ่มิให้หลงฝูง ด้วย

 

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ชอบเสวยอาหารภาคใต้ ตั้งแต่วัยเยาว์

ที่บ้านดอนชายนั้น หม่อมนกเอี้ยง พูดภาษากลาง แต่พูดภาษาท้องถิ่นภาคใต้ ไม่ได้ เมื่อไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านดอนชาย เพื่อนบ้าน เห็นว่ามีความใกล้ชิดสนิทสนมกับ หม่อมดาว ภรรยาหลวง ของ พระยาไชยามุกดา เจ้าเมืองไชยา เพื่อนบ้านจึงเชื่อกันว่า หม่อมนกเอี้ยง เป็นผู้ดีกรุงศรีอยุธยา ส่วน ด.ช.พ่วง นั้น พูดได้ทั้งภาษากลาง และภาษาถิ่นภาคใต้ และภาษาจีนแต้จิ๋ว จึงได้รับความเกรงอกเกรงใจจากเพื่อนบ้านมาก ด.ช.พ่วง มีเพื่อนๆ มากมายในหมู่บ้าน พร้อมกับตั้งตัวเป็นผู้นำเด็กๆ ในวัยเดียวกัน ชอบเล่น หมากขุม หมากเก็บ และชอบเล่นไม้อี่ กับเพื่อนๆ ผู้ชายด้วยกัน ต่อมา ด.ช.พ่วง ชอบเลี้ยงไก่ชน ชอบการชนไก่ และชอบการต่อยมวย เป็นชีวิตจิตใจ

หม่อมนกเอี้ยง ต้องการสร้างภูมิคุ้มกันชีวิตให้กับบุตรชาย ให้สามารถสู้ชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมั่นคง จึงฝึกหัดให้บุตรชายฝึกหัดทำอาหารเสวยเองตั้งแต่วัยเด็ก ต้องซักเสื้อผ้าเอง ต้องเย็บปักชุน เสื้อผ้าที่สวมใส่เอง ด.ช.พ่วง ชอบทำอาหารอยู่ ๖ อย่างคือ ข้าวเหนียวแดงห่อใบตองแห้ง ข้าวต้มมัด ข้าวหลาม แกงเหลืองยอดมะขามอ่อนปลาช่อนแห้ง ต้มกะทิยอดมะขามอ่อนกุ้งแห้ง และ เนื้อหมูคลุกกะปิทอดกระเทียมพริกไทย อาหารเหล่านี้เชื้อสายสกุลครอบครัวทหารที่ใกล้ชิดสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เล่าสืบทอดต่อๆ กันมาว่า เป็นอาหารที่ทหารมักจะมีติดตัว หรือจัดปรุงรับประทานกันในการทำสงครามขับไล่กองทัพพม่า เป็นประจำ

       สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในวัยเยาว์ ชอบตั้งตัวเป็นผู้นำ เล่ากันว่า เมื่อ ด.ช.พ่วง ขี่ม้า ต้อนควายฝูง ออกจากคอก ไปกินหญ้า ก็จะนำอาหารที่ปรุงไว้ติดตัวไปด้วย เพื่อนฝูงในวัยเดียวกันจะติดตามกันไปจำนวนมาก เมื่อถึงเวลาเที่ยง ก็จะร่วมกันทำอาหารกินกันเองใต้ร่มไม้ใหญ่ ด.ช.พ่วง จะทำการแบ่งงานให้เพื่อนๆ ช่วยกันหาวัตถุดิบมาปรุงอาหาร อาหารชนิดใดที่เพื่อนๆ ทำไม่เป็น ด.ช.พ่วง จะฝึกสอนให้ เล่ากันว่า มีอยู่วันหนึ่งควายฝูง ตกใจวิ่งเหยียบภาชนะหม้อดิน ที่ใช้ทำอาหาร แตกเสียสิ้น ด.ช.พ่วง ตัดสินใจไปตัดไม้ไผ่ที่บ้านโหนดเสี้ยน มาใช้หุงข้าวและปรุงอาหารแทนภาชนะหม้อดิน เพื่อมิให้เพื่อนๆ ท้องหิว ทดแทนหม้อดิน

       เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เติบโตขึ้น อาหารภาคใต้ที่ชอบเสวย คือ แกงเผ็ดปูดำใบธรรมมัง กับฟักทอง และขนมจีนน้ำยาภาคใต้ ส่วนเครื่องดื่มที่ ด.ช.พ่วง ชอบทำดื่มเองเป็นประจำคือ น้ำใบบัวบกผสมน้ำใบแม่ย่านาง ที่ปรุงรสด้วยน้ำผึ้ง และเกลือ ด.ช.พ่วง จะปรุงขึ้นเองแล้วนำใส่กระบอกไม้ไผ่ นำติดตัวที่ออกไปเลี้ยงควายฝูงเป็นประจำทุกวัน ต่อมาหม่อมนกเอี้ยง ทราบข่าวว่า ด.ช.พ่วง และสหาย ชอบทิ้งควายฝูงออกไปท่องเที่ยวเป็นประจำ จึงตัดสินใจขายควายฝูงทิ้ง แล้วให้ ด.ช.พ่วง มาช่วยงานค้าขายของบิดา 

 

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ชอบแล่นเรือใบ ตั้งแต่ทรงพระเยาว์

       กล่าวกันว่า ด..พ่วง ในวัยเด็กนั้นซุกซุนมาก มีความสามารถในการว่ายน้ำ สามารถพายเรือแจวได้อย่างคล่องแคล่วตั้งแต่วัยเด็ก จึงสามารถใช้ความสามารถดังกล่าวช่วยงานของหม่อมนกเอี้ยง ในเวลาที่เรือสำเภาจีน เข้าเทียบท่าเรือที่ปากน้ำท่ากระจาย อีกด้วย โดยจะรีบขี่ม้ากลับมาบ้าน เพื่อช่วยพายเรือให้กับมารดา เพื่อลำเลียงสินค้าต่างๆ เช่น ไม้นูด หมากแห้ง ข้าวสาร ฯลฯ ลงสู่เรือสำเภาจีน เป็นประจำอีกด้วย

       เมื่อ ด.ช.พ่วง มีอายุได้ประมาณ ๖ พรรษา ก็ได้ร่วมกับสหายวัยเดียวกัน นำเรือแจว มาดัดแปลงติดใบเป็นเรือใบ นำเรือใบออกแล่นในทะเล แข่งขันกับสหายที่ทะเลปากน้ำท่ากระจาย เป็นประจำ ด.ช.พ่วง มีความสามารถในการแล่นเรือใบโดยอาศัย ลมบก ลมทะเล และลมมรสม ได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ออกไปแล่นเรือใบ นั้น ด.ช.พ่วง และสหาย จะร่วมกันออกไปหาปูม้า มาต้มรับประทานกันที่ชายทะเล หากวันใดสามารถจัดหาปูม้าได้มาก ด.ช.พ่วง จะจัดแบ่งปันให้สหาย นำไปฝากครอบครัวแต่ละบุคคล ด้วย

       ด.ช.พ่วง ได้คิดประดิษฐ์เรือบรรทุกสินค้า โดยการนำเรือแจวหลายลำมารัดติดกันด้วยไม้ไผ่ แล้วใช้กระสอบสินค้าวางบนเรือแจวที่รัดติดกัน ทำให้สามารถบรรทุกสินค้ามากขึ้น เมื่อลำเลียงสินค้านำไปส่งยังเรือสำเภาพ่อค้าจีนที่ทอดสมออยู่ที่ปากน้ำท่ากระจาย พ่อค้าเรือสำเภาจีน ชอบใจกันมาก ต่อมา ด.ช.พ่วง นำเรือแจวสองลำ มาต่อเชื่อมกัน ผูกรัดให้เชื่อมกันด้วยไม้ไผ่ ประดิษฐ์ใบ และหางเสือ ใส่ไว้ด้วย ทำให้ ด.ช.พ่วง นำเรือใบดังกล่าวออกแล่นใบ ทั่วอ่าวบ้านดอน เวลาเรือสำเภาค้าขายของพ่อค้าจีน เดินทางเข้าสู่อ่าวบ้านดอน ด.ช.พ่วง ก็จะนำเรือใบของตนเอง ออกแล่นเทียบ แข่งขันความเร็ว แล่นขนานมาด้วยกันจนถึงท่าเรือปากน้ำท่ากระจาย เป็นประจำ จนกระทั่งกัปตันเรือสำเภาจีน เห็นว่า ด.ช.พ่วง มีความสามารถในการเดินเรือ จึงชักชวน ด.ช.พ่วง ให้ไปทำงานเป็นลูกจ้างในเรือสำเภาจีน ในเวลาต่อมา

 

ชีวิตลูกจ้าง ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ๔ ปี

ในเรือสำเภาค้าขายจีน

หลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับพระราชประวัติของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ กล่าวตรงกันว่า พระองค์สามารถตรัสภาษาต่างประเทศได้หลายภาษา พระราชพงศาวดาร แทบทุกฉบับกล่าวว่า พระองค์ตรัสกับพระภิกษุญวน เป็นภาษาญวน ตรัสกับเชลยศึกพม่า เป็นภาษาพม่า โดยไม่ได้กล่าวถึงสาเหตุที่พระองค์มีความสามารถในการตรัสได้หลายภาษา หนังสือพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่เขียนขึ้นโดย ก.ศ.ร.กุหลาบ กล่าวว่า ในขณะที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ รับราชการเป็นมหาดเล็กหลวง ก็ได้ละงานราชการไปเที่ยวศึกษาภาษาจีน ญวน แขก พม่า มอญ มะโขด และฝรั่ง จนรู้ดีทุกภาษา§-๑ บันทึกต่างๆ ที่กล่าวมา ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ เป็นการปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลังที่ขัดแย้งกันเอง มีข้อเท็จริงอยู่น้อยมาก

ข้อเท็จจริง เมื่อ ด..พ่วง มีพระชนมายุได้ ๖ พรรษา สามารถแล่นเรือใบทั่วอ่าวบ้านดอน เมื่อถูกชักชวนจากพ่อค้าเรือสำเภาจีนให้ไปเป็นลูกจ้างในเรือสำเภาจีน จึงได้รบเร้ามารดา เพราะอยากเรียนรู้โลกกว้าง จึงขอสมัครเข้าทำงานกับเรือสำเภาจีน เพื่อเดินทางไปเรียนรู้เมืองต่างๆ ที่เคยได้รับการศึกษาเรียนรู้มาในประวัติศาสตร์ หม่อมนกเอี้ยง ทนการรบเร้าของบุตรชายไม่ได้ จึงได้นำเด็กชายพ่วง ฝากเข้าทำงานกับ หยางจิ้งจุง รองกัปตันเรือสำเภาจีน ซึ่งเป็นญาติกับมารดา นางติ่ง แซ่แต้ ส่วนผู้ควบคุมเรือสำเภาจีน ในขณะนั้น คือกัปตันเรือชื่อ เฉินเหลียง หรือ นายเหลียง แซ่เฉิน

นายเหลียง แซ่เฉิน เป็นชื่อในภาษาจีนแต้จิ๋ว หรือ เฉินเหลียง§-๒ ในภาษาจีนกลาง เป็นกัปตันเรือสำเภาค้าขายของประเทศจีน มีนายจิ้งจุง แซ่หยาง หรือ หยางจิ้งจุง§-๓ เป็นรองกัปตันเรือ บุคคลทั้งสองเป็นญาติกับ พระนางติ่ง แซ่แต้ พระราชมารดา ของ หม่อมนกเอี้ยง ได้ให้ความรักเอ็นดู ด..พ่วง เสมือนกับลูกหลานตนเอง บุคคลทั้งสองได้กลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ เป็นแม่ทัพใหญ่ ในการทำสงครามกอบกู้เอกราชชาติไทยในเวลาต่อมา

..พ่วง เป็นลูกจ้างทำงานในเรือสำเภาจีน ตั้งแต่พระชนมายุ ๖ พรรษา จนถึงพระชนมายุได้ ๑๐ พรรษา สภาพแวดล้อม ๔ ปี ที่ทำงานในเรือสำเภาจีน จึงเป็นที่มาให้ ด..พ่วง ต้องเดินทางไปตามเมืองท่าเรือ ของประเทศต่างๆ จึงมีความสามารถตรัสได้หลายภาษา ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ภาษาต่างประเทศที่มีการเรียนรู้มากขึ้นคือ ภาษาจีนกลาง ภาษายาวี(มาลายู) ภาษาญวน ภาษาพม่า ภาษามอญ และภาษาฝรั่ง คือ ภาษาอังกฤษ ภาษาฮอลันดา ภาษาฝรั่งเศส เป็นต้น

ในขณะนั้น ด.ช.พ่วง ยังไม่สามารถตรัสภาษาลาว และสามารถอ่านภาษาขอมไทย และภาษาบาลี ได้เท่านั้น ความสามารถดังกล่าวเกิดขึ้นมาในภายหลัง ดังนั้นข้อมูลที่กล่าวโดย ก.ศ.ร.กุหลาบ ที่กล่าวว่า ในขณะที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ รับราชการเป็นมหาดเล็กหลวง ก็ได้ละงานราชการไปเที่ยวศึกษาภาษาจีน ญวน แขก พม่า มอญ มะโขด และฝรั่ง จนรู้ดีทุกภาษา นั้นเป็นเพียงข้อมูลที่ปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลังเท่านั้น ขัดแย้งกับชีวิตที่เป็นจริงโดยสิ้นเชิง

 

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เดินทางไปประเทศจีน

เนื่องจากเรื่องราวพระราชประวัติในวัยทรงพระเยาว์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มีบุคคลต่างๆ เกี่ยวโยงกับพระองค์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ล้วนมีความผูกพันธุ์กับชีวิตของพระองค์ ทั้งก่อน และหลังการขึ้นครองราชย์สมบัติ เป็นจำนวนมาก ที่ได้กล่าวมาแล้วอย่างน้อย ๕ คน คือ หม่อมอั๋น หม่อมดาว พระยาไชยามุกดา เฉินเหลียง และ หยางจิ้งจุง เป็นต้น

นายเหลียง แซ่เฉิน หรือ เฉินเหลียง กัปตันเรือสำเภาจีนผู้นี้ ต่อมาในสมัยธนบุรี มีตำแหน่งตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และพงศาวดารสมัยกรุงธนบุรีซึ่งกล่าวว่า เคยเป็น หลวงพิพิธ เคยเป็น เจ้าพระยาโกษาธิบดี และเคยเป็น เจ้าพระยาราชาเศรษฐี ปกครองเมืองพุทธไทยมาศ และ เมืองบันทายมาศ

 

ภาพที่-๔ เป็นภาพวาดของ หยางจิ้งจุง ซึ่งฮ่องเต้เฉียนหลุง ให้จิตกรจีนวาดขึ้น ขณะที่รับราชการเป็นราชทูตสยาม เดินทางไปติดต่อให้ฮ่องเต้เฉียนหลุง รับรองทางการทูตให้สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นกษัตริย์ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี

 

ส่วน นายจิ้งจุง แซ่หยาง หรือ หยางจิ้งจุง เป็นรองกัปตันเรือ ต่อมาได้มีตำแหน่งเป็น หลวงพิชัย เคยเป็น เจ้าพระยาพิชัยไอยสวรรค์ เป็นราชทูต และเคยเป็น เจ้าพระยาโกษาธิบดี บุคคลทั้งสองเคยนำกองทัพเข้าตีเมืองจันทร์บูรณ์ ตีค่ายโพธิ์สามต้น มีบทบาทสำคัญมากในสมัยกรุงธนบุรี และยังเป็นผู้ที่มีบทบาทในการนำเอา ด.ช.พ่วง ไปใช้ชีวิตในประเทศจีนถึง ๓ ปี อีกด้วย

กล่าวกันว่า เมื่อ ด.ช.พ่วง มีอายุใกล้ครบ ๑๑ พรรษา หม่อมนกเอี้ยง อยากให้บุตรชาย ออกบวชเป็นสามเณรที่วัดศรีราชัน เมืองคันธุลี ตามราชประเพณี แต่ ด.ช.พ่วง หลบหนีไปท่องเที่ยวประเทศจีน เสียก่อน จึงยังมิได้ออกบวชเป็นสามเณร ขณะนั้น นายเฉิน แซ่เหลียง ได้มาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่สี่แยกท่าโพธิ์ เมืองไชยา บริเวณที่ดินเยื้องป่าช้าวัดประสบ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน เพื่อติดต่อการค้ากับ หม่อมดาว ซึ่งเป็นภรรยาหลวง ของ พระยาไชยามุกดา 

ส่วนนายจิ้งจุง แซ่หยาง หรือ หยางจิ้งจุง ต่อมาได้กลายเป็นกัปตันเรืออีกลำหนึ่ง ได้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ บริเวณปากน้ำท่ากระจาย แขวงเมืองท่าชนะ เพื่อติดต่อการค้ากับหม่อมนกเอี้ยง รับซื้อ ไม้นูด หมากแห้ง ข้าวสาร ฯลฯ เพื่อส่งไปขายในประเทศจีน เรือสำเภาจีน มักจะมาแวะมาทอดสมอเพื่อรับสินค้าที่ท่าเรือปากน้ำท่ากระจาย เมืองท่าชนะ หรือ ปากบางน้อย เมืองไชยา เป็นท่าเรือสุดท้าย เพื่อรอลมมรสม ก่อนที่จะเดินทางมุ่งหน้ากลับสู่ประเทศจีน

เมื่อ ด.ช.พ่วง มีพระชนมายุได้ใกล้ ๑๑ พรรษา พระองค์ขัดแย้งกับบิดาอย่างรุนแรง อีกทั้งพระองค์อยากเรียนรู้โลกกว้างมากขึ้น เพราะไม่เคยเดินทางไปยังประเทศจีน ด้วยเป็นกฎข้อห้ามของฮ่องเต้เฉียนหลุง ประเทศจีน ซึ่งห้ามเรือสำเภาจีนรับชาวต่างชาติโดยสารไปกับเรือสำเภา เข้าสู่ประเทศจีน แต่ ด.ช.พ่วง วางแผนเดินทางไปประเทศจีน อย่างลับๆ

หม่อมนกเอี้ยง พบเห็นปรากฏการณ์ผิดปกติของลูกชาย ที่ตั้งใจทำข้าวต้มมัด และข้าวเหนียวแดงห่อใบตองแห้ง เพื่อใช้เป็นเสบียงอาหารระหว่างเดินทาง ก็สงใสอยู่ในใจ เพราะทราบว่าเรือสำเภาของ จิ้งจุง แซ่หยาง จะต้องออกเดินทางมุ่งหน้าไปสู่ประเทศจีน และ ด.ช.พ่วง ต้องกลับมาพักอาศัยอยู่กับมารดา เพื่อเตรียมบวชเป็นสามเณร หม่อมนกเอี้ยง ได้มาทราบว่าลูกชาย วางแผนหลบหนีเดินทางไปประเทศจีน เมื่อได้พบเห็น ข้าวต้มมัด และข้าวเหนียวแดงห่อใบตองแห้ง และ เสื้อผ้าของลูกชายได้หายไป ก็ทราบว่าสายไปเสียแล้ว เพราะมองเห็นเพียงใบเรือสำเภาของจิ้งจุง แซ่หยาง ในท้องทะเลลึก ค่อยๆ จางลับหายลับไปกับตา

 

ชีวิตวัยเยาว์ของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ถูกจับมัดไว้กับบันใดใต้ท้องระวางเรือ

หนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ออกบวชสามเณรที่วัดโกษาวาสน์ กับ พระอาจารย์ทองดี ในขณะที่บวชสามเณร ได้เกิดอภินิหาร เนื่องจากถูกมัดแช่น้ำที่หัวบันใดวัด แต่ก็ไม่ตายด้วยน้ำขึ้น กลับดึงเอาบันใดท่าน้ำหลุดไปได้*๔  ในเรื่องนี้ ข้อเท็จจริงเรื่องถูกมัดไว้กับบันใด แต่ไม่ตายเมื่อน้ำท่วมนั้น เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นใต้ท้องระวางเรือ ในเรือสำเภาจีน ขณะที่เดินทางไปประเทศจีน

ด.ช.พ่วง ซ่อนตัวอยู่ในใต้ท้องระวางเรือสำเภาของ หยางจิ้งจุง ในขณะที่เรือสำเภามาจอดทอดสมอมารับซื้อสินค้าต่างๆ ที่ท่าเรือปากน้ำท่ากระจาย เพื่อเดินทางไปประเทศจีน ขณะที่เรือสำเภาเดินทางไปถึงแหลมญวน ก็มีฝนตกหนัก น้ำฝนจึงสาดเข้าไปขังที่ใต้ท้องระวางเรือเป็นจำนวนมาก   ด.ช.พ่วง จึงเปลี่ยนมาซ่อนตัวที่กระสอบมะพร้าวแห้ง เมื่อลูกเรือมาตรวจสอบระดับน้ำที่ใต้ท้องระวางเรือ ก็ได้พบกับ ด.ช.พ่วง จึงจับมัดไว้ที่บันใดทางขึ้นลงใต้ท้องระวางเรือสำเภา และกลับไปรายงานให้ หยางจิ้งจง ทราบ

เมื่อ หยางจิ้งจุง ได้รับรายงานจากลูกเรือ ทราบว่า ด.ช.พ่วง หลบหนีมากับเรือสำเภา และถูกจับมัดไว้กับบันใดใต้ท้องระวางเรือสำเภา ก็เป็นห่วงว่า ด.ช.พ่วง จะถูกน้ำใต้ท้องระวางเรือท่วมขัง จนเสียชีวิต จึงรีบเดินทางมาดูเหตุการณ์ พบว่าน้ำได้ท่วมขังใต้ท้องระวางเรือเรียบร้อยแล้ว แต่บันใดขึ้นลงใต้ท้องระวางเรือ กลับลอยขึ้นเองเพราะมีกระสอบบรรจุลูกมะพร้าวแห้ง วางอยู่ใต้บันใด เป็นเหตุให้ ด.ช.พ่วง ไม่เสียชีวิต หยางจิ้งจุง ได้ช่วยเหลือนำ ด.ช.พ่วง ขึ้นมาจากใต้ท้องระวางเรือ อย่างปลอดภัย

 

ชีวิตวัยเยาว์ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ๓ ปีในประเทศจีน

หยางจิ้งจุง ได้นำ ด.ช.พ่วง มาสอบสวนถึงเหตุผลที่ต้องหลบหนีเดินทางมาประเทศจีน ก็ทราบว่า ด.ช.พ่วง ขัดแย้งกับบิดา ถูกเฆี่ยนตี เพราะไปชกต่อยกับบุตรชายของผู้นำชมชนแขวงเมืองท่าชนะ และด.ช.พ่วง อ้างว่า ต้องการเรียนรู้วรรณคดีจีนเรื่อง ๓ ก๊ก อยากเรียนรู้ประวัติศาสตร์จีน และอยากเดินทางไปเห็นเมืองนานกิง เมืองที่สมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์ ถูกจับไปสำเร็จโทษ ที่เมืองดังกล่าวด้วย หยางจิ้งจุง มองเห็นความตั้งใจของ ด.ช.พ่วง จึงตอบสนองความปรารถนา ช่วยปลอมตัว ด.ช.พ่วง ให้เป็นชาวจีน ด้วยการตัดผมเปียตนเอง นำมาต่อกับผมผูกจุก ของ ด.ช.พ่วง กลายเป็นเด็กไว้ผมเปีย เช่นเดียวกับชาวจีน ทั่วไป

ด.ช.พ่วง ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ๓ ปี โดยการอุปถัมภ์ ของครอบครัว หยางจิ้งจุง และครอบครัว นายเฉินเหลียง เป็นที่มาให้ ด.ช.พ่วง ประทับใจการเดินทางด้วยม้าในประเทศจีนมาก พระองค์ได้ศึกษาวรรณคดีจีน เรื่องสามก๊ก ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของจีน ได้เดินทางท่องเที่ยวเมืองต่างๆ ในหลายมณฑล ตามที่ต้องการ สิ่งที่ ด.ช.พ่วง ประทับใจมากคือ กองทหารม้าของประเทศจีน ที่ใช้อาวุธปืนลูกซองยาว การเรียนรู้วรรณคดีจีนเรื่องสามก๊ก ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ความรู้ดังกล่าว พระองค์ได้นำมาใช้ในการวางแผนทำสงคราม เพื่อการกอบกู้เอกราชชาติไทย ในเวลาต่อมา

ขณะที่ ด.ช.พ่วง พักอยู่ในประเทศจีน เป็นปีที่สาม พระองค์ทราบดีถึงความรู้สึกของมารดาที่กำลังห่วงใย จึงเขียนจดหมายฝากกลับมาว่า ขอศึกษาเรียนรู้วิชาการต่างๆ ในประเทศจีนครบ ๓ ปี แล้วจะเดินทางกลับไปบวชเป็นสามเณร ตามที่เคยให้สัญญาไว้กับมารดาหม่อมนกเอี้ยง  

 

หม่อมนกเอี้ยง ถูกติดตามไล่ล่าจากแม่เลี้ยง

เพื่อยึดทรัพย์สมบัติ

พระราชประวัติของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในวัยทรงพระเยาว์ เต็มไปด้วยการเรียนรู้ พระองค์ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทย จึงเกิดความรักชาติ และหวงแหนผืนแผ่นดินที่บูรพกษัตริย์ และบรรพชนของชาติไทย ได้ร่วมกันยอมเสียสละเลือดเนื้อและชีวิต เพื่อรักษาดินแดนไว้ให้ชนชาติไทยมีผืนแผ่นดินอยู่อาศัย พระองค์ได้เรียนรู้ถึงสังคมโลกกว้างของดินแดนไทย และประเทศข้างเคียง พระองค์ยังได้เรียนรู้กุลยุทธ์ในการทำสงครามจากวรรณคดีจีนเรื่องของสามก๊ก ในประเทศจีน แต่พระองค์ยังมิได้เรียนรู้ถึงพระธรรมคำสั่งสอนของ พระพุทธองค์ ที่ทำให้สังคมไทย อยู่ร่วมกันอย่างมีคุณธรรม อย่างสงบสุข พระราชมารดาของพระองค์ คือหม่อมนกเอี้ยง ต้องการให้ ด.ช.พ่วง ได้เรียนรู้สิ่งที่ยังขาดหายไป

ขณะที่ ด.ช.พ่วง ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศจีน นั้น หม่อมนกเอี้ยงมีบุตรชายอีกคนหนึ่งชื่อ ประหยัด หรือ หยัด ต่อมาประมาณปี พ.ศ.๒๒๘๘ หม่อมนกเอี้ยง ถูกทำหนังสือร้องเรียนในเรื่องที่ ด.ช.พ่วง ชกต่อยกับบุตรชาย ผู้นำชมชนแขวงเมืองท่าชนะ*๕ ก่อนที่จะเดินทางไปประเทศจีน เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ได้รับฎีการ้องทุกข์ ก็ส่งทหารมาติดตามเรียกตัวหม่อมนกเอี้ยง กลับคืนสู่พระราชวังหลวง หวังที่จะยึดสมบัติให้กับ พระองค์เจ้าพลับ อัครมเหสี ของ พระเจ้าบรมโกศ และเป็นพี่น้องต่างมารดา ของ หม่อมนกเอี้ยง เป็นเหตุให้หม่อมนกเอี้ยง ต้องหลบหนีอีกครั้งหนึ่ง และเป็นเหตุให้สามี ของ หม่อมนกเอี้ยง คือ นายต้า แซ่ลิ้ม ไม่ปลอดภัยด้วย ต้องหลบหนีพร้อมกันด้วย และต้องใช้ชีวิตแยกทางกับ หม่อมนกเอี้ยง ในเวลาต่อมา

หม่อมนกเอี้ยง เชื่อว่าถ้าตัดสินใจเดินทางกลับกรุงศรีอยุธยา จะต้องถูกแม่เลี้ยง ยึดทรัพย์สิน และจะต้องถูกฆ่าตาย อย่างแน่นอน ส่วนสามี นายต้า แซ่ลิ้ม นั้น ถ้ายังคงประกอบอาชีพเป็นช่างทอง และส่งสินค้า ขายให้กับพ่อค้าเรือสำเภาจีน ที่บ้านดอนชาย ปากน้ำท่ากระจาย จะต้องถูกจับกุม และถูกฆ่าตาย เช่นกัน หม่อมนกเอี้ยง และสามี จึงเก็บทรัพย์สมบัติ นำบุตรธิดา เดินทางไปสืบข่าวจาก หม่อมอั๋น ที่เมืองเพชรบุรี โดยฝากบ้านดอนชาย ไว้กับเพื่อนบ้าน

เมื่อหม่อมนกเอี้ยง พร้อมสามี นำบุตร-ธิดา ด.ญ.ประยงค์ และ ด.ช.ประหยัด เดินทางไปพบกับหม่อมอั๋น ผู้เป็นน้องสาว ที่เมืองเพชรบุรี นั้น ก็ทราบว่า ทางสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ มีคำสั่งให้ พระยาเพชรบุรี(ตาล) จับกุมหม่อมนกเอี้ยง และ สามี นายต้า แซ่ลิ้ม ส่งกลับคืนเข้าสู่พระราชวังหลวง หากพบเห็นหม่อมนกเอี้ยง เดินทางมาพบ

หม่อมนกเอี้ยง พร้อมสามี และ หม่อมอั๋น ได้หารือร่วมกัน พิจารณาเห็นว่า ถ้าหม่อมนกเอี้ยง กับ สามี นายต้า แซ่ลิ้ม ต้องหลบหนีไปด้วยกัน จะต้องใช้ทรัพย์สินเดิมจนหมดสิ้น ชีวิตภายหน้าจะยากลำบาก จึงเสนอให้ นายต้า แซ่ลิ้ม เดินทางไปขอความช่วยเหลือจากเครือญาติของ นางเจิ้งติ่ง ที่บ้านท่าดินแดง กรุงศรีอยุธยา เพื่อสร้างอาชีพขึ้นใหม่ เพื่อนำเงินส่งไปช่วยเหลือหม่อมนกเอี้ยง และ ลูกๆ ที่กำลังหลบหนี 

ส่วนหม่อมนกเอี้ยง ทางหม่อมอั๋น เสนอให้หม่อมนกเอี้ยง หลบหนีไปอยู่อาศัยอยู่กับเจ้าพระยานครศรีธรรมราช(ราชสุภาวดี) ซึ่งเป็นญาติสนิท ที่เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อรอคอยวันคืนกลับมาของลูกชาย ด.ช.พ่วง จากประเทศจีน จนกว่าเหตุการณ์การติดตามไล่ล่า ของ แม่เลี้ยง สงบลง จึงเป็นที่มาให้ หม่อมนกเอี้ยง กับ นายต้า แซ่ลิ้ม ผู้เป็นสามี ต้องแยกทางกัน

หม่อมอั๋น ได้เดินทางโดยเรือสำเภา ไปส่งหม่อมนกเอี้ยง พร้อมบุตรธิดา ที่เมืองนครศรีธรรมราช ได้นำเรื่องราวความเป็นจริงเล่าให้ เจ้าพระยาราชสุภาวดี เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นญาติสนิท กับ หม่อมนกเอี้ยง รับทราบ เจ้าพระยาราชสุภาวดี ไม่กล้าจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับหม่อมนกเอี้ยง ให้พักในตัวเมืองนครศรีธรรมราช จึงได้ตัดสินใจ ให้หม่อมนกเอี้ยง พร้อมบุตรธิดา ไปอาศัยอยู่ที่ถ้ำเขาขุนพนม โดยจัดส่งข้าวของเครื่องใช้ คนรับใช้ และคอยส่งเสบียงอาหารให้กับหม่อมนกเอี้ยง เป็นประจำ ส่วนนายต้า แซ่ลิ้ม สามีของหม่อมนกเอี้ยง ได้เดินทางไปพบเครือญาติของหม่อมนกเอี้ยง ที่บ้านท่าดินแดง กรุงศรีอยุธยา เพื่อขอความช่วยเหลือตามแผนการที่กำหนด

 

สามีหม่อมนกเอี้ยง เปลี่ยนชื่อเป็น นายหยุง แซ่ลิ้ม 

เมื่อนายต้า แซ่ลิ้ม สามีของหม่อมนกเอี้ยง ได้เดินทางไปพบเครือญาติของ เจิ้งติ่ง ซึ่งเป็นมารดาของ หม่อมนกเอี้ยง และ หม่อมอั๋น ที่บ้านท่าดินแดง กรุงศรีอยุธยา เพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องอาชีพการงานในอนาคต นายต้า แซ่ลิ้ม ต้องเลิกอาชีพช่างทอง และได้รับคำแนะนำให้ไปประกอบอาชีพรับซื้อข้าว ที่เมืองธนบุรี และได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น นายหยุง แซ่ลิ้ม เครือญาติของหม่อมนกเอี้ยง ได้ให้นายหยุง แซ่ลิ้ม ไปใช้อาคารที่ดินบริเวณท่าน้ำราชวงศ์ กรุงเทพมหานครฯ ในปัจจุบัน เป็นสถานที่รับซื้อข้าวเปลือก และ ข้าวสาร เพื่อส่งไปขายให้กับ หยางจิ้งจุง ซึ่งตั้งโกดังสินค้าตั้งอยู่ที่ บริเวณวัดอนงคาราม เมืองธนบุรี เพื่อนำข้าวสารไปส่งขายยังประเทศจีน

กิจการค้าของนายหยุง แซ่ลิ้ม ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยได้นำผ้าไหม และ เครื่องถ้วยชาม จากประเทศจีน มาจำหน่ายที่เมืองธนบุรี ด้วย นายหยุง แซ่ลิ้ม ได้ส่งเงินทองโดยฝากผ่าน หยางจิ้งจุง ไปยังหม่อมอั๋น เพื่อส่งต่อให้กับหม่อมนกเอี้ยง ที่เมืองนครศรีธรรมราช เป็นประจำ เนื่องจากหม่อมอั๋น เป็นผู้กีดกันไม่ให้นายหยุง แซ่ลิ้ม สามีของหม่อมนกเอี้ยง ติดต่อกับหม่อมนกเอี้ยง โดยตรง เพราะเกรงความปลอดภัย ของ หม่อมนกเอี้ยง ทำให้ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา ระหว่าง นายหยุง แซ่ลิ้ม กับ หม่อมนกเอี้ยง ขาดหายไป ในที่สุด นายหยุง แซ่ลิ้ม ก็ได้ภรรยา สาวเชื้อจีน คนใหม่

 

นายหยุง แซ่ลิ้ม ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ขุนจักร

กิจการค้าของ นายหยุง แซ่ลิ้ม กับ ภรรยาคนใหม่ ที่เมืองธนบุรี เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ภรรยาใหม่ ทำหน้าที่ค้าขาย ผ้าไหมจีน และ ถ้วยชามจีน อยู่ที่ท่าน้ำราชวงศ์ ส่วนนายหยุงแซ่ลิ้ม ไม่สามารถจัดหาข้าวสารเพียงพอต่อความต้องการซื้อ ของ พ่อค้าเรือสำเภาจีน ปัญหาที่สำคัญคือการแปรรูปข้าวเปลือกมาเป็นข้าวสาร เนื่องจากชาวไทยสมัยนั้น เมื่อทำการเกี่ยวข้าว และนวดข้าวเสร็จแล้ว การแยกข้าวเปลือกกับข้าวลีบออกจากกันนั้น ต้องอาศัยแรงลม โดยการโรยข้าวเปลือกที่นวดแล้วให้แรงลมพัดข้าวลีบและเศษฟางแห้ง ให้แยกออกไป จึงจะนำไปตำ หรือโม่ เพื่อให้ได้ข้าวสารตามที่ต้องการ ทำให้ผลผลิตข้าวสาร ล่าช้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ 

นายหยุง แซ่ลิ้ม เคยพบเห็นเครื่องฝัดข้าว เพื่อแยกแกลบ แยกข้าวเปลือกออกจากกัน โดยใช้แรงลมจากจักรกลที่มนุษย์คิดขึ้น โดยไม่ต้องรอแรงลมตามธรรมชาติในประเทศจีนมาก่อน เป็นที่มาให้ นายหยุง แซ่ลิ้ม ทำการหลอมเหล็ก สร้างเฟืองจักรกล ทดรอบ เพื่อทำการสร้างเครื่องฝัดข้าว ขึ้นมาสำเร็จ และนำไปรับจ้างฝัดข้าว จากชาวนาทั่วเมืองธนบุรี แล้วรับซื้อข้าวเปลือกมาทำการแปรรูปเป็นข้าวสารที่ท่าน้ำราชวงศ์ ปริมาณข้าวสารที่ได้รับจึงมีมากขึ้นหลายเท่าตัว แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของพ่อค้าสำเภาจีน 

นายหยุง แซ่ลิ้ม ได้สร้างเครื่องฝัดข้าวออกจำหน่ายให้กับชาวนาทั่วเมืองธนบุรี และต่อมาขยายไปยังกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าบรมโกศ ได้พบเห็นเครื่องฝัดข้าวดังกล่าว พอพระทัยมาก จึงได้เรียกนายหยุง แซ่ลิ้ม เข้าเฝ้าแล้วโปรดเกล้าให้นายหยุง แซ่ลิ้ม เป็นขุนนางศักดินา ของ กรุงศรีอยุธยา เรียกตำแหน่งว่า ขุนจักร พร้อมกับได้มอบที่ดินหลายร้อยไร่ บริเวณทุ่งสีลม กรุงเทพมหานครฯ ในปัจจุบัน ไปครอบครอง

เมื่อนายหยุง แซ่ลิ้ม ได้รับที่ดินตามตำแหน่งศักดินา ที่ทุ่งสีลม ไปครอบครอง นั้น จึงเป็นที่มาให้นายหยุง แซ่ลิ้ม คิดเครื่องสีข้าว ด้วยพลังงานลม ขึ้นมาที่ทุ่งสีลม ตั้งแต่นั้นมา ต่อมา นายหยุง แซ่ลิ้ม ได้คิดค้นเครื่องจักรกล สร้างกังหันลมแบบนาเกลือ จนสามาถนำพลังงานลมไปใช้สีข้าว ได้สำเร็จ จึงได้ตั้งโรงสีลม ขึ้นมาหลายโรง เพื่อผลิตข้าวสาร ให้ทันกับความต้องการของพ่อค้าเรือสำเภาจีน เป็นที่มาให้ท้องที่ดังกล่าวถูกเรียกชื่อว่า ทุ่งโรงสีลม และถูกเรียกสั้นๆ ในเวลาต่อมาว่า ทุ่งสีลม หรือ โรงสีลม ตั้งแต่นั้นมา

 

 ขุนจักร(นายหยุง แซ่ลิ้ม) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น ขุนพัฒน์

เมื่อขุนจักร(นายหยุง แซ่ลิ้ม) สามารถสร้างโรงสีลมขึ้นมาในท้องที่ทุ่งสีลม เมืองธนบุรี ได้สำเร็จ กิจการค้าขายข้าวสารกับพ่อค้าเรือสำเภาจีน ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ สามารถเพิ่มยอดขายจนกระทั่ง ขุนจักร(นายหยุง แซ่ลิ้ม) ร่ำรวยขึ้นอย่างรวดเร็ว โรงสีลมที่สร้างขึ้นที่ทุ่งสีลม นั้น ยังให้ผลผลิตรำข้าว ปลายข้าว เป็นจำนวนมาก ขุนจักร จึงได้ตั้งฟาร์มเลี้ยงหมู กลายเป็นพ่อค้าขายหมู ที่ทุ่งสีลม ส่งขายเนื้อหมูที่เมืองธนบุรี อีกด้วย 

ขุนจักร เป็นผู้จ่ายภาษีอากรผ่านเจ้าเมืองธนบุรี เพื่อจ่ายให้กับราชสำนักอยุธยา อย่างไม่บกพร่อง ต่อมาขุนจักร จึงได้รับโปรดเกล้าจากพระเจ้าบรมโกศ ให้เป็นผู้เก็บภาษีอากร กับผู้ที่ค้าขายกับประเทศจีน และ เป็นผู้เก็บค่าต๋อง จากบ่อนการพนันต่างๆ ที่เมืองธนบุรี เพื่อส่งให้กับราชสำนัก กรุงศรีอยุธยา จนได้รับการแต่งตั้ง ให้มีตำแหน่งศักดินาเป็น ขุนพัฒน์ เป็นนายอากรบ่อนเบี้ย มีที่ดินที่ทุ่งสีลม เพิ่มขึ้นอีกมากมาย

ขุนพัฒน์ ซึ่งได้ภรรยาใหม่ มีบุตรธิดา เพิ่มขึ้นอีกหลายคน และร่ำรวยขึ้นมาก ต่อมาได้ทอดทิ้งหม่อมนกเอี้ยง มิได้ส่งเงินทองให้กับ หม่อมนกเอี้ยง อีกต่อไป หม่อมนกเอี้ยง จึงต้องอาศัยอยู่ที่ถ้ำขุนเขาพนม อยู่กับบุตรธิดา ๒ คน อย่างเดียวดาย บุตรคนโตคือ ด.ช.พ่วง ยังคงอาศัยอยู่ในประเทศจีน สภาพดังกล่าวจึงเป็นที่มาให้สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ไม่พอพระทัย ต่อ พระราชบิดามาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และไม่ยอมใช้สกุล "แซ่ลิ้ม" ของบิดา กลับใช้สกุล แซ่เจิ้ง (ภาษาจีนกลาง) หรือ แซ่แต้ (ภาษาจีนแต้จิ๋ว) ของ พระนางเจิ้งติ่ง แทนที่ 

 

หม่อมนกเอี้ยง รอการกลับมาของ ด.ช.พ่วง จากประเทศจีน

เมื่อครบกำหนด ๓ ปี หม่อมนกเอี้ยง ซึ่งซ่อนตัวอยู่ที่ ถ้ำเขาขุนพนม เมืองนครศรีธรรมราช ได้พยายามติดต่อกับ หยางจิ้งจุง นัดหมายให้นำบุตรชายที่อาศัยอยู่ในประเทศจีน ซ่อนตัวมากับเรือสำเภา ให้คนรับใช้ ไปรับตัว ด.ช.พ่วง ที่ปากแม่น้ำหลวง ปากอ่าวบ้านดอน เพื่อนำลงเรือเดินทางต่อไปยังถ้ำพรรณรายณ์ เนื่องจากสมัยนั้น เรือเล็กสามารถเดินทางระหว่างทะเลออก (อ่าวไทย) กับ ทะเลตก(ทะเลอันดามัน) ได้เป็นอย่างดี เพราะแม่น้ำตาปี ต่อเชื่อมกับแม่น้ำกระบี่ แม่น้ำกันตัง ซึ่งเคยเรียกชื่อว่า ช่องแคบโพธิ์นารายณ์ 

เมื่อมีการนัดหมายให้ส่งตัว ด.ช.พ่วง ให้คนรับใช้ที่ปากแม่น้ำหลวง เพื่อนำ ด.ช.พ่วง ไปส่งให้กับหม่อมนกเอี้ยง ที่ถ้ำพรรณรายณ์ เมืองนครศรีธรรมราช แต่เนื่องจากระหว่างการเดินทางก่อนถึงเกาะชวา ลูกเรือจีน คนหนึ่งพบเห็น ด.ช.พ่วง ซ่อนตัวมาในลำเรือสำเภา ด้วย หยางจิ้งจุง เกรงว่า ลูกเรือสำเภาจีน จะร้องเรียนต่อพระเจ้ากรุงจีน เพราะผิดกฎหมายจีน ที่ห้ามมิให้รับบุคคลภายนอก เดินทางมากับเรือสำเภาค้าขายของประเทศจีน มีกฎเกณฑ์กำหนดว่า ถ้าพบว่ามีคนซ่อนตัวเดินทางมาด้วย ให้นำลงที่ท่าเรือข้างหน้า 

เมื่อลูกเรือสำเภาจีน โวยวายขึ้น หยางจิ้งจุง จึงต้องตัดสินใจส่ง ด.ช.พ่วง ลงเรือที่ท่าเรือเกาะชวา และได้ติดต่อขอฝากฝังให้ ด.ช.พ่วง เดินทางไปกับเรือสำเภาค้าขาย ของ นายบุญชู บุตรชายคนโต ของ พระยาไชยามุกดา เพื่อให้เดินทางกลับสู่ เมืองไชยา หม่อมนกเอี้ยง จึงไม่ได้พบลูกชายตามนัดหมาย กล่าวกันว่า หม่อมนกเอี้ยง มือหนึ่งจูงลูกสาว อีกมือหนึ่งอุ้มลูกชาย ต้องร้องร่ำให้อยู่ที่หน้าถ้ำพรรณรายณ์ รอคอยการคืนกลับมาของบุตรชาย ถ้ำดังกล่าวจึงถูกพระเจ้าตากสินฯ พระราชทานชื่อในภายหลังว่า ถ้ำพรรณรายณ์

 

ด.ช.พ่วง รู้จักสนิทสนม กับ นายบุญชู บุตรชาย ของ

พระยาไชยามุกดา

ด.ช.พ่วง ในวัย ๑๓ พรรษา เมื่อต้องอาศัยเรือสำเภาค้าขาย ของ นายบุญชู บุตรชายคนโตของ พระยาไชยามุกดา เพื่อเดินทางจากเกาะชวา กลับคืนสู่ดินแดน เมืองไชยา ราชอาณาจักรเสียม-หลอ จึงได้รู้จักสนิทสนมกับ นายบุญชู ซึ่งขณะนั้นมีอายุ ๑๖ ปี จะต้องถูกส่งตัวไปเป็นมหาดเล็ก ที่กรุงศรีอยุธยา  

ตำนานเรื่อง มากัน..ซิ..โว้ย คือเรื่องราวของความสนิทสนมระหว่าง ด.ช.พ่วง กับ นายบุญชู เพราะต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี นายบุญชู มีตำแหน่งเป็น เจ้าพระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู เป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่ง ในการทำสงครามขับไล่ข้าศึกพม่า ให้ออกไปจากดินแดน ราชอาณาจักรเสียม-หลอ 

มีเรื่องเล่ากันว่าเมื่อ หยางจิ้งจุง นำตัว ด.ช.พ่วง ไปฝากฝังให้นายบุญชู ช่วยนำกลับนั้น นายบุญชู ได้เรียกให้ลูกเรือมารวมตัวกันเพื่อกินข้าวพร้อมๆ กัน โดยใช้ภาษาแสลงว่า มา-กัน-ซิ-โว้ย มีความหมายถึงให้มากินข้าวพร้อมๆ กัน เพราะคำว่า มา-กัน-นา-ซิ เป็นภาษายาวี แปลว่า กินข้าว แต่ ด.ช.พ่วง เข้าใจผิด แปลความหมายเป็นว่า ให้เตรียมพร้อมเพื่อการออกเดินเรือสำเภา ออกจากท่าเรือ จึงวิ่งออกไปช่วยกางใบเรือสำเภา เป็นที่มาให้ ด.ช.พ่วง และ นายบุญชู มีความสนิทสนมระหว่างกัน ตั้งแต่นั้นมา

นายบุญชู ผู้นี้เป็นบุตรชายคนหนึ่งของ พระยาไชยามุกดา กับ หม่อมดาว ในปีต่อมาได้ไปรับราชการเป็นมหาดเล็กเป็น หลวงศักดิ์นายเวร ที่กรุงศรีอยุธยา เคยมีตำแหน่งสูงถึง พระยาจักรี(บุญชู) แต่ต่อมาถูกพระเจ้าเอกทัศน์ ปลดออกจากราชการ ในสมัยกรุงธนบุรี บุคคลผู้นี้ก็คือ เจ้าพระยาจักรีศรีองค์รักษ์ (บุญชู) เป็นอีกบุคคลหนึ่งของสหายร่วมรบ ที่ได้ร่วมกับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในการทำสงครามกอบกู้เอกราช

ด.ช.พ่วง ได้อาศัยเรือสำเภาของนายบุญชู ซึ่งต้องเดินทางต่อไปยังกรุงศรีอยุธยา เดินทางกลับคืนสู่ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ เนื่องจากนอนหลับเพลินไป จึงต้องไปลงเรือสำเภาที่ปากน้ำท่าตะโก เมืองชุมพร และต้องขอโดยสารเรือสำเภา ลำอื่นๆ เดินทางกลับมาที่ท่าเรือปากน้ำท่ากระจาย เมืองท่าชนะ อีกครั้งหนึ่ง 

ส่วนหม่อมนกเอี้ยง เมื่อได้รับจดหมายจาก หยางจิ้งจุง ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าได้ฝาก ด.ช.พ่วง มากับเรือสำเภาค้าขาย ของ นายบุญชู หม่อมนกเอี้ยง จึงตัดสินใจเดินทางไปพบลูกชายที่ บ้านดอนชาย เมืองท่าชนะ ฝากข่าวเพื่อนบ้านให้ช่วยแจ้งข่าวว่า หม่อมนกเอี้ยง รออยู่ที่วัดศรีราชัน เมืองคันธุลี

เมื่อเด็กชายพ่วง เดินทางกลับมาที่ บ้านดอนชาย ก็พบว่า หม่อมนกเอี้ยง ทิ้งบ้านให้ร้างไปแล้ว สอบถามเพื่อนบ้านข้างเคียงทราบว่าบิดาได้ทอดทิ้งมารดา ไปเรียบร้อยแล้ว จึงเดินทางไปที่ วัดศรีราชัน ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านดอนธูป ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ ในปัจจุบัน หม่อมนกเอี้ยง ได้พบกับ ด.ช.พ่วง ในวัย ๑๓ พรรษา ณ วัดศรีราชัน อีกครั้งหนึ่ง พบว่าลูกชายตนเองเติบใหญ่เป็นหนุ่มจนเกือบจำไม่ได้แล้ว จึงเสนอให้ออกบวชสาเณร ที่วัดศรีราชัน*๖ตามที่เคยสัญญากับ หม่อมนกเอี้ยง ไว้แต่เดิม

 

ชีวิตสามเณรพ่วง ๓ ปี ใต้ร่มโพธิ์ทอง ณ วัดศรีราชัน

เมืองคันธุลี

หนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ ซึ่งเขียนปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลัง กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ออกบวชสามเณรที่กรุงศรีอยุธยา ที่วัดโกษาวาสน์ กับ พระอาจารย์ทองดี ผู้แต่งหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ อ้างว่า ได้รับเรื่องราวจาก จดหมายเหตุของพระอาจารย์ทองดีวัดโกษาวาสน์ ทั้งสิ้น เรื่องนี้นับเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่พระอาจารย์ทองดี จะจดเรื่องราวของเด็กคนหนึ่งซึ่งไม่มีทางรู้ได้เลยว่า จะกลายเป็นพระเจ้าแผ่นดินในอนาคต หนังสือบางเล่มก็อ้างว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ บวชเป็นสามเณร ที่เมืองตาก ล้วนเป็นข้อมูลที่เขียนปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลังทั้งสิ้น

 

ภาพที่-๕ ภาพถ่ายบริเวณต้นโพธิ์ทอง กลางวัดศรีราชัน(วัดสั่งประดิษฐ์) ที่ตั้งกุฏิ ของ สามเณรพ่วง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของ ต้นโพธิ์ทอง ปัจจุบันวัดนี้ อยู่ในสภาพเกือบเป็นวัดร้าง

 

ข้อเท็จจริง เมื่อ ด.ช. พ่วง เดินทางกลับจากประเทศจีน จึงได้พบกับมารดาหม่อมนกเอี้ยง ที่วัดศรีราชัน หรือ วัดสั่งประดิษฐ์ จึงตัดสินใจออกบวชเป็นสามเณรตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับมารดา ได้ออกบวชสามเณรที่ วัดศรีราชัน ประชาชนเรียกชื่อว่า “เณรพ่วง” ตั้งกุฏิ อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของต้นโพธิ์ทอง ของ วัดศรีราชัน ในปัจจุบัน 

เมื่อ ด.ช.พ่วง ออกบวชเป็นสามเณร ทำให้หม่อมนกเอี้ยง ตัดสินใจกลับมาอาศัยอยู่ที่ เมืองท่าชนะ อีกครั้งหนึ่ง โดยต่อมาได้ตัดสินใจซื้อที่ดินบริเวณที่ตั้งพระราชวังร้าง เรียกชื่อว่า วังท้าวเทพนิมิต*๗ หม่อมนกเอี้ยง ได้มาสร้างบ้านใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวัดศรีราชัน เดิมเคยเรียกชื่อว่า วังเจ้าตาก ปัจจุบันเรียกกันว่า บ้านตาส้วง ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของ “ดอนเจ้าตาก” เป็นการสมความประสงค์ ของ หม่อมนกเอี้ยง ที่ต้องการให้บุตรชายได้บวชเป็นสาเณร เพื่อให้เรียนรู้พระธรรมคำสั่งสอนของ พระพุทธองค์ และประวัติศาสตร์ชาติไทย

ในปีดังกล่าว สามเณรพ่วง ได้ศึกษาพระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ในเวลาไม่นาน สามเณรพ่วง ก็มีความสามารถในการอ่านภาษาบาลี และภาษาขอมไทย ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ชนชาติไทยในดินแดนสุวรรณภูมิ จากพงศาวดารขุนหลวงใหญ่ไกลโศก เพิ่มขึ้น ณ วัดศรีราชัน อีกด้วย 

สามเณรพ่วง ยังได้ศึกษาการปรุงยาสมุนไพร เพื่อรักษาโรคต่างๆ โดยได้คอยรับใช้จัดหาพืชสมุนไพรให้กับพระอาจารย์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาด อีกด้วย สามเณรพ่วง ได้พบกับนายบุญชู บุตรชาย ของ พระยาไชยามุกดา ซึ่งเดินทางมาหายาสมุนไพรที่วัดศรีราชัน เป็นประจำ จึงทราบว่านายบุญชู มีอายุครบ ๑๖ ปี ต้องเดินทางไปรับราชการเป็นมหาดเล็กที่กรุงศรีอยุธยา ต่อมา นายบุญชู ได้รับโปรดเกล้าให้มีตำแหน่งเป็นมหาดเล็ก มีชื่อว่า หลวงศักดิ์นายเวร

 

ภาพที่-๖แผนที่ ที่ตั้งของวัดศรีราชัน และเส้นทางโบราณ ของ เมืองคันธุลี หรือเมืองครหิต

 

อีกในปีถัดมา(พ.ศ.๒๒๙๑) พระเจ้าบรมโกศ โปรดเกล้าให้ พระยาราชบังสัน(ตะตา) ผู้ปกครองเมืองธนบุรี และมีศักดิ์เป็นคุณอา ของ พระยาไชยามุกดา ไปเป็นเจ้าเมืองพัทลุง มีตำแหน่งศักดินาว่า “พระยาแก้วโกรพพิชัยภักดีบดินทรเดชัยอภัยพิริยพาหะ” ทำให้ พระยาไชยามุกดา ได้รับการโปรดเกล้า ให้เลื่อนตำแหน่งให้เป็นพระยาราชบังสันมุกดา ต้องไปปกครองเมืองธนบุรี ตำแหน่งเจ้าเมืองไชยา จึงว่างลง 

พระเจ้าบรมโกศ โปรดเกล้าแต่งตั้งให้  มหาดเล็กหลวงศักดิ์นายเวร(บุญชู) ในขณะที่มีอายุเพียง ๑๗ ปี เป็น พระยาไชยา ตำแหน่ง เจ้าเมืองไชยา มีหลวงอินทร์รักษา(บุญรอด) น้องชายต่างมารดาของ นายบุญชู เป็นปลัดเมือง ตั้งที่ว่าราชการเมืองอยู่ที่บ้านสงขลา ทำให้นายบุญชู ได้มาพบปะกับ สามเณรพ่วง ครั้งหนึ่ง เนื่องจากนายบุญชู ต้องมาหาพืชสมุนไพรให้กับหม่อมดาว เพื่อนำไปใช้ปรุงยาแผนโบราณ จากสามเณรพ่วงเป็นประจำ ทั้งสองคนจึงสนิทสนมกันเรื่อยมา เพราะหม่อมนกเอี้ยง เป็นญาติกับ หม่อมดาว ซึ่งเป็นมารดาของ พระยาไชยาบุญชู อีกด้วย

 

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สามารถตรัสได้หลายภาษา

และอ่านภาษาขอม ได้

ก.ศ.ร.กุหลาบ ได้กล่าวไว้ในหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ ว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มีความสามารถในการตรัสภาษาต่างๆ ได้หลายภาษา หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า พระองค์สามารถพระราชนิพนธ์กลอน บทละคร เข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง และยังสามารถอ่านตัวหนังสือขอม ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชั้นต้น ชี้ชัดว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สามารถตรัสภาษาจีนญวนและลาวได้ หลักฐานจดหมายรายวันทัพในคราวยกทัพไปตีเมืองพุทไธมาส ปี พ.ศ.๒๓๑๓ ระบุว่า “…สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ตรัสประภาสให้โอวาทพระสงฆ์ญวน โดยภาษาญวน พระสงฆ์จีน โดยภาษาจีน…”

ความสามารถในการตรัสภาษาต่างประเทศได้หลายภาษา นั้น เพราะสภาพแวดล้อมตลอดจนกระบวนการเติบโตในวัยเด็ก ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่ประสูติและเติบโตในภาคใต้ จึงสามารถตรัสภาษาท้องถิ่นภาคใต้ได้เป็นอย่างดี การใช้ชีวิตลูกจ้างในเรือสำเภาจีน ซึ่งต้องแวะทอดสมอตามท่าเรือต่างๆ ในประเทศข้างเคียง ระหว่างที่พระองค์มีพระชนมายุ ๖ พรรษา ถึง ๑๐ พรรษา ทำให้พระองค์สามารถตรัสภาษาจีน ญวน เขมร ยาวี มาลายู พม่า มอญ และ ภาษาฝรั่ง ได้เป็นอย่างดี และการใช้ชีวิตในประเทศจีนถึง ๓ พรรษา ก็เป็นสาเหตุให้พระองค์สามารถ อ่านเขียน ตรัสภาษาจีนกลาง จีนแต้จิ๋ว และ ภาษาจีนกวางตุ้ง ได้เป็นอย่างดี อีกด้วย

ส่วนความสามารถพิเศษที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สามารถอ่านเขียนภาษาขอม ได้เป็นอย่างดีนั้น เป็นผลมาจากการใช้ชีวิตออกบวชเป็นสามเณรที่วัดศรีราชัน ถึง ๓ ปี ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มีความรับรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา อย่างลึกซึ่ง ผู้สูงอายุที่เป็นเชื้อสายราชสกุลสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในท้องที่ จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ขณะที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ออกบวชเป็นสามเณร นั้น พระองค์ถือศีลเท่ากับพระภิกษุ สามารถสวดมนต์บทต่างๆ ได้เท่ากับพระภิกษุ กล่าวกันว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในขณะออกบวชเป็นสามเณร นั้น ได้ไปนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ในป่าช้าที่วัดศรีราชัน และที่ถ้ำตาจิต ภูเขาคันธุลี เป็นประจำ ในขณะที่สามเณร และพระภิกษุ ทั่วไป ไม่กล้าปฏิบัติ เพราะกลัวผี 

ส่วนความสามารถในการอ่านเขียน และความสามารถในการตรัสภาษาจีนได้เป็นอย่างดีนั้น มิได้มีผลมาจาก พระราชบิดาเป็นชาวจีนแต้จิ๋ว ตามที่นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานกันมาแต่เดิมแต่อย่างใด ส่วนความสามารถในการตรัสภาษาลาวได้ดีนั้น เป็นเหตุการณ์ภายหลังที่ลาสิขาออกจากสามเณร เป็นเหตุการณ์ในวัย ๑๘ พรรษาของพระองค์ ซึ่งได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ ตาผ้าขาวชีพราหมณ์ไชยเวช ซึ่งได้เดินทางไปทั่วภาคอีสาน และดินแดนลาว เป็นที่มาให้พระองค์สามารถตรัสภาษาลาวได้อย่างแคล่วคล่อง อีกภาษาหนึ่ง ในเวลาต่อมา อีกด้วย

 

พระเจ้ากรุงจีน สั่งปลด เฉินเหลียง และ หยางจิ้งจุง

ออกจากราชการ

ในปีที่ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ออกบวชเป็นสามเณรที่วัดศรีราชัน เมืองคันธุลี นั้น หยางจิ้งจุง และ เฉินเหลียง ถูกร้องเรียน ถูกสอบสวน พระเจ้ากรุงจีน ตั้งกรรมการสอบสวน เรื่องการนำ ด.ช.พ่วง อาศัยมากับกองเรือสำเภาค้าขายของจีน จึงถูกทำทัณฑ์บุญ เป็นเหตุให้ เฉินเหลียง และ หยางจิ้งจุง ได้ตัดสินใจขอลาออกจากราชการ และ ได้ติดต่อกับ หม่อมนกเอี้ยง และ พระยาราชบังสันมุกดา เพื่อขอรับราชการเป็นขุนนาง ในดินแดนของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา 

ในปีถัดมา เจ้าพระยาราชสุภาวดี เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช แต่งตั้งให้ หยางจิ้งจุง และ เฉินเหลียง ได้ไปเป็นขุนนางที่กรุงศรีอยุธยา เฉินเหลียง ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “หลวงพิพิธ” ช่วยราชการ กรมท่า และได้สมรสใหม่กับเชื้อสายราชวงศ์ของกรุงศรีอยุธยา คือธิดาของ หม่อมอั๋น เป็นภรรยาคนไทยอีกคนหนึ่ง ส่วน หยางจิ้งจุง ได้รับการแต่งตั้งจาก เจ้าพระยาราชสุภาวดี เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ให้มีตำแหน่งเป็น หลวงพิชัย เป็นเจ้าเมือง เบตุง ทำการปกครองดินแดนภาคใต้ตอนล่าง ครอบคลุมถึง เมืองปัตตานี 

 

หยางจิ้งจุง ออกบวชที่วัดศรีราชัน สามเณรพ่วง ผู้ตัดหางเปีย

นอกเหนือจากการที่ หยางจิ้งจุง(หลวงพิชัย) มีความสัมพันธ์ที่ดี กับ พระยาไชยาบุญชู แล้ว หลวงพิชัย(หยางจิ้งจุง) ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ สามเณรพ่วง อีกด้วย หยางจิ้งจุง ได้เดินทางมาเยี่ยม สามเณรพ่วง เมื่อสามเณรพ่วงมีพระชนมายุได้ ๑๗ พรรษา ณ วัดศรีราชัน ขณะนั้นสามเณรพ่วง ได้ศึกษาพระธรรมคำสั่งสอน และปฏิบัติพระธรรมวินัย เท่ากับผู้ที่บวชเป็นพระภิกษุ 

หยางจิ้งจุง ได้ถือโอกาสดังกล่าวขอออกบวช ๗ วัน ณ วัดศรีราชัน สามเณรพ่วง ขออาสาตัดผมเปียของหลวงพิชัย (หยางจิ้งจุง) อ้างว่า เป็นสามเณร แต่ถือศีลเท่าพระ จึงสามารถตัดผมเปีย ผู้อื่นได้ และเจ้าอาวาด ยอมอนุญาตให้สามเณรพ่วง ตัดผมเปียของ หยางจิ้งจุง ได้ ต่อมาสามเณรพ่วง ได้เก็บผมเปีย ของ หยางจิ้งจุง พร้อมกับได้โบกปูนไว้ที่เจดีย์ข้างอุโบสถ วัดศรีราชัน เหล่านี้คือความสัมพันธ์ ที่เกิดขึ้นระหว่าง สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ กับ หยางจิ้งจุง ซึ่งมีผลโยงใยมาถึงการร่วมทำสงคราม กอบกู้เอกราช ในเวลาต่อมา

ในขณะที่ สามเณรพ่วง มีพระชนมายุได้ ๑๗ พรรษา ก็ได้รู้จักกับ ตาผ้าขาวชีพราหมณ์ คนหนึ่ง มีชื่อว่า ตาผ้าขาวชีพราหมณ์ไชยเวช ซึ่งได้เดินทางมาที่วัดศรีราชัน พราหมณ์ผู้นี้เป็นผู้ที่มีพลังจิตแก่กล้ามาก สามารถใช้พลังจิต พลิกมีดดาบ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ สามเณรพ่วง รู้สึกศรัทธามาก ตาผ้าขาวพราหมณ์ไชยเวท ได้เดินทางมาฝึกสอนวิชาการต่อสู้ป้องกันตัวให้กับลูกศิษย์ ณ วัดศรีราชัน ทำให้สามเณรพ่วง ขอฝากตัวเป็นศิษย์ ตาผ้าขาวชีพราหมณ์ไชยเวช ด้วย ตาผ้าขาวพราหมณ์ไชยเวท ผู้นี้ ต่อมาก็คือ “เจ้าพระยาสรประสิทธิ์” ผู้มีบทบาทในการทำพิธีกรรมต่างๆ ในสมัยกรุงธนบุรี นั่นเอง

เมื่อสามเณรพ่วง มีพระชนมายุย่างเข้า ๑๘ พรรษา ก็ลาสิขาจากการเป็นสามเณร ณ วัดศรีราชัน หลังจากได้เรียนรู้พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ตามเป้าหมายแล้ว เพื่อต้องการเรียนรู้วิชาการใหม่ๆ เกี่ยวกับวิชาการรบป้องกันตนเอง กับชีพราหมณ์ไชยเวช ต่อไป

 

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สำรวจดินแดนสุวรรณภูมิ กับ

ตาผ้าขาวพราหมณ์ไชยเวช

พระราชประวัติของพระเจ้าตากสินฯ ในขณะที่ได้ลาสิกขาจากสามเณรพ่วง ประชาชนเรียกพระนามใหม่ว่า เณรพ่วง หรือ นายพ่วง ขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุได้ ๑๘ พรรษา หลังจากได้เรียนรู้พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ตามเป้าหมายแล้ว เณรพ่วง ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวยังดินแดนต่างๆ ของราชอาณาจักรเสียม-หลอ ที่ยังไม่เคยเดินทางไปถึง เช่นดินแดนราชอาณาจักรลานนา ราชอาณาจักรลาว ราชอาณาจักรคามลังกา ดินแดนราชอาณาจักรละโว้ และ ดินแดนอีสาน เณรพ่วง ยังต้องการเรียนรู้วิชาการใหม่ๆ เกี่ยวกับวิชาการทหาร วิชาการป้องกันตนเอง เณรพ่วง จึงขอฝากตัวเป็นศิษย์ของ ตาผ้าขาวชีพราหมณ์ไชเวช แต่หม่อมนกเอี้ยง คัดค้าน ต้องการให้ลูกชายไปรับราชการเป็นมหาดเล็ก ที่กรุงศรีอยุธยา

หม่อมนกเอี้ยงต้องการจัดหาพระอาจารย์มาจัดสอนให้กับลูกชาย แต่ นายพ่วง ไม่ยินยอม เนื่องจาก นายพ่วง ได้เคยรู้จักกับ “ตาผ้าขาวชีพราหมณ์ไชยเวช” จึงต้องการฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ในที่สุดพระอาจารย์เจ้าอาวาดวัดศรีราชัน เป็นคนกลางมาไกล่เกลี่ย อนุญาตให้นายพ่วง เดินทางสำรวจดินแดนราชอาณาจักรเสียม-หลอ และเรียนรู้วิชาตาผ้าขาว เป็นเวลา ๑ ปี หม่อมนกเอี้ยง จึงไม่สามารถทัดทานความตั้งใจของบุตรชายได้ พระอาจารย์เจ้าอาวาดวัดศรีราชัน จึงได้ให้ยืม ดาบพ่อขุนฤทธิ์ ให้ นายพ่วง ใช้เป็นอาวุธประจำกาย เพื่อนำไปใช้ฝึกวิชาการทหาร ต่อไป

เมื่อนายพ่วง ได้ฝากตัวเป็นศิษย์  ตาผ้าขาวชีพราหมณ์ไชยเวช เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เดินทางไปที่ วัดร้างวัดแก้ว เมืองจันทร์บูรณ์ ได้ไปเรียนวิชาตาผ้าขาว ณ สำนักตาผ้าขาวชีพราหมณ์ไชยเวช ตั้งอยู่ที่ วัดร้างแห่งหนึ่ง ของเมืองจันทร์บูรณ์ นายพ่วง ได้พบกับนายจันทร์ หนวดเขี้ยว สหายชาวบ้านบางระจัน และปลัดชู ในเวลาต่อมา ซึ่งเป็นลูกศิษย์ ของ ตาผ้าขาวพราหมณ์ไชยเวช ด้วยเช่นกัน

 

ตาผ้าขาวชีพราหมณ์ไชยเวช ได้นำนายพ่วง เดินทางออกไปสำรวจดินแดนต่างๆ ได้ไปฝึกอาวุธ และฝึกสมาธิ ตามเมืองโบราณที่ศักดิ์สิทธิ์ ตั้งแต่ดินแดนตอนเหนือ ดินแดนอีสาน ตลอดไปจนถึงดินแดนลาว มีลูกศิษย์ตาผ้าขาวชีพราหมณ์ไชยเวช ร่วมเดินทางไปด้วยหลายคน เช่น ขุนสรรค์ , นายแท่น , นายทองเหม็น , นายพันเรือง ปลัดชู และ นายจันทร์ หนอดเขี้ยว ซึ่งเป็นสหาย เป็นศิษย์พระอาจารย์คนเดียวกัน ที่ฝึกวิชาทหารด้วยกัน และ สนิทสนมกันตั้งแต่นั้นมา บุคคลเหล่านี้ คือวีรบุรุษศึกบ้านบางระจัน และผู้กล้าของกองทหารอาทมาต ในเวลาต่อมา นั่นเอง

 


 

 

 

เชิงอรรถ

§-๑       นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี พิมพ์ครั้งที่-๔ สำนักพิมพ์มติชน ๒๕๓๙ หน้าที่ ๘๗

 

§-๒          เฉินเหลียง เกิดที่มณฑลกวางตุ้ง มารดา ของ เฉินเหลียง เป็นพี่น้องร่วมท้องเดียวกันกับ มารดา ของ หยางจิ้งจุง บิดาของเฉินเหลียง เป็นขุนนางจีน ที่ มณฑลเซี่ยงไฮ้ และ มณฑลกว้างตุ้ง เคยเป็นกัปตันเรือสำเภาจีน ค้าขายกับต่างประเทศ ทำให้เฉินเหลียง มีอาชีพตามรอยบิดา ได้มาเป็นขุนนางจีน มีตำแหน่งเป็นกัปตันเรือสำเภาค้าขาย ของ พระเจ้ากรุงจีน กับต่างประเทศ โดยมี หยางจิ้งจุง ญาติลูกพี่ลูกน้อง เป็นรองกัปตันเรือ ต่อมาทั้งเฉินเหลียง และ หยางจิ้งจุง ถูกพระเจ้ากรุงจีน ตั้งกรรมการสอบสวน จึงขอลี้ภัยการเมือง มารับราชการอยู่ที่ประเทศสยาม

                  เฉินเหลียง ได้มารับราชการครั้งแรกที่กรมท่าซ้าย กรุงศรีอยุธยา มีตำแหน่งเป็น หลวงพิพิธวาที มีตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทำสงครามกอบกู้เอกราช เฉินเหลียง จึงเป็นแม่ทัพใหญ่ที่สำคัญคนหนึ่ง ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สมัยกรุงธนบุรี เคยดำรงตำแหน่ง เจ้าพระยาโกษาธิบดี และเป็น เจ้าพระยาราชาเศรษฐี ปกครองเมืองบันทายมาศ เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ถูกยึดอำนาจ ได้มาใช้ชีวิตบั้นปลายที่ปากน้ำท่ากระจาย เมืองท่าชนะ จนกระทั่งถึงแก่อนิจกรรม

 

§-๓         หนังสือสายตระกูล เจ้าพระยาพิชัยไอยสวรรค์ หยางจิ้งจุง เขียนรวบรวมโดย นายเสนีย์อนุชิต ถาวรเศรษฐ กล่าวว่า หยางจิ้งจุง เกิดที่มณฑลยูนนาน บิดารับราชการเป็นขุนนางจีนที่มณฑลยูนนาน ส่วนมารดา เป็นพี่น้องท้องเดียวกันกับมารดา ของ เฉินเหลียง ในวัยเด็ก ได้ไปเป็นลูกจ้างในเรือสำเภาค้าขายของจีน กับ บิดาของเฉินเหลียง เคยไปทำงานในอู่ต่อเรือสำเภาจีน ที่เกาะไหหลำ เคยไปรับราชการที่กรุงปักกิ่ง แล้วย้ายมารับราชการอยู่ที่ มณฑลเซี่ยงไฮ้ และ มณฑลกวางตุ้ง ต่อมาได้ไปรับราชการทำงานในเรือสำเภาค้าขาย ของ พระเจ้ากรุงจีน จนกระทั่งมีตำแหน่งเป็น รองกัปตันเรือสำเภาค้าขาย มี เฉินเหลียง เป็นกัปตันเรือ ต่อมาถูกร้องเรียน ถูกพระเจ้ากรุงจีน ตั้งกรรมการสอบสวน จึงขอลี้ภัยการเมือง มารับราชการอยู่ที่ประเทศสยาม เป็นผู้ปกครอง เมืองเบตุง แทนที่เจ้าเมืองปัตตานี

                  เมื่อ หยางจิ้งจุง มารับราชการอยู่ในประเทศสยาม เจ้าพระยาราชสุภาวดี เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช แต่งตั้งให้เป็น หลวงพิชัย เป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองเบตุง เมื่อเกิดสงครามกับพม่า ได้เข้าร่วมทำสงครามกอบกู้เอกราชชาติไทย หยางจิ้งจุง เป็นแม่ทัพใหญ่คนหนึ่ง ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เคยดำรงตำแหน่งเป็น เจ้าพระยาพิชัยไอยสวรรค์ และ เจ้าพระยาโกษาธิบดี ในปลายสมัยธนบุรี หยางจิ้งจุง ถูกหนังสือสนเท่ห์ ส่งไปยังพระเจ้ากรุงจีน ถูกใส่ความว่า เป็นผู้นำกองทัพเรือออกไปปล้นเรือสำเภาการค้าของประเทศจีน เพื่อนำไปทำสงครามกับพม่า พระเจ้ากรุงจีน จึงเรียกร้องให้ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ส่งตัวไปให้พระเจ้ากรุงจีน ลงโทษที่ประเทศจีน สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ จึงแสร้งทำพิธีเผาศพปลอม เพื่อสร้างข่าวว่า หยางจิ้งจุง เสียชีวิตแล้วเมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๗ ไม่ยอมส่งตัวไปให้ประเทศจีนลงโทษ ต่อมาได้ไปใช้ชีวิตในบั้นปลายชีวิต ที่บ้าเกาะไผ่ เมืองคันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน จนกระทั่งได้ไปเสียชีวิตที่เกาะไหหลำ ในต้นรัชกาลที่-๓

§-๔         นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี พิมพ์ครั้งที่-๔ สำนักพิมพ์มติชน ๒๕๓๙ หน้าที่ ๘๖

 

§-๕         เรื่องราวที่หม่อมนกเอี้ยง ถูกหนังสือฎีการ้องทุกข์ ถึง สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ เป็นเรื่องราวมาจาก บุตรชายของผู้นำชุมชนแขวงเมืองท่าชนะ ไปรังแกสหายของ ด.ช.พ่วง ในขณะที่ ด.ช.พ่วง ไปเป็นลูกจ้างในเรือสำเภาจีน ดังนั้นเมื่อ ด.ช.พ่วง กลับมาที่เมืองท่าชนะ และทราบเรื่องจึงขี่ม้าเดินทางไปสอบถาม จึงมีการท้าต่อยกันขึ้นที่ทุ่งลานช้าง ครั้งแรก ด.ช.พ่วง ถูกรุมชกต่อย บาดเจ็บ กลับมาให้หม่อมนกเอี้ยง รักษาแผล ครั้งที่สอง ด.ช.พ่วง พร้อมสหาย นัดชกต่อย ตัวต่อตัวกับ บุตรชายผู้นำชุมชนแขวงเมืองท่าชนะ ที่ทุ่งลานช้าง ผลปรากฏว่า บุตรชายผู้นำแขวงเมืองท่าชนะ พ่ายแพ้ และบาดเจ็บ จึงมาฟ้องร้องต่อ นายต้า แซ่ลิ้ม บิดาของ ด.ช.พ่วง เป็นที่มาให้ ด.ช.พ่วง ถูกบิดาเฆี่ยนตี และต่อมาเรื่องความขัดแย้งดังกล่าว ยังไม่ยุติ เพราะมีการทำฎีการ้องทุกข์ไปยังสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ในเวลาต่อมา เป็นที่มาให้ หม่อมนกเอี้ยง ต้องหลบหนีไปอยู่ที่ เมืองนครศรีธรรมราช

 

§-๖         วัดศรีราชัน ตั้งอยู่ที่บ้านดอนธูป หมู่ที่ ๓ ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี จากการตรวจสอบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างๆ เชื่อได้ว่า วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๑๑๕๐ เป็นวัดแรกที่เกิดขึ้นในท้องที่ จ.สุราษฎร์ธานี เพราะก่อนหน้าในสมัยนั้น มีเพียงสำนักสงฆ์เท่านั้น วัดศรีราชัน เกิดขึ้นในปลายสมัยของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ซึ่งปกครองโดยกษัตริย์ราชวงศ์เชิงภูเขา หรือ ราชวงศ์ไศเลนทร์วงศ์ ผู้ปกครองดินแดนสุวรรณภูมิ ในช่วงเวลาดังกล่าว

วัดศรีราชัน เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างชนชาติไทย ด้วยกันเอง มีสาเหตุมาจาก ท้าวปรารพ(พระยากง) สมกับกับรัฐของชนชาติมอญ ร่วมกันแบ่งปันดินแดนสุวรรณภูมิไปปกครอง เรียกชื่อรัฐใหม่ว่า สหราชอาณาจักรทวาราวดี ขึ้นมาปกครองแทนที่ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ซึ่งเป็นรัฐของชนชาติไทยมาเก่าก่อน โดยการทำตอแหล พูดความจริงส่วนหนึ่ง ความเท็จอีกส่วนหนึ่ง ทำให้ชนชาติไทยแตกแยกกันเองอย่างรุนแรง ในที่สุดรัฐของชนชาติมอญได้ทำการหักหลังท้าวปรารพ(พระยากง) ด้วยการทำสงครามเข้ายึดครองดินแดนสุวรรณภูมิ ไปครอบครองแทนที่ชนชาติไทย ทำให้ชนชาติไทยต้องสูญเสียดินแดนสุวรรณภูมิไปให้ชนชาติมอญ ไปครอบครองจำนวนมาก

                  ที่อาณาจักรหงสาวดี เป็นรัฐที่กษัตริย์ชนชาติไทยสร้างขึ้นมาก่อน ขึ้นต่อการปกครองของ สหราชอาณาจักรทวาราวดี ต่อมารัฐนี้ปกครองโดย ขุนศรีธรนนท์ พระราชโอรส ของ ท้าวปรารพ(พระยากง) กับ พระนางอุษา(แม่นางส่ง) ได้ถูกกองทัพมอญ เข้ายึดครองด้วยเช่นกัน ขุนศรีธรนนท์ ต้องอพยพไพร่พลชนชาติไทย จำนวน ๓๐,๐๐๐ คน เดินทางรอนแรม ๓ เดือน มาที่ภูเขาชวาปราบ(ภูเขาคันธุลี) เมืองคันธุลี แล้วตั้งตนปกครองอาณาจักรชวาทวีป(ภาคใต้ตอนบน) ขึ้นต่อ สหราชอาณาจักรทวาราวดี เป็นที่มาให้ ท้าวเทพนิมิต ซึ่งเป็นมหาจักรพรรดิ แห่ง สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กรุงลังกาสุกะ(ปัตตานี) ต้องยกกองทัพเข้าปราบปรามกองทัพ ของ ขุนศรีธรนนท์ ที่เมืองคันธุลี กองทัพทั้งสองปะทะกันที่ปากคลองวัง เมืองหนองหวาย กองทัพของพระนางอุษา(แม่นางส่ง) และกองทัพของ ขุนศรีธรนนท์ พ่ายแพ้สงครามแก่กองทัพ ของ ท้าวเทพนิมิต ณ สมรภูมิท่าน้ำปากคลองวัง ท่าน้ำดังกล่าวจึงถูกเรียกชื่อใหม่ว่า ท่าชนะ เมืองหนองหวาย ก็ถูกเรียกชื่อใหม่ว่า เมืองท่าชนะ ตั้งแต่นั้นมา ขุนศรีธรนนท์ จึงยอมขึ้นต่ออำนาจของ ท้าวเทพนิมิต ตั้งแต่นั้นมา

                  เมื่อท้าวเทพนิมิต ชนะสงคราม ก็ได้ใช้เมืองคันธุลี เป็นราชธานี ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ แทนที่เมืองปัตตานี แล้วสั่งให้ กษัตริย์รัฐต่างๆ ร่วมกันสร้างวัดขึ้นแห่งหนึ่งที่เมืองคันธุลี เพื่อให้เกิดความสามัคคีระหว่างกัน เมื่อสร้างวัดเสร็จก็พระราชทานนามว่า วัดศรีราชัน ส่วนประชาชนทั่วไปเห็นว่า ท้าวเทพนิมิต เป็นผู้สั่งให้กษัตริย์รัฐต่างๆ ร่วมกันสร้างขึ้น จึงเรียกชื่อว่า วัดสั่งประดิษฐ์ หลังจากสร้างวัดเสร็จ ท้าวเทพนิมิต ก็เปลี่ยนชื่อเมืองคันธุลี เป็นชื่อใหม่ว่า เมืองศรีพุทธิ พร้อมกับได้ส่งราชทูตไปแจ้งให้พระเจ้ากรุงจีน ให้รับทราบเมื่อปี พ.ศ.๑๑๕๑ ศาสตราจารย์ ดร.หวัง กูหวู่ นักประวัติศาสตร์จีน ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้ และพบหลักฐานว่า เมืองศรีพุทธิ ตั้งอยู่ที่เดียวกันกับ เมืองเกียโลหิต หรือ เมือง ครหิต หรือ เมืองคลองหิต คือเมืองเดียวกันกับ เมืองคันธุลี ในปัจจุบัน นั่นเอง   

ผู้สูงอายุเชื่อกันว่า ถ้าวัดศรีราชัน เสื่อมโทรม ประชาชนในประเทศ จะแตกแยกกันมาก จะทำตอแหลกันมาก ประชาชนในสยามประเทศ จะหาความจริงยาก ความยุติธรรม จะไม่เกิด และถ้าวัดนี้ร้างเมื่อใด ประเทศไทย จะเสียดินแดนสุวรรณภูมิ ทุกครั้ง

 

 

§-๗      วังท้าวเทพนิมิต เกิดขึ้นหลังสงครามท่าชนะ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ ของ วัดศรีราชัน เกิดขึ้นเมื่อท้าวเทพนิมิต ใช้เมืองคันธุลี(ศรีพุทธิ) เป็นราชธานี แทนที่ เมืองปัตตานี เมื่อท้าวเทพนิมิต สวรรคต ณ เขากง นราธิวาส ด้วยถูกท้าวปรารพ(พระยากง) ฆ่าทิ้ง พระราชวังเทพนิมิต ได้ร้างไป และมีการรื้อฟื้นขึ้นใช้หลายครั้ง สมัยต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ไปใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นพระราชวังที่ประทับ จึงถูกเรียกชื่อใหม่ว่า วังเจ้าตาก มีการจัดงานวันชาติสยาม ฉลองการทำสงครามกอบกู้เอกราชในพื้นที่ดังกล่าวในช่วง วันสงกรานต์ เป็นประจำทุกๆ ปี ได้มายกเลิกเมื่อประมาณ ๕๐ ปี มานี้ ต่อมา นายส้วง ได้ไปตั้งบ้านเรือนในพื้นที่ดังกล่าว จึงมีการเรียกชื่อใหม่ว่า ดอนตาส้วง สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

 


 

 

                                                 บทที่-๔

ชีวิตการรับราชการของ สมเด็จพระเจ้า

ตากสินฯ

 

 

หม่อมนกเอี้ยง มอบนายพ่วง ให้เป็นบุตรบุญธรรม ของ

พระยาราชบังสันมุกดา

เมื่อครบ ๑ ปี ตามสัญญาที่นายพ่วง ต้องการเรียนรู้วิชาตาผ้าขาว เป็นพื้นฐานที่ทำให้สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สามารถตรัสภาษาลาวได้อย่างคล่องแคล่ว ดังนั้นเมื่อครบเวลาตามที่กำหนด ตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญากับ หม่อมนกเอี้ยง ไว้ นายพ่วงก็เดินทางกลับมาพบมารดา ณ บ้านวังเทพนิมิต ข้างวัดศรีราชัน ก็ทราบว่า น้องสาว(ประยงค์) มีอายุ ๑๗ ปี (..๒๒๙๖) กำลังจะแต่งงานกับ ขุนหลวงอินรองเมือง (บุญรอด) ปลัดเมืองไชยา ซึ่งเป็นบุตรชายคนหนึ่ง ของ พระยาราชบังสัน (มุกดา) จากภรรยา ๔ คน และขุนหลวงอินรองเมือง เป็นน้องชายต่างมารดากับ นายรุก นายบุนนาค นายบุญเมือง และ พระยาไชยาบุญชู อีกด้วย

ในงานแต่งงานของน้องสาว นายพ่วง นั้น หม่อมนกเอี้ยง ได้ติดต่อกับ หม่อมดาว และ พระยาราชบังสัน(มุกดา) เจ้าเมืองธนบุรี เพื่อให้นำนายพ่วงไปฝากฝังเป็นมหาดเล็ก ที่กรุงศรีอยุธยา โดยมอบให้ นายพ่วง เป็นบุตรบุญธรรม ของ พระยาราชบังสันมุกดา ¨-๑ เจ้าเมืองธนบุรี โดยนัดหมายส่งตัว นายพ่วง ให้กับ พระยาราชบังสัน (มุกดา) ที่บ้านหม่อมดาว สี่แยกท่าโพธิ์ เมืองไชยา โดยมีตาผ้าขาวพราหมณ์ไชยเวช เดินทางไปกับเรือสำเภาเพื่อส่งตัวนายพ่วง ด้วย ในวันเดินทาง พระอาจารย์เจ้าอาวาดวัดศรีราชัน ได้มอบดาบขุนฤทธิ์ ซึ่งเคยให้ยืม และเชื่อว่ามีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ สิงห์อยู่ในดาบดังกล่าว ให้ใช้เป็นอาวุธประจำกาย แก่ นายพ่วง ซึ่งได้ใช้เป็นดาบคู่กายในการใช้ต่อสู้กับ ข้าศึกพม่า เพื่อการกอบกู้เอกราช ในเวลาต่อมา

       หม่อมนกเอี้ยง สั่งเสียให้นายพ่วง ให้ไปช่วยสืบหาที่อยู่ของบิดา ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น นายหยุง แซ่ลิ้ม ที่เมืองธนบุรี ด้วย หากขาดเงินทองให้ไปหาญาติตระกูลเจิ้ง ที่บ้านท่าดินแดง กรุงศรีอยุธยา หรือให้ขอเงินจากบิดา ที่ไปได้ภรรยาใหม่¨-๒ เนื่องจาก นายพ่วง ไม่พอใจบิดา ที่ทอดทิ้งหม่อมนกเอี้ยง นายพ่วง จึงปฏิเสธที่จะไปพบกับบิดา แต่หม่อมนกเอี้ยง พยายามสร้างความเข้าใจไม่ให้นายพ่วง ชิงชังบิดา ในที่สุดนายพ่วง ก็รับปากหม่อมนกเอี้ยง จะช่วยสืบหาที่อยู่ของบิดา ตามที่หม่อมนกเอี้ยง ร้องขอ

 

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ รู้จักกับ นายทองด้วง ครั้งแรก ณ

ปากแม่น้ำแม่กลอง

หนังสือเล่าเรียนทางประวัติศาสตร์ที่เล่าเรียนกันมา กล่าวตรงกันว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในขณะที่ได้มาเป็นมหาดเล็กที่กรุงศรีอยุธยานั้น ได้มาเป็นบุตรบุญธรรมของพระยาจักรี และเป็นพระสหายรุ่นพี่ ของ พระพุทธยอดฟ้าฯ(ทองด้วงรู้จักกันในขณะที่มารับราชการเป็นมหาดเล็ก ที่กรุงศรีอยุธยา

การเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ นั้น เกิดขึ้นหลังจากงานแต่งงานของน้องสาวของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ซึ่งมีชื่อว่า ประยงค์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์จริงเมื่อปี พ..๒๒๙๖ โดยหม่อมนกเอี้ยง ได้นัดหมายกับ พระยาราชบังสัน(มุกดา) เพื่อให้ส่งตัวบุตรชาย นายพ่วง ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุ ๑๙ พรรษา ณ ท่าเรือปากบางน้อย เมืองไชยา หลังจากนั้นเรือสำเภาของพระยาราชบังสันมุกดา จะแวะจอดทอดสมอที่ปากแม่น้ำแม่กลอง เพื่อรับ นายทองด้วง ซึ่งถูก แม่ดาวเรือง ฝากฝังให้เป็นบุตรบุญธรรม ของ พระยาราชบังสันมุกดา เช่นกัน ทั้งสองท่าน ได้เดินทางไปสมัครเป็นมหาดเล็ก ที่กรุงศรีอยุธยา ด้วยกัน

เมื่อเรือสำเภา ของ พระยาราชบังสันมุกดา เดินทางมาจอดทอดสมอที่ปากแม่น้ำแม่กลอง เมืองสมุทรสงคราม เพื่อรับ นายทองด้วง เดินทางไปเป็นมหาดเล็ก ด้วยนั้น นายพ่วง ได้พบครั้งแรกกับ นายทองด้วง ซึ่งแม่ดาวเรือง มารดาของนายทองด้วง นำคณะกลองยาวร้องรำทำเพลง นำหน้าขบวนเพื่อมาส่ง นายทองด้วง ที่ท่าเรือปากแม่น้ำแม่กลอง ด้วย นายพ่วง จึงทราบว่า มารดาของนายทองด้วง คือ แม่ดาวเรือง ได้ฝากฝังนายทองด้วง ไปเป็นมหาดเล็กที่กรุงศรีอยุธยา ด้วย

แม่ดาวเรือง นั้นเคยสมรสมาก่อนแล้ว มีลูกติดมา ๒ คนๆ หนึ่งคือ พระยาสรรค์ คนหนึ่ง ต่อมาสามีของแม่ดาวเรือง เสียชีวิต แม่ดาวเรืองจึงได้มาสมรสใหม่ กับ นายทองดี คือบิดาของ นายทองด้วง มีพี่น้องท้องเดียวกัน ๕ ท่าน คือ นางสา ขุนรามณรงค์ นางแก้ว นายทองด้วง และ นายบุญมา

เมื่อพระยาราชบังสันมุกดา ได้รับ นายทองด้วง ขึ้นเรือสำเภา พระยาราชบังสันมุกดา ซึ่งมีตาผ้าขาวชีพราหมณ์ไชยเวท เดินทางมาที่กรุงธนบุรี ด้วย ทำให้ นายพ่วงซึ่งได้รู้จักกับ นายทองด้วง ครั้งแรก ณ ที่ปากแม่น้ำแม่กลอง ในขณะเดินทางนั่งพักบนเรือสำเภา ตาผ้าขาวชีพราหมณ์ไชยเวช ได้เป็นโหร ได้ตรวจดวงชะตา และดูลายมือ ของ นายพ่วง และ นายทองด้วย ได้ทำนายว่า นายพ่วง และ นายทองด้วง จะได้เป็นกษัตริย์ของราชอาณาจักรเสียม-หลอ ในอนาคต ทั้ง ๒ ท่าน

เมื่อเรือสำเภาเดินทางมาถึงเมืองธนบุรี พระยาราชบังสันมุกดา ซึ่งได้รับนายพ่วง และนายทองด้วง เป็นบุตรบุญธรรม ได้ถูกนำไปฝึกวิชาทหารที่เมืองธนบุรี ก่อนที่จะนำไปฝากตัวเป็นมหาดเล็ก ที่กรุงศรีอยุธยา ส่วนตาผ้าขาวไชยเวช นั้น ต่อมาก็ถูกฝากฝังให้ทำงานในกรมวัง เพื่อช่วยงานพิธีกรรมทางพราหมณ์ ณ พระราชวังหลวงของ กรุงศรีอยุธยา ด้วย

 

นายพ่วง และ นายทองด้วง ฝึกวิชาทหารที่ เมืองธนบุรี

พระยาราชบังสันมุกดา แม่ทัพเรือ และ เจ้าเมืองธนบุรี ได้นำ นายพ่วง และ นายทองด้วง ไปฝึกวิชาการทหารที่เมืองธนบุรี เพื่อเตรียมตัวเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก มีเรื่องเล่าว่า อยู่มาวันหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ และ กรมขุนพรพินิจ(เจ้าฟ้าอุทุมพร) เสด็จมาทอดพระเนตรโรงสีลม ของ ขุนพัฒน์ ที่ทุ่งสีลม และได้มาทอดพระเนตรการฝึกทหารมหาดเล็ก ที่เมืองธนบุรี ด้วย พระยาราชบังสันมุกดา จึงได้มอบให้ นายพ่วง และ นายทองด้วง สาธิตการนำทหารเข้ายึดป้อมค่ายทหารจำลอง ที่เมืองธนบุรี

สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ และ เจ้าฟ้าอุทมพร พบเห็น นายพ่วง ชอบวางแผนนำทหารเข้าตีป้อมค่ายทหาร จึงโปรดเกล้าให้ พระยาราชบังสันมุกดา นำนายพ่วง และ นายทองด้วง ให้ทดลองวางแผนนำกองทัพเข้าตีป้อมวิชัยประสิทธิ์ ที่เมืองธนบุรี ทดลองให้ นายพ่วง เป็นแม่ทัพ และ นายทองด้วง เป็นรองแม่ทัพ ผลปรากฏว่า นายพ่วง สามารถนำกำลังทหารเข้ายึดป้อมวิชัยประสิทธิ์ เป็นผลสำเร็จ เป็นที่พอพระทัยของ สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ และ กรมขุนพรพินิจ(เจ้าฟ้าอุทมพร) มาก ทำให้ทั้ง ๒ พระองค์ ทรงโปรดปราน นายพ่วง และ นายทองด้วง ทั้งสองคนมาก ตั้งแต่นั้นมา

 

ภาพที่-๗ ภาพถ่ายป้อมวิชัยประสิทธิ์ เมืองธนบุรี ก่อนบูรณะ

 

ขณะที่ นายพ่วง ฝึกวิชาทหารอยู่ที่เมืองธนบุรี นั้น ได้สืบทราบหาที่อยู่ของบิดา นายต้า แซ่ลิ้ม ก็ทราบข่าวว่า บิดาได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น นายหยุง แซ่ลิ้ม และเป็นเจ้าของโรงสีลม อยู่ที่ทุ่งสีลม มีฐานะร่ำรวยมาก บิดา ได้ภรรยาใหม่ ทำการค้าขายและเลี้ยงดูบุตรธิดาอยู่ที่ท่าน้ำราชวงศ์ นายพ่วง จึงมีพี่น้องต่างมารดา เพิ่มขึ้นอีกหลายคน นายพ่วง จึงเขียนจดหมายฝากผ่าน ขุนท่องสื่อ(ขุนฤกษ์) แจ้งเรื่องให้หม่อมนกเอี้ยง รับทราบ เป็นที่มาให้หม่อมนกเอี้ยง ต้องตัดความสัมพันธุ์ กับ สามีนายหยุง แซ่ลิ้ม ตั้งแต่นั้นมา

เมื่อนายพ่วง และ นายทองด้วง ผ่านการวิชาฝึกวิชาทหาร มาจากเมืองธนบุรีแล้ว ก็ได้ไปอบรมวิชากฎหมาย และเรียนรู้ราชประเพณีต่างๆ ที่กรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งได้รับราชการเป็นมหาดเล็ก เป็นข้าหลวงเชิญท้องตราพระราชสีห์ เพื่อขึ้นไปชำระความตามหัวเมืองเหนือ ขึ้นกับกรมขุนพรพินิจ(เจ้าฟ้าอุทมพร) ที่กรุงศรีอยุธยา มหาดเล็กสิน เป็นผู้ที่มีความรอบรู้ทางด้านกฎหมาย ทรงว่าความด้วยความเด็ดขาด ซื่อตรง ยุติธรรม ไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพลใดๆ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สั่งสอนลูกหลาน และผู้ใต้บังคับบัญชา เสมอมาว่า กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่ทำให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ ถ้าใช้กฎหมายเพื่อรักษาอำนาจตนเอง หรือทำลายอำนาจผู้อื่น สังคมจะไม่สงบสุข ประเทศชาติจะขาดความสามัคคี

 

พระยาจักรี(มุกดา) เปลี่ยนชื่อ นายพ่วง เป็น นายสิน

ในปี พ.ศ.๒๒๙๖ พระยาราชบังสันมุกดา ได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งให้มีตำแหน่งสูงขึ้นเป็น พระยายมราชมุกดา ต้องไปว่าราชการที่กรุงศรีอยุธยา ส่วนพระยาไชยาบุญชู ซึ่งมีอายุได้ ๒๒ ปี ได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งให้มีตำแหน่งสูงขึ้นเป็น พระยาราชบังสันบุญชู เป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองธนบุรี ด้วย ส่วนขุนหลวงอินทร์รองเมือง(บุญรอด) น้องเขยนายพ่วง ได้เป็นพระยาไชยา และนายรุก พี่น้องต่างมารดาของ นายบุญชู ก็ได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็น ปลัดเมืองไชยา

ขณะนั้น นายบุญรอด ตั้งที่ว่าราชการเมืองอยู่ที่ บ้านสงขลา ส่วนหลวงอินทร์รองเมือง(บุญรอด) สามีของ นางประยงค์ น้องสาวของ นายพ่วง นั้น เป็นเจ้าเมืองไชยา ไม่นาน ก็ได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้มีตำแหน่งสูงขึ้นเป็น พระยาอินทร์รักษา หรือ พระยาตะกั่วป่า นายรุก ก็ได้ดำรงตำแหน่ง เจ้าเมืองไชยา แทนที่ สำหรับนายบุญรอด เจ้าเมืองตะกั่วป่า นั้น เป็นบิดาของ พระเจ้าหลานเธอ เจ้านราสุริยะวงศ์ ผู้เป็นราชาปกครองเมืองนครศรีธรรมราช ในสมัยกรุงธนบุรี นั่นเอง

ในปีเดียวกัน(..๒๒๙๖) พระยาจักรีครุฑ หรือ มหาหุมตาไฟ ซึ่งเป็นบิดาของ พระยายมราชมุกดา ถึงแก่กรรม เป็นเหตุให้ พระยายมราชมุกดา ได้รับโปรดเกล้า แต่งตั้งให้มีตำแหน่งสูงขึ้นเป็น พระยาจักรีมุกดา ในช่วงเวลาดังกล่าว พระยาจักรีมุกดา พิจารณาเห็นว่า นายพ่วง เป็นผู้นำลาภมาให้ตนเองมีตำแหน่งและทรัพย์สิน เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงได้เปลี่ยนชื่อ นายพ่วง เป็น นายสิน รับราชการอยู่ที่ กรุงศรีอยุธยา

 

พระยาราชบังสัน(บุญชู) เปลี่ยนจากการนับถือศาสนาอิสลาม

มาเป็นศาสนาพุทธ

       นายบุญชู เป็นพระสหายรุ่นพี่ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญผู้หนึ่งในการทำสงครามกอบกู้เอกราช นายบุญชู เป็นบุตรของ นายมุกดา กับ หม่อมดาว ทางนายมุกดา นั้น นับถือศาสนาอิสลามสายชีอะ สืบทอดสายสกุลมาจากโมกุล กับ พระนางน้ำเงิน ซึ่งเป็นพระราชธิดาองค์หนึ่ง ของ พระนเรศวรฯ เมื่อนายมุกดา สมรสกับหม่อมดาว นั้น หม่อมดาว ไม่ยอมเข้ารีต นับถือศาสนาอิสลาม จึงแยกออกมาตั้งบ้านเรือนที่พักอยู่ที่ บริเวณโรงเรียนสารภีอุทิศ สี่แยกท่าโพธิ์ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน

       หม่อมดาว มีบุตรธิดา กับ นายมุกดา ๓ คน คือ นางบุญนอบ นายบุญชู และ นายบุญเมือง ทั้งสามคน นับถือศาสนาแตกต่างกันตั้งแต่วัยเด็ก นางบุญนอบ นับถือศาสนาพุทธ มาตั้งแต่วัยเด็ก จึงอาศัยอยู่กับหม่อมดาว ที่สี่แยกท่าโพธิ์ เมืองไชยา เมื่อโตเป็นสาวได้สมรสกับเจ้าเมืองจันทร์บูรณ์(บุญหลาน) นางบุญนอบ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสายราชวงศ์เจ้าฟ้ากุ้ง และ เจ้าฟ้าแขก เป็นอย่างมาก เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยา นางบุญนอบ ได้สนับสนุน เจ้าฟ้าแขก และ เจ้าฟ้าจุ้ย โอรสของเจ้าฟ้ากุ้ง ให้เป็นกษัตริย์ ของ ราชอาณาจักรเสียม-ละโว้ กรุงศรีอยุธยา จึงเป็นที่มาให้สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ต้องนำกองทัพของราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี เข้ายึดครองเมืองจันทร์บูรณ์ ในเวลาต่อมา

       นายบุญชู และ นายบุญเมือง นับถือศาสนาอิสลาม สายชีอะ มาตั้งแต่วัยเด็ก จึงพักอยู่ที่จวนว่าราชการเมืองไชยา ที่บ้านสงขลา เนื่องจาก นายบุญชู ขัดแย้งรุนแรงกับ นายรุก พี่น้องต่างมารดา มาตั้งแต่วัยเด็ก ส่วนนายบุญเมือง น้องชายนายบุญชู นั้น มีความสนิทสนมกับนายรุก มาก เมื่อกรุงศรีอยุธยา ราชธานี ของ ราชอาณาจักรละโว้ เสียแก่พม่า นั้น นายบุญเมืองเป็น พระยาระยอง ขณะนั้นนายรุก ถูกจับเป็นเชลยศึก ยอมสวามิภักดิ์ต่อพม่า ทำให้นายบุญเมือง ซึ่งสนิทสนมกับนายรุก ได้ยอมสวามิภักดิ์ต่อพม่า

สำหรับนายบุญชู นั้น เมื่อเป็นมหาดเล็ก มีตำแหน่งเป็นหลวงศักดิ์นายเวร ต่อมามีตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ได้มาเป็นปลัดเมืองไชยา เป็นเจ้าเมืองไชยา และได้เลื่อนตำแหน่งเป็น พระยาราชบังสัน(บุญชู) ซึ่งต้องมาปกครองเมืองธนบุรี ด้วย ขณะที่นายบุญชู มาปกครองเมืองธนบุรี นั้น ได้เกิดรักใคร่ชอบพออยู่กับ หม่อมสุณี หญิงสาวผู้ดีเชื้อสายราชวงศ์กรุงศรีอยุธยา จึงถูก หม่อมสุณี ยื่นเงื่อนไขให้เปลี่ยนจากการนับถือศาสนาอิสลาม มานับถือศาสนาพุทธ  จึงจะยอมแต่งงานด้วย เป็นเหตุให้ให้พระยาราชบังสัน(บุญชู) ต้องตัดสินใจออกบวชในบวรพระพุทธศาสนา ๗ วัน ณ เมืองธนบุรี เพื่อเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา โดยการสนับสนุนของหม่อมดาว ผู้เป็นมารดา ต่อมานายบุญชู ได้สมรสกับหม่อมสุณี ตามคำมั่นสัญญา มีบุตรชาย ๓ คน ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทอย่างมากในสมัยธนบุรี คือ พระยายมราช(จุ้ย) , พระยาวิสูตรสงครามรามภักดี(บุญยัง) และ พระยาราชบังสัน(หวัง) และมีธิดาอีก ๑ คน คือ หม่อมสารภี(ชื่น) นั่นเอง

      

มหาดเล็กสิน ได้รับโปรดเกล้า ให้ดำรงตำแหน่ง

พระยาตากสิน ปกครองเมืองตาก

       มหาดเล็กสิน และ มหาดเล็กทองด้วง รับราชการเป็นมหาดเล็กอยู่กับ กรมขุนพรพินิจ(เจ้าฟ้าอุทมพร) ไม่นาน ตำแหน่งผู้ปกครองเมืองตาก ว่างลง เนื่องจาก พระเจ้าบรมโกศ และกรมขุนพรพินิจ เคยประทับใจที่ มหาดเล็กนายสิน และ มหาดเล็กนายทองด้วง เคยแสดงความสามารถนำกำลังทหารเข้ายึดป้อมวิชัยประสิทธิ์ เป็นผลสำเร็จ เป็นที่พอพระทัยของ พระเจ้าบรมโกษ และ กรมขุนพรพินิจ(เจ้าฟ้าอุทมพร) มาก ทำให้ทั้งสองพระองค์ ทรงโปรดปรานมหาดเล็กทั้งสองพระองค์ เมื่อเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กที่กรุงศรีอยุธยา มาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อตำแหน่งเจ้าเมืองตาก ว่างลง กรมขุนพรพินิจ จึงเสนอให้ มหาดเล็กสิน และ มหาดเล็กทองด้วง ไปปกครองเมืองตาก โดยการสนับสนุนจาก พระยาจักรีมุกดา

พระเจ้าบรมโกศ ได้โปรดเกล้าแต่งตั้งให้ มหาดเล็กสิน เป็นพระยาตากสิน  เป็นเจ้าเมืองตาก  ส่วนนายทองด้วง ได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นปลัดเมืองตาก ทั้งสองพระองค์ จึงมีชีวิตที่ผูกพันธุ์กันเรื่อยมา หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลัง มักจะตัดตอนโดยกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า มหาดเล็กทองด้วง ได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองราชบุรี แท้ที่จริงแล้ว มหาดเล็กทองด้วง เคยเป็นปลัดเมืองตาก มาก่อนที่จะได้รับโปรดเกล้า แต่งตั้งให้เป็นยกบัตร เจ้าเมืองราชบุรี อีกครั้งหนึ่ง สภาพที่ มหาดเล็กทองด้วง เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ของ มหาดเล็กสิน มาก่อน จึงเป็นที่มาให้ นายทองด้วง ให้ความเคารพนับถือ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มาโดยตลอด

 

พระยาตากสิน ปลอมตัวเป็นพ่อค้าเกวียน 

อาสาปราบขุนนางชั่ว ฉ้อราษฎร์บังหลวง

พงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ ได้กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เดิมชื่อ จีนแจ้ง เป็นพ่อค้าเกวียน มีความชอบในแผ่นดิน ได้ไปเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอยู่ ณ เมืองตาก พงศาวดารฉบับนี้ยังกล่าวถึงคำทำนายของมหาโสภิต ซึ่งอ้างถึงความวิบัติในอนาคตของบ้านเมือง อันจะเกิดจากที่พม่า ยกทัพใหญ่มาตีพระนคร ในคำทำนายนั้น จะอ้างถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ กล่าวว่า เป็นชายพ่อค้าเกวียน¨-๓จดหมายเหตุความทรงจำ ของ กรมหลวงนรินทรเทวี ซึ่งเรียกสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ว่า แผ่นดินต้น ก็กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ก็เคยเป็นพ่อค้าเกวียน เช่นเดียวกัน หลักฐานเกี่ยวกับพระราชประวัติของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ อีกหลายฉบับ ล้วนกล่าวตรงกันว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เคยเป็นพ่อค้าเกวียน ทั้งสิ้น

การที่สมเด็จพระยาตากสินฯ ต้องไปเป็นพ่อค้าเกวียน เนื่องมาจากสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้น กรมขุนอนุรักษ์มนตรี(สมเด็จเจ้าฟ้าเอกทัศน์) ได้ทำการส้องสมกำลัง ทำการชุบเลี้ยงขุนนางอำมาตย์ชั่ว ที่ชอบประจบสอพลอ และ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ไว้เป็นจำนวนมาก เพื่อส่งส่วยให้กับพระองค์ จึงเกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวง และมีการปล้นสะดมพ่อค้าระหว่างเมือง เกิดความไม่สงบสุขขึ้นโดยทั่วไปในดินแดนราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา

เมื่อย้อนเหตุการณ์กลับไปในขณะที่ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นมหาดเล็กที่กรุงศรีอยุธยา นั้น ที่ราชอาณาจักรพม่า มีชาวพม่าคนหนึ่งชื่อ มังอองใจยะ เป็นกำนันอยู่ที่บ้านนายพราน(มุตโซโบ) รวบรวมไพร่พลจากจุดเริ่มต้นเพียง ๔๐ คน คอยปล้นขุนนางมอญที่คอยเก็บส่วย ส่งให้กับพระเจ้าอังวะ จนมีทรัพย์สินและไพร่พลมากมาย และได้ประกาศตั้งตัวเป็นกษัตริย์อยู่ที่ เมืองรัตนะสิงห์ ต่อมาได้นำกองทัพเข้ายึดครองเมืองอังวะ ได้สำเร็จ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ..๒๒๙๖ และได้ตั้งตนเป็นกษัตริย์ของประเทศพม่า มีพระนามว่า พระเจ้าอลองพญา และเตรียมสะสมกำลังทำสงครามเข้ายึดครอง เมืองหงสาวดี ของพวกมอญ ในเวลาต่อมา

       เนื่องจากเมืองมะริด และ เมืองตะนาวสี เป็นเมืองท่าที่ค้าขายชายฝั่งทะเลตะวันตก เมืองหนึ่ง ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา หรือ ประเทศสยาม กับต่างประเทศ จึงสามารถเก็บภาษีต่างๆ ได้เป็นจำนวนมาก กรมขุนอนุรักษ์มนตรี(เอกทัศ) จึงได้ส่งขุนนางอำมาตย์ชั่ว ที่เป็นพรรคพวกของพระองค์ที่ชอบประจบสอพลอ และมุ่งเน้นแต่การฉ้อราษฎร์บังหลวง เข้าไปปกครองเมืองทั้งสอง

ขุนนางอำมาตย์ชั่ว เมืองมะริด ได้ร่วมมือกับ ขุนนางอำมาตย์มอญ เมืองทวาย เข้าไปปล้นสะดมเมืองต่างๆ ในการปกครองของพระเจ้าอลองพญา และนำทรัพย์สินที่ได้รับมาแบ่งปันกัน ทรัพย์สินดังกล่าวได้ถูกแปลงเป็นส่วยเพื่อส่งให้กับ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี(เอกทัศ) ที่กรุงศรีอยุธยามาโดยตลอด นอกจากนั้น เมืองต่างๆ อีกจำนวนมากซึ่งมีขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฉ้อราษฎร์บังหลวง ผู้ปกครองอยู่นั้น ล้วนเลี้ยงโจรปล้นสะดมพ่อค้า ซึ่งเดินทางค้าขายระหว่างเมือง เพื่อส่งส่วยมาให้กับกรมขุนอนุรักษ์มนตรี ที่กรุงศรีอยุธยา ด้วย

ภาพที่-๘  ภาพถ้วยชามจีนที่พระยาตากสิน สั่งนำเข้ามาจากประเทศจีน เพื่อเป็นสินค้าขาย เมื่อต้องมาปลอมตัวเป็นพ่อค้าเกวียน เพื่อปราบโจรของขุนนางอำมาตย์ชั่ว

 

ในปีถัดมา(..๒๒๙๗) สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ได้เรียกขุนนางอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่ มาเข้าเฝ้า เพื่อให้จัดหาขุนนางอาสาปราบโจรที่มีการปล้นพ่อค้าเกวียน ที่ค้าขายระหว่างเมือง แต่ไม่มีขุนนางผู้ใดกล้ายื่นอาสาสมัคร เพราะกลัวกระทบกับอำนาจ ของ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี (เอกทัศ) เป็นที่มาให้ พระยาจักรีมุกดา และ พระยาเพชรบุรีตาล ซึ่งเป็นสามีของ หม่อมอั๋น น้องสาวของหม่อมนกเอี้ยง ได้เรียก พระยาตากสิน ให้เดินทางมาพบที่กรุงศรีอยุธยา เพื่อเสนอให้ พระยาตากสิน อาสาปาบโจร โดยการปลอมตัวเป็น พ่อค้าเกวียน เหล่านี้คือที่มาของชีวิตสมเด็จพระเจ้าตากสิน ได้ผันแปรมาเป็น พ่อค้าเกวียน ครั้งหนึ่งในชีวิต

ขณะนั้น พระยาตากสิน มีพระชนมายุเพียง ๒๐ พรรษา ถึงวัยที่จะต้องออกผนวช เป็นพระภิกษุ ตามราชประเพณี และเมื่อลาสิขาก็จะต้องแต่งงาน แต่เนื่องจาก พระยาตากสิน ทรงมองเห็นผลประโยชน์ของบ้านเมือง สำคัญกว่าผลประโยชน์ส่วนตน จึงอาสาปลอมตัวเป็นพ่อค้าเกวียน ค้าขายระหว่างเมือง และมอบให้นายทองด้วงปลัดเมืองตาก รักษาการ ว่าที่พระยาตาก ผู้ปกครองเมืองตาก แทนที่

เมื่อพระยาตากสิน มาเป็นพ่อค้าเกวียน ก็ต้องเดินทางมาที่กรุงศรีอยุธยา แล้วปล่อยข่าวว่า พระองค์ถูกปลดออกจากราชการเรียบร้อยแล้ว จึงฝากให้ บิดา(ขุนพัฒน์) หลวงพิพิธ(เฉินเหลียง) และหลวงพิชัย(หยางจิ้งจุง) ให้ช่วยติดต่อซื้อผ้าไหม และเครื่องถ้วยชามจีน มาค้าขาย และบอกกล่าวความเป็นจริงว่า พระองค์อาสาปราบโจรของ ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง จึงต้องปลอมตัวเป็นพ่อค้าเกวียน ค้าขายสินค้าระหว่างเมือง นำเสื้อผ้า และเครื่องถ้วยชามจีน จากกรุงศรีอยุธยา เดินทางไปขายตามเมืองต่างๆ และซื้อสินค้าเกษตร จากเมืองต่างๆ มาขายที่ กรุงศรีอยุธยา และ เมืองใกล้เคียง อีกด้วย

 

พระยาตากสิน ปราบขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฉ้อราษฎร์บังหลวง

       พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีทุกฉบับ ซึ่งถูกเขียนปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลัง ไม่เคยกล่าวถึงพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ก่อนการเสวยราชย์สมบัติอย่างแท้จริง สร้างความกำกวมมาจนถึงปัจจุบัน แต่มีการทิ้งร่องรอยบางอย่างเกี่ยวกับอาชีพการเป็นพ่อค้าเกวียนของพระองค์ไว้อย่างอำพรางด้วย พงศาวดารฉบับพันจันนุมาศ ได้กล่าวถึงคำทำนายของมหาโสภิต ก่อนการเสียกรุงครั้งที่สองว่า “..จะมีชายลูกจีน คลองสวนพลู พ่อค้าเกวียนจะมาเป็นกษัตริย์ กอบกู้แผ่นดินกลับคืน…” ตามที่กล่าวมาแล้ว

หลักฐานต่างๆ ที่เขียนขึ้นมาภายหลัง มีลักษณะเชิงโจมตีใส่ร้ายป้ายสี ในขณะที่พระยาตากสิน เคยเป็นพ่อค้าเกวียน ซ้ำร้ายเอกสารบางชิ้น เรียก สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในเชิงดูถูกเหยียดหยามว่า อีตาตาก อีกด้วย อย่างไรก็ตาม หลักฐานต่างๆ ล้วนยอมรับว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เคยใช้ชีวิตเป็นพ่อค้าเกวียน จริง แต่มิได้กล่าวถึงเบื้องหลังการเป็นพ่อค้าเกวียน

       ๑ ปี ที่พระยาตากสินฯ เคยใช้ชีวิตเป็นพ่อค้าเกวียน เพื่อสืบข่าวพวกโจร ซึ่งขุนนางอำมาตย์ชั่ว ที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง เลี้ยงไว้ ตามที่ได้รับมอบหมาย เหล่านี้คือข้อเท็จจริง ในขณะนั้นพระองค์เป็นพระยาตากสิน เจ้าเมืองตาก นั้น พระองค์ได้สร้าง หน่วยทหารม้า ใช้อาวุธปืนลูกซองยาว ทำการคุ้มครอง ควบคุมกองคาราวานเกวียนขายสินค้าไปค้าขายสินค้าตามเมืองต่างๆ ผลปรากฏว่า กองเกวียนค้าขาย ของ พระยาตากสิน ถูกขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่าย กรมขุนอนุรักษ์มนตรี(เอกทัศ) ส่งโจรมาปล้นสะดมครั้งแล้วครั้งเล่า

พระยาตากสิน สามารถจับโจรได้หลายครั้งหลายคราว เมื่อนำมาสืบสวน ก็ทราบความจริงว่า เป็นพวกขุนนางอำมาตย์ชั่ว ในคณะกรรมการกรมการเมือง ของเมืองต่างๆ เป็นผู้เลี้ยงโจรให้มาปล้นสะดมพ่อค้าเกวียนที่ค้าขายระหว่างเมือง เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน ไปส่งส่วยให้กับ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี(เอกทัศ) เพื่อหวังที่จะได้เป็นขุนนางอำมาตย์ ที่ได้เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง เร็วขึ้น ราชอาณาจักรเสียม-หลอ หรือ ประเทศสยาม ในขณะนั้น จึงเต็มไปด้วยขุนนางอำมาตย์ชั่ว ที่ประจบสอพลอ และฉ้อราษฎร์บังหลวง ทั้งนี้เพราะขุนนางอำมาตย์ ต่างๆ ทราบดีว่า กรมขุนอนุรักษ์มนตรี(เอกทัศ) ซึ่งเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ เป็นผู้ดูแลพระราชวังหน้า จะต้องขึ้นมาเป็นกษัตริย์ครองราชย์สมบัติ ต่อจาก พระเจ้าบรมโกศ อย่างแน่นอน

เมื่อพระยาตากสิน สามารถปราบโจรของขุนนางอำมาตย์ชั่ว สำเร็จ และสามารถจับโจรของขุนนางอำมาตย์ชั่ว ต่างๆ ส่งไปให้ เจ้าพระยาจักรี(มุกดา) , เจ้าพระยาอภัยราชา(เป็นบิดาของพระยาเพชรบุรีตาล) , พระยาเพชรบุรีตาล(สามีของหม่อมอั๋น ซึ่งเป็นน้องสาวของแม่นกเอี้ยง) และ พระยายมราช(บุญชู) สอบสวน ก็ทราบว่า ล้วนเป็นโจรของกลุ่มขุนนางอำมาตย์ชั่ว ของ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี(เอกทัศ) เป็นผู้เลี้ยงโจรเสียเองทั้งสิ้น และมีข้อมูลต่อมาว่า พวกโจรต่างๆ ล้วนเป็นทหารของ เจ้าพระยาราชภักดี ซึ่งมีตำแหน่งสูงเป็นถึง สมุหนายก ผู้ใกล้ชิดกับ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี(เอกทัศ) ในขณะนั้น นั่นเอง

เมื่อเจ้าพระยาจักรี(มุกดา) , เจ้าพระยาอภัยราชา , พระยาเพชรบุรี(ตาล) และ พระยายมราช(บุญชู) ได้ขอเข้าเฝ้าพระเจ้าบรมโกศ เพื่อรายงานเรื่องกลุ่มขุนนางอำมาตย์ชั่ว ซึ่งฉ้อราษฎร์บังหลวง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการส่งทหารเข้าไปเป็นโจรปล้นสะดมพ่อค้าระหว่างเมือง เพื่อส่งส่วยให้กับกรมขุนอนุรักษ์มนตรี(เอกทัศ) เป็นที่มาให้พระเจ้าบรมโกศ ทำการปลดขุนนางอำมาตย์ชั่ว ที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ออกไปเป็นจำนวนมาก และทรงไม่พอพระทัย กรมขุนอนุรักษ์มนตรี(เอกทัศน์) เป็นอย่างมากด้วย พระเจ้าบรมโกศ จึงรับสั่งให้ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี(เอกทัศ) ออกผนวช  และโปรดเกล้าให้ กรมขุนพรพินิจ(สมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพร) เป็น ว่าที่กรมพระราชวังบวร ดูแลวังหน้า แทนที่ เพื่อให้เป็นผู้สืบทอดราชย์สมบัติ ในอนาคต

เหตุการณ์กรุงศรีอยุธยาในขณะนั้น พระเจ้าบรมโกศ มีรับสั่งให้ปลด เจ้าพระยาราชภักดี สมุหนายก ออกจากตำแหน่ง¨-๔ เพราะการเลี้ยงขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฉ้อราษฎรบังหลวง แล้วโปรดเกล้าแต่งตั้ง พระยาราชสุภาวดี (บ้านประตูจีน) เป็นว่าที่ สมุหนายก แทนที่ ส่วนพวกขุนนางอำมาตย์ชั่ว ที่ถูกปลดออกจากตำแหน่ง เนื่องจากการฉ้อราษฎร์บังหลวง ในครั้งนั้นอีกเป็นจำนวนมาก ได้นำพวกโจรที่เหลืออยู่ ได้หลบหนีไปตั้งรกรากที่เมือง มะริด และ เมืองตะนาวสี

ในขณะที่ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี(เอกทัศ) ออกผนวช อยู่นั้น พระองค์ยังคงลักลอบสะสมกำลังอย่างลับๆ โดยร่วมมือกับ กรมหมื่นจิตรสุนทร(เจ้าชายโกมิตร) , กรมหมื่นสุนทรเทพ(เจ้าชายรถ) และ กรมหมื่นเสพภักดี ซึ่งเป็นพระราชโอรสของสนมอื่นๆ เพื่อวางแผนยึดอำนาจจาก พระเจ้าบรมโกศ แต่ความลับรั่วไหลเสียก่อน เพราะพระยาราชสุภาวดี(บ้านประตูจีน) สมุหนายก เป็นผู้กราบทูล พระเจ้าบรมโกศ ว่า ภิกษุกรมขุนอนุรักษ์มนตรี(เอกทัศ) วางแผนยึดอำนาจ โดยการเลี้ยงดูขุนนางอำมาตย์ชั่ว ที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง พระเจ้าบรมโกศ จึงโปรดเกล้า แต่งตั้งให้ เจ้าฟ้าอุทมพร เป็นวังหน้า เพื่อเตรียมสืบทอดราชสมบัติ โดยมิได้ลงโทษขุนนางใดๆ จนกระทั่ง พระเจ้าบรมโกศ เสด็จสวรรคต

 

 

พระยาตากสิน ออกผนวช หม่อมนกเอี้ยง

ส่งมอบลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์ ให้ครอบครอง

       เรื่องลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์ ที่งูเหลือมใหญ่ คาบมาใส่ฝ่ามือ ด.ช.พ่วง เมื่อประสูติใหม่ๆ นั้น พงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา กล่าวถึงเรื่องลูกแก้ว คือเหตุการณ์ ขณะที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เดินทัพกลับจากการตีเมืองเชียงใหม่สำเร็จ ณ ปี พ.ศ.๒๓๑๗ กล่าวว่า

“…พระเจ้าตากสิน ได้เสด็จไปนมัสการ พระพุทธปฏิมากร ณ วัดกลาง วัดดอยเขาแก้ว แล้วตรัสถามพระสงฆ์ว่า ผู้เป็นเจ้าจำได้หรือไม่ เมื่อโยมยังอยู่บ้านระแหงนี้ โยมได้ยกระฆังแก้วขึ้นชูไว้ กระทำสัตยาธิษฐาน เสี่ยงบารมีว่า ถ้าจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสมโพธิญาณในอนาคตกาลเป็นแท้แล้ว ข้าพเจ้าจะตีระฆังด้วยลูกแก้ว เข้าบัดนี้ ขอจงให้แตกเฉพาะที่จุก จะได้ทำเป็นพระเจดีย์ฐานบรรจุ พระบรมสารีริกธาตุ ครั้นอธิษฐานแล้วตีเข้า ระฆังแก้วก็แตกที่จุกดุจอธิษฐานนั้น เป็นอัศจรรย์ เห็นประจักษ์  พระสงฆ์ถวายพระพรว่า จริงดั่งกระแสพระราชดำรัสนั้น…”¨-๕

เหตุการณ์เรื่องนี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ พระยาตากสิน เสร็จสิ้นภารกิจจากการปลอมตัวเป็นพ่อค้าเกวียน เพื่อปราบปรามขุนนางอำมาตย์ชั่ว ที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง และเมื่อพระองค์เดินทางกลับเมืองตาก โดยมีฐานะที่ร่ำรวยขึ้นมาก และประสงค์ที่จะออกผนวชเป็นพระภิกษุ ตามราชประเพณี ณ วัดดอยเขาแก้ว ของ เมืองตาก เป็นเวลา ๑ พรรษา ขณะนั้น นายทองด้วง จึงยังคงต้องรักษาการ ว่าที่เจ้าเมืองตาก เหตุการณ์เกี่ยวกับระฆังแก้ว นั้น คือเหตุการณ์ ขณะที่พระยาตากสิน ออกผนวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ และเกี่ยวข้องกับลูกแก้ววิเศษ ซึ่งงูเหลือมขนาดใหญ่ คาบมาให้ ขณะที่พระองค์ประสูติ ณ ถ้ำใหญ่ ทุ่งลานช้าง ภูเขาแม่นางส่ง อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี

เมื่อย้อนเรื่องราวของเหตุการณ์กลับไปประมาณ ๒๑ ปี หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินประสูติ หม่อมนกเอี้ยง ได้เก็บรักษาลูกแก้ววิเศษ ไว้จนกระทั่งบุตรชายออกผนวช ดังนั้นเมื่อ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ออกผนวช ณ วัดดอยเขาแก้ว เมืองตาก นั้น หม่อมนกเอี้ยง จึงมอบลูกแก้ววิเศษดังกล่าว ให้กับบุตรชาย ตามความฝัน และเล่าความเป็นจริงให้พระยาตากสิน รับทราบ เป็นที่มาให้ พระยาตากสิน นำลูกแก้ว ขว้างไปที่จุกระฆัง โดยการกระทำสัตยาธิษฐาน เพื่อพิสูจน์คำบอกเล่า ของ หม่อมนกเอี้ยง นั่นเอง

หลังจากพระยาตากสิน ได้ออกผนวช เป็นพระภิกษุ เป็นเวลา ๑ พรรษา เรียบร้อยแล้ว พระยาตากสิน ก็ได้ลาสิขาออกมาเป็น เจ้าเมืองตาก ดังเดิม ความดีความชอบจากการปราบโจรขุนนางอำมาตย์ชั่ว ทำให้พระยาตากสิน ได้รับการโปรดเกล้าให้เป็น พระยากำแพงเพชร เป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองกำแพงเพชร ส่วนปลัดเมืองตาก คือ ปลัดทองด้วง ก็ได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็น พระยาตาก ปกครองเมืองตาก แทนที่ แต่เนื่องจาก นายทองด้วง ต้องการกลับไปรับราชการใกล้บ้านเกิด จึงออกวิ่งเต้นไม่รับตำแหน่ง พระยาตาก ในที่สุดทางกรุงศรีอยุธยา ก็ได้เปลี่ยนแปลงโปรดเกล้าให้ นายทองด้วง เป็น หลวงยกบัตร เจ้าเมืองราชบุรี จึงได้เดินทางไปรับราชการ ปกครองเมืองราชบุรี ส่วนพระยาตากสิน แม้ว่าได้รับโปรดเกล้าให้เป็น พระยากำแพงเพชร แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว ยังหาผู้ที่จะมาปกครองเมืองตาก ไม่ได้ พระยาตากสิน จึงต้องปกครองทั้งสองเมือง คือ เมืองตาก และ เมืองกำแพงเพชร ในช่วงเวลาดังกล่าว

 

 

พระยาตากสิน อภิเษกสมรสกับ ท่านหญิงวาโลม

มเหสีพระองค์แรก

 

 

ภาพที่-๙  ภาพวาดผู้หญิงคนหนึ่งในคณะราชทูตสยาม มีผ้าฮีหยาบ คลุมศีรษะ เดินทางไปกับราชทูต หยางจิ้งจุง ทางฮ่องเต้เฉียนหลุง แห่งประเทศจีน ให้จิตกรจีน วาดไว้ สันนิษฐานว่า เป็นภาพวาดของท่านหญิงวาโลม มเหสี พระองค์แรก ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ

 

ประมาณปี พ.. ๒๒๙๙ พระยาตากสิน ได้ลาสิกขา ขณะนั้นมีพระชนมายุได้ ๒๒ พรรษา ทางเจ้าพระยาจักรีมุกดา และ หม่อมดาว ได้ปรึกษาหารือกับหม่อมนกเอี้ยง เพื่อสู่ขอผู้หญิงให้เป็นภรรยาของพระยาตาก ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า ..วาโลม เป็นธิดาของ เจ้าชายอาหรับ และเจ้าหญิงจีน ตั้งรกรากอยู่ที่เมืองกวางตุ้ง ได้เดินทางติดตามบิดามารดา มาค้าขายที่กรุงศรีอยุธยา เป็นผู้ที่เหมาะสมที่จะสู่ขอให้เป็นภรรยาของพระยาตากสิน

 บิดา-มารดา ของ ..วาโลม เคยตั้งรกรากที่เมืองกวางตุ้ง นับถือศาสนาอิสลาม เป็นญาติสนิทกับผู้ว่าราชการเมืองกวางตุ้ง และ เจ้าพระยาราชาเศรษฐี(ม่อเทียนซื่อ) ผู้ปกครองเมืองบันทายมาศ บิดา-มารดา เป็นเจ้าของเรือสำเภาค้าขายระหว่าง ประเทศจีน กับประเทศอาหรับ , เกาะชวา , กรุงศรีอยุธยา และประเทศข้างเคียง อื่นๆ ต่อมาได้มาตั้งบ้านเรือนเป็นที่พักพิง ณ กรุงศรีอยุธยาด้วย จึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด กับ หลวงพิพิธ(เฉินเหลียง) หลวงพิชัย(หยางจิ้งจุง) และ เจ้าพระยาจักรี(มุกดา) จึงเป็นที่มาให้ เจ้าพระยาจักรี(มุกดา) สู่ขอ ..วาโลม ให้แต่งงานกับพระยาตากสิน โดยหม่อมนกเอี้ยง ไม่ขัดข้อง ท่านหญิงวาโลม นั้น มีชื่อแซ่จริง อย่างใดนั้น ไม่มีผู้ใดทราบ มีเพียงข้อมูลเบื้องต้นว่า เป็นญาติกับ พระนางเจิ้งติ่ง และ หยางจิ้งจุง เท่านั้น

ต่อมา ท่านหญิงวาโลม ได้มีพระราชโอรส และ พระราชธิดา กับ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ๖ พระองค์ คือ เจ้าฟ้าชายไข่แดง” , “สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงโกมล” , “สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา, เจ้าชายเมฆิน , เจ้าหญิงสุมาลี , และ เจ้าฟ้าชายสิงหรา เป็นพระองค์สุดท้อง สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา ก็คือพระราชชนนี ของ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนาท และ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนก ซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่กับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ภายหลังการสละราชสมบัติ ถึง ๕ ปี ณ เชิงเขาพนมเบญจา จ.กระบี่ ในปัจจุบัน และเป็นที่มาให้มีผู้สืบสายสกุล นำเรื่องราวของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มาถ่ายทอดให้ได้รับทราบข้อเท็จจริง เรื่อยมา

 

ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ครองเมือง พระยาตากสิน เศร้าใจ

เหตุการณ์บ้านเมืองของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา หรือ ประเทศสยาม ณ ปี พ..๒๓๐๐ หลังจากที่พระเจ้าบรมโกศ สวรรคต พระเจ้าอลองพญา สามารถนำกองทัพจากกรุงอังวะ เข้ายึดครองเมืองหงสาวดี เป็นผลสำเร็จ พระยาหงสาวดี ซึ่งเป็นขุนนางมอญ ได้หนีออกจากเมืองหงสาวดี ไปพึ่งพิงพ่อค้าชาวฝรั่งเศส แล้วไปหลบซ่อนที่เมืองมะริด ของราชอาณาจักรเสียม-หลอ หรือ สยามประเทศ

ขณะนั้นขุนนางอำมาตย์ชั่ว ของไทยที่ถูกปลดออกจากราชการ เพราะผลของการฉ้อราษฎร์บังหลวง จากผลงานที่พระยาตากสิน ปลอมตัวเป็นพ่อค้าเกวียน ทำการปราบปราม ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ดังกล่าว ได้หลบหนีไปอาศัยอยู่ที่เมืองมะริด และเมืองตะนาวสี ได้ไปสนับสนุนขุนนางอำมาตย์มอญ ที่เสียเมืองหงสาวดี เข้าปล้นสะดม เมืองต่างๆ ของพม่า และส่งทรัพย์สินมาถวายแก่ ภิกษุกรมขุนอนุรักษ์มนตรี(เจ้าฟ้าเอกทัศ) เพื่อเตรียมเข้ายึดอำนาจกลับคืนจาก กรมขุนพรพินิจ (เจ้าฟ้าอุทุมพร) ผู้เป็นพระอนุชา จนกระทั่งมีข่าวทราบไปถึง พระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่า จึงได้มอบให้ เจ้าชายมังระ ทำการสืบข่าวเรื่องขุนนางมอญ เรื่อยมา

กรมขุนพรพินิจ(เจ้าฟ้าอุทุมพร) ทราบแผนการดังกล่าวมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อพระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ เป็น พระเจ้าอุทมพร พระองค์จึงรับสั่งให้ประหารชีวิต กรมหมื่นจิตรสุนทร(เจ้าชายโกมิตร) , กรมหมื่นสุนทรเทพ(เจ้าชายรถ) และ กรมหมื่นเสพภักดี ซึ่งเป็นพระราชโอรสของสนมอื่นๆ ของ พระเจ้าบรมโกศ ฯลฯ เพราะทราบว่า เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังในการสนับสนุนกองโจรของเมืองมะริด เพื่อสะสมทุนทรัพย์ และสร้างกองกำลังหวังเข้ายึดอำนาจให้กับ ภิกษุกรมขุนอนุรักษ์มนตรี(เจ้าฟ้าเอกทัศ) ช่วงเวลาดังกล่าว เจ้าเมืองมะริด และเมืองตะนาวสี ก็ถูกปลดออกจากราชการ ด้วย ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับ ภิกษุกรมขุนอนุรักษ์มนตรี(เจ้าฟ้าเอกทัศ) และ ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง เป็นอันมาก

เหตุการณ์ในขณะนั้น กรมหลวงพิจิตรมนตรี(พระองค์พลับ ธิดาเจ้าฟ้าแก้ว พี่น้องต่างมารดากับหม่อมนกเอี้ยง) ซึ่งเป็นสมเด็จพระราชชนนีพระพันปีหลวง ของ พระเจ้าอุทมพร ต้องการให้ ภิกษุกรมขุนอนุรักษ์มนตรี (เจ้าฟ้าเอกทัศน์) ขึ้นครองราชย์สมบัติ จึงยุยงให้ภิกษุกรมขุนอนุรักษ์มนตรี (เจ้าฟ้าเอกทัศ) ลาสิขาจากสมณะเพศ เพื่อออกมาดำเนินการยึดอำนาจ มีการร่วมมือกับ พระยาราชมนตรี (ปิ่น) จมื่นศรีสรรักษ์ (ฉิม เป็นพี่สนมของพระเจ้าเอกทัศ) และขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ได้ร่วมกันรัฐประหาร นำกำลังทหาร เข้ายึดอำนาจ จากพระเจ้าอุทุมพร โดยการเข้ายึดพระราชวังหลวง อย่างลับๆ เป็นผลสำเร็จ

ขณะนั้น พระยาราชสุภาวดี(บ้านประตูจีน) ซึ่งเป็น สมุหนายก และเป็นคุณอา ของ พระยาเพชรบุรีตาล ผู้เป็นสามีของหม่อมอั๋น(น้องสาวหม่อมนกเอี้ยง) ถูกจับกุม เป็นเหตุให้ เจ้าพระยาอภัยราชา(พ่อตาหม่อมอั๋น) , พระยายมราชบุญชู และ พระยาเพชรบุรีตาล(สามีหม่อมอั๋น) ฯลฯ นำกองทัพเข้ามาช่วยเหลือ พระเจ้าอุทุมพร เหตุการณ์ในขณะนั้น กองทหารทั้งสองฝ่าย เตรียมสู้รบกันอย่างเต็มที่ แต่ทหารฝ่ายขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง สามารถจับกุม พระเจ้าอุทุมพร เป็นตัวประกัน นำมาใช้ต่อรอง ทำให้ขุนนางอำมาตย์ฝ่ายรักชาติ ได้แก่ เจ้าพระยาอภัยราชา , พระยาเพชรบุรีตาล และ พระยายมราชบุญชู เป็นต้น ต้องยอมให้ถูกจับกุม เพื่อรักษาชีวิตของ พระเจ้าอุทุมพร เป็นที่มาให้ พระเจ้าเอกทัศ ขึ้นเป็นกษัตริย์ สำเร็จ ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายคอรัปชั่น จึงครองเมือง คนดีจึงต้องเดินในตรอก คนขี้ครอกได้เดินถนน บ้านเมืองจึงเริ่มเข้าสู่ภาวะวิกฤติ

ฝ่าย กรมขุนอนุรักษ์มนตรี(เจ้าฟ้าเอกทัศ) เมื่อสามารถเข้ามาจับกุมขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติได้สำเร็จ ก็จะนำพระเจ้าอุทุมพร ไปประหารชีวิต แต่ กรมหลวงพิจิตรมนตรี (พระองค์พลับ) ได้เข้ามาขัดขวาง โดยเสนอให้ พระเจ้าอุทุมพร สละราชย์สมบัติ และให้ออกผนวช เพื่อให้กรมขุนอนุรักษ์มนตรี (เจ้าฟ้าเอกทัศน์) ขึ้นครองราชย์สมบัติ มิให้เกิดการเสียเลือดเนื้อ ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง

เมื่อ พระเจ้าเอกทัศน์ ขึ้นครองราชย์สมบัติกรุงศรีอยุธยา พระองค์ได้โปรดเกล้าแต่งตั้งให้ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง พวกพูดจาตอแหลและประจบสอพลอ ที่เคยถูกปลดออกจากราชการ ได้ขึ้นมามีอำนาจครองเมือง อีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งขุนนางอำมาตย์ชั่ว ที่ไปปกครองเมืองมะริด และ เมืองตะนาวสี ด้วย เหตุการณ์ครั้งนั้น ชาวฝรั่งเศส บันทึกว่า พระยาพระคลัง ยังต้องให้สินบนแก่ พระเจ้าเอกทัศ เพื่อซื้อตำแหน่งตนเองไว้ด้วย จึงไม่ถูกปลดออก ส่วนเจ้าพระยาจักรีมุกดา ขณะที่เกิดการรัฐประหาร นั้น อยู่ที่เกาะชวา เพราะได้รับมอบหมายจากเจ้าฟ้าอุทมพร ให้ไปติดต่อซื้อปืนจากฝรั่ง ที่เกาะชวา เมื่อกลับมาถึงเมืองธนบุรี ก็ทราบเหตุ ดังนั้นเมื่อเหตุการณ์สงบ เจ้าพระยาจักรีมุกดา ได้นำปืนที่ซื้อมา และทรัพย์สินอื่นๆ ไปถวายให้กับ พระเจ้าเอกทัศน์ เจ้าพระยาจักรีมุกดา จึงไม่ถูกปลดออกจากราชการ

ต่อมา พระเจ้าเอกทัศ ได้เร่งรัดเก็บภาษีจากพ่อค้า มาสู่ท้องพระคลังหลวง แสร้งอ้างว่า เพื่อทรงบำเพ็ญพระราชกุศล มีการบริจาคทรัพย์ เครื่องประดับอาภรทั้งปวง ที่ได้มาจากการเก็บภาษี หรือปล้นสะดมมาได้ ไปพระราชทานแก่ยาจกวณิพก เป็นอันมาก เพื่อสร้างความชอบธรรมในการขึ้นครองราชย์สมบัติ เหตุการณ์ครั้งนั้น หม่อมอั๋น ต้องนำบุตรธิดา หลบหนีไปพักอยู่อาศัยกับ หม่อมนกเอี้ยง ผู้เป็นพี่สาว ที่ บ้านวังดอนชาย ที่เมืองท่าชนะ ส่วนหม่อมนกเอี้ยง ประทับอยู่ที่ บ้านวังเทพนิมิต ข้างวัดศรีราชัน เมืองคันธุลี เมื่อ พระยาตากสิน ทราบเหตุการณ์ต่างๆ เป็นอย่างดี แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ มีแต่ความเศร้าใจ ที่ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายคอรัปชั่น ขึ้นมาเป็นใหญ่ ในราชอาณาจักรเสียม-หลอ

 

 

เชิงอรรถ

¨-๑                     พระยาราชบังสันมุกดา เป็นบุตรชายคนหนึ่ง ของ เจ้าพระยาจักรีครุฑ หรือที่ชาวไชยา เรียกชื่อว่า มหาหุมตาไฟ เพราะชอบทำสงครามด้วยอาวุธระเบิดดินดำ สืบเชื้อสายมาจาก เจ้าชายอาหรับโมกุล กับ พระนางน้ำเงิน ราชธิดาพระองค์หนึ่ง ของ สมเด็จพระนเรศวรฯ ซึ่งสืบเชื้อสายมาถึง พระยาราชบังสันมุกดา ซึ่งมีภรรยา ๔ ท่าน บุตรชาย ของ พระยาราชบังสันมุกดา จากภรรยา ท่านหนึ่ง มีบุตรชายชื่อ นายบุญรอด ขณะนั้นเป็นปลัดเมืองไชยา ได้มาสมรส กับ นางประยงค์ จนกระทั่งต่อมามีบุตรธิดากับ นายบุญรอด ที่สำคัญ ๒ คน คือ เจ้านราสุริวงศ์ และ ขุนสุรินทร์สงคราม

 

¨-๒        นายหยุง แซ่ลิ้ม มีบุตรกับภรรยาใหม่ที่สำคัญ ๒ ท่าน คือ เจ้าพระยาอนุวงษ์ราชา กับ พระยาพิชัยราชา ปกครองเมืองสวรรค์โลก ต่อมาถูกประหารชีวิต เพราะขอเป็นเขย

ส่วนนายหยุง แซ่ลิ้ม พระราชบิดา ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้ถูกพระเจ้าเอกทัศน์ สั่งให้จับตัวไปประหารชีวิต ในขณะที่ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้เผาบ้านเผาเมือง และเป็นกบฏ เมื่อต้นปี พ.ศ.๒๓๐๙ เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ซึ่งขณะนั้นเป็น พระยาจักรีสิน นำทหาร ๕๐๐ คน ตีฝ่าวงล้อมกองทัพพม่า เพื่อเดินทางไปยังเมืองบางละมุง เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองท่าชนะ พระเจ้าเอกทัศน์ จึงสั่งให้นำพระราชบิดา ของ พระยาจักรีสิน คือนายหยุง แซ่ลิ้ม พร้อมภรรยา ไปประหารชีวิต แทนที่

 

¨-๓       นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ การเมืองไทยสมัยธนบุรี สำนักพิมพ์มติชน พ.ศ.๒๕๓๙ หน้าที่ 89-90

 

¨-๔            พงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา ของ กรมศิลปากร หน้าที่ ๑๒๓ กล่าวว่า เจ้าพระยาราชภักดี ว่าที่สมุหนายก ป่วยเป็นวัณโรค ถึงแก่กรรม หลังจากนั้นจึงมีการแต่งตั้งให้ พระยาราชสุภาวดี บ้านประตูจีน เป็น เจ้าพระยาอภัยราชา ว่าที่สมุหนายก เนื่องจาก เจ้าพระยาราชสุภาวดี บ้านประตูจีน เป็นญาติสนิท กับ พระยาเพชรบุรีตาล ซึ่งเป็นสามีของหม่อมอั๋น ได้ถ่ายทอดเรื่องราวการรับตำแหน่ง สมุหนายก ของ เจ้าพระยาราชสุภาวดี บ้านประตูจีน นั้นเกิดขึ้นเนื่องจาก สมุหนายก คนเดิมถูกปลดออกจากตำแหน่งเนื่องจากพัวพันกับโจรปล้นพ่อค้าเกวียน ต่อมา เจ้าพระยาราชภักดี ก็ป่วยตาย เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการโปรดเกล้าให้ กรมขุนพรพินิจ(พระเจ้าอุทมพร) เป็น มหาอุปราช แทนที่กรมขุนอนุรักษ์มนตรี(พระเจ้าเอกทัศน์) ซึ่งถูกบังคับให้ออกผนวช

 

¨-๕        กรมศิลปากร พงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา พ.ศ.๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๙๒ จากหลักฐานดังกล่าวทำให้เชื่อได้ว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ออกผนวชที่ วัดดอยเขาแก้ว เมืองตาก ซึ่งสอดคล้องกับเรื่องราวที่มีการบอกเล่า ถ่ายทอดต่อๆ กันมา

 


 

 

                                       

 

                          บทที่-๕

พระยาตากสิน อาสาทำสงคราม

กับกองทัพพม่า

 

 

พระยาตากสิน เศร้าใจ ต้องเสียเมืองมะริด และเมืองตะนาวสี 

ให้กับพม่า

เหตุการณ์ในปี พ..๒๓๐๒ พงศาวดารคองบองของพม่า และพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ตรงกันโดยสรุปว่า ขุนนางมอญ ซึ่งเป็นขุนนางฝ่ายพระยาหงสาวดี ได้พยายามที่จะยึดเมืองหงสาวดี กลับคืน จึงได้นำกองทัพเข้าปล้น เมืองสิเรียม ไว้ได้ แล้วนำทรัพย์สินไปหลบซ่อนอยู่ที่เมืองมะริด พม่าสืบทราบว่า ขุนนางอำมาตย์ชั่ว แห่ง กรุงศรีอยุธยา มาอยู่ที่ เมืองมะริด และ เมืองตะนาวสี จำนวนมาก ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ชอบฉ้อราษฎร์บังหลวง ชอบเลี้ยงโจรไว้เป็นอำนาจรัฐแฝง มักจะมีส่วนร่วมในการเข้าไปสนับสนุนทหารมอญ ให้เข้าปล้นสะดมเมืองต่างๆ ในประเทศพม่า ทำให้ประชาชนในแขวงเมืองต่างๆ ของพม่า ได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา ด้วย 

กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรพม่า จึงวางแผนยกทัพเข้าตีเมืองมะริด ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา โดยอ้างว่า ขุนนางมอญ ซึ่งเคยเป็นแม่ทัพ ของ พระยาหงสาวดี ได้รับการช่วยเหลือจากขุนนางอำมาตย์ชั่ว ของ กรุงศรีอยุธยา ให้หลบหนีมาอาศัยอยู่ที่เมืองตะนาวสี พม่าจึงมีหนังสือถึง พระยาตะนาวสี ให้ส่งตัวแม่ทัพมอญให้กับพม่า แต่พระยาตะนาวสี ปฏิเสธ เพราะกลัวความลับรั่วไหล พระเจ้าอลองพญา ทราบความก็ขัดเคืองราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา มาก จึงรอคอยจังหวะหวังจะยกกองทัพเข้ายึดเมืองมะริด และ ตะนาวสี ของราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา เป็นการแก้แค้น เรื่อยมา

ในขณะที่ พระเจ้าอลองพญา เสด็จมาฉลองพระเกศธาตุ ที่เมืองย่างกุ้ง นั้น พระองค์จึงมีรับสั่งให้พระราชโอรสพระองค์ที่ ๒ คือ เจ้าชายมังระ กับแม่ทัพ มังฆ้องนรธา นำกองทัพ ๘,๐๐๐ คน ยกทัพมาตีเมืองทวาย ของมอญ ซึ่งยังแข็งเมืองอยู่ และเชื่อว่าเป็นที่สะสมกำลังของพวกขุนนางมอญ จนกระทั่งเมืองทวาย แตกพ่าย ผลของสงครามครั้งนั้นทำให้พวกขุนนางมอญ หลบหนีไปซ่อนตัวอยู่กับขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวงของ พระเจ้าเอกทัศน์ ที่เมืองมะริด และเมืองตะนาวสี ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ

เจ้าชายมังระ ทำการสอบสวนเชลยศึกมอญ เมืองทวาย จึงได้รับทราบข้อมูลว่า พวกขุนนางมอญที่เข้าปล้นเมืองสิเรียม และเมืองต่างๆ ในประเทศพม่า ล้วนสมคบกับขุนนางอำมาตย์ชั่ว ของ กรุงศรีอยุธยา เข้าปล้นเมืองต่างๆของพม่า แล้วหลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่เมืองมะริด และเมืองตะนาวสี  พระเจ้าอลองพญา พิจารณาเห็นว่า เมืองมะริด และ เมืองตะนาวสี เต็มไปด้วยขุนนางอำมาตย์ชั่ว ชอบฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่มีความรักชาติ เพราะล้วนมุ่งเน้นที่จะแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน มากกว่าผลประโยชน์ของชาติ จึงมอบให้ เจ้าชายมังระ และ แม่ทัพมังฆ้องนรธา ทดลองยกทัพเข้าตีเมืองทั้งสอง เพื่อทดสอบความเข้มแข็งของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา ทันที

เมื่อ พระเจ้าเอกทัศ ทราบว่า เมืองท่าสำคัญทั้งสองเมืองกำลังถูกกองทัพพม่าเข้าโจมตี พระองค์จึงได้จัดส่งกำลังกองทัพ หวังเข้าคุ้มครองขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ของพระองค์ที่กำลังปกครองเมืองมะริด และ เมืองตะนาวะสี โดยรับสั่งให้จัดกำลังกองทัพ ประกอบด้วย พระราชรองเมือง ว่าที่ พระยายมราช เป็นแม่ทัพนำกองทัพ ๓,๐๐๐ คน โดยมีพระยาเพชรบุรีโจร(ขุนนางของพระเจ้าเอกทัศ) เป็นกองหน้า , พระยาราชบุรี(ทองด้วง) เป็นยกกระบัตร(ธุรการและจัดหา) , พระสมุทรสงคราม เป็น เกียกกาย(กองเสบียง) , พระธนบุรี และ พระนนทบุรี เป็นกองหลัง(เข้ารักษาเมือง หลังจากยึดได้) , พระยารัตนาธิเบศร์ ว่าที่จตุสดมภ์ กรมวัง นำกำลัง ๒,๐๐๐ คน เป็นกองหนุน นอกจากนั้น ยังมีขุนรองปลัดชู(กรมเมืองวิเศษไชชาญ) สหายของ พระยาตากสิน ลูกศิษย์ตาผ้าขาวพราหมณ์ไชยเวท ได้ขออาสาเป็น กองอาทมาต(กองวิชาอาคมทางไสยศาสตร์) ควบคุมกำลังพลพล ๔๐๐ คน เข้าต่อสู้กับกองทัพพม่า ในศึกครั้งนั้นด้วยª-๑

เมื่อ เจ้าชายมังระ พร้อมกับแม่ทัพ มังฆ้องนรธา นำกองทัพพม่า เข้าตีเมืองตะนาวสี และเมืองมะริด จนแตกพ่าย สามารถยึดครองเมืองทั้งสองไว้ได้อย่างง่ายดาย พวกเจ้าเมือง และขุนนางอำมาตย์ชั่ว ที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่ยอมต่อสู้ มุ่งหนีตายเอาตัวรอด ไปอาศัยอยู่ในเขตป่าเขา เมืองมะริด และ เมืองตะนาวสี จึงต้องเสียไปให้กับพม่า เพราะพระเจ้าเอกทัศ เลี้ยงขุนนางอำมาตย์ชั่ว ที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ไปคอยเก็บส่วยให้กับพระองค์ มากกว่าการสร้างความเข้มแข็งทางการทหาร เพื่อรักษาบ้านเมือง

ขณะนั้น แม่ทัพผู้รักชาติ เช่น พระยาอภัยราชา พระยาราชสุภาวดี พระยายมราชบุญชู พระยาเพชรบุรีตาล ล้วนถูกจับกุมขังคุก เมื่อกองทัพว่าที่พระยายมราช คนใหม่ ของ พระเจ้าเอกทัศ เคลื่อนทัพไปทางด่านสิงขร ก็ทราบว่า เมืองมะริด และเมืองตะนาวสี ถูกกองทัพพม่าตีแตกแล้ว จึงวางกำลังอยู่ที่ปลายน้ำแม่น้ำตะนาวสี ไม่กล้ายกกองทัพเข้าตีพม่า ต่อมาพม่าสืบทราบที่ตั้งทัพ จึงถูกกองทัพของพม่า เข้าโจมตี จนกองทัพ ว่าที่พระยายมราช แตกพ่าย กองทัพพม่า จึงวางแผนนำทัพเดินทัพเข้าสู่ดินแดนราชอาณาจักรเสียม-หลอ ทางชายฝั่งทะเลตะวันออก เตรียมเข้ายึดครอง ราชธานีกรุงศรีอยุธยา เมื่อพระยาตากสินทราบข่าว ก็มีแต่ความเศร้าใจ ที่ต้องเสียเมืองมะริด และตะนาวสี ให้กับกองทัพพม่า

 

กองพันทหารม้าพระยาตาก ขออาสาสู้กองทัพพม่า

เดินทัพสู่กรุงศรีอยุธยา

พระยาตากสิน ทราบข้อมูลดีถึงสาเหตุความอ่อนแอของกองทัพราชอาณาจักรเสียม-หลอ จากเจ้าพระยาจักรีมุกดา เพราะกองทัพต่างๆล้วนถูกควบคุมด้วยขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง จึงมุ่งเน้นแต่การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว มากกว่าการรักษาผลประโยชน์ของชาติ เหตุการณ์ในขณะนั้น ขุนนางอำมาตย์ผู้รักชาติ ล้วนถูกพระเจ้าเอกทัศ ใส่ความเท็จแล้วจับกุมคุมขังไว้ในคุก

เนื่องจากพระยาตากสิน มีฐานะดีขึ้นหลังจากได้ปลอมตัวเป็นพ่อค้าเกวียน สมัยปราบขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายคอรัปชั่น หลังจากนั้น พระยาตากสิน ได้สั่งซื้อม้าพันธุ์ดีมาจากประเทศจีน และจากราชอาณาจักรลาว มาผสมพันธุ์ จนสามารถสร้างกองพันทหารม้า ใช้ปืนลูกซองยาว ขึ้นสำเร็จ จึงเดินทางไปพบกับ เจ้าพระยาจักรีมุกดา แสร้งขออาสานำกองพันทหารม้าพระยาตาก ๕๐๐ คน เดินทางสู่กรุงศรีอยุธยา อ้างเพื่อออกต่อสู้กับ กองทัพพม่า แต่เบื้องหลังที่แท้จริง ต้องการเข้ายึดอำนาจจากพระเจ้าเอกทัศน์ กลับคืนให้กับพระเจ้าอุทุมพร โดยการร่วมมือกับขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติ อย่างลับๆ

เหตุการณ์ในปี พ..๒๓๐๒ เมื่อกองทัพเจ้าชายมังระ สามารถโจมตีกองทัพราชอาณาจักรเสียม-หลอ แตกพ่าย พระเจ้าอลองพญาได้เสด็จมาทอดพระเนตรเมืองทวาย เมืองมะริด และเมืองตะนาวสี จึงวางแผนยกกองทัพเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา ราชธานีของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ ๒ ช่องทาง

 

 


ภาพที่-๑๐       แสดงแผนที่สถานที่รบ วีรกรรมของกองทหารอาทมาต ณ อ่าวหว้าขาว

 

 

กองทัพแรกพม่า มอบให้ เจ้าชายมังระนำกองทัพเข้ามาทางด่านสิงขร มีพระเจ้าอลองพญาควบคุมกองทัพหลวงเดินทางมาด้วยผ่านด่านเจดีย์สามองค์ อีกกองทัพหนึ่งเป็นทหารมอญ ยกกองทัพเป็นกองหน้าเข้ามายังดินแดนราชอาณาจักรเสียม-หลอ ทางด่านเจดีย์สามองค์

เมื่อกองทัพพม่า ของ เจ้าชายมังระ ที่เดินทัพมาทางด่านสิงขร มุ่งหน้าเข้าสู่ดินแดนราชอาณาจักรเสียม-หลอ ทางชายฝั่งทะเลตะวันออก ก็ได้ปะทะกับ กองทหารอาทมาต ซึ่งเป็นกองรบอยุธยา ที่ใช้วิชาอาคมทางไสยศาสตร์ ของ ปลัดชู ซึ่งมีทหารเพียง ๔๐๐ คน ที่ อ่าวหว้าขาว กุยบุรี เมื่อกองทัพพม่าเคลื่อนที่มาถึงในเวลาเช้าตรู่ ขุนรองปลัดชูก็นำทหาร ๔๐๐ คน ออกโจมตีกองทัพพม่าด้วยความกล้าหาญ ทั้งๆ ที่กองทัพพม่ามีกำลังมากกว่าหลายเท่า

พงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา บันทึกว่า มีการรบด้วยอาวุธสั้น ถึงขั้นตะลุมบอน ทหารกรุงศรีอยุธยา ฟันแทงทหารพม่าล้มตายกลาดเกลื่อน เมื่อกองทัพพม่าทราบว่า พม่ากำลังพ่ายแพ้ก็ส่งกำลังกองหนุนเข้ารุมล้อม มากขึ้น มีการรบกันตั้งแต่เช้าจนเที่ยง โดยมิได้พัก ในที่สุดขุนรองปลัดชูก็สิ้นเรี่ยวแรง พม่าสามารถเข้าล้อมปลัดชู และสามารถจับตัวไปได้ พม่าจึงส่งกองทัพช้างเข้าเหยียบไล่กองทหารอยุธยา จนต้องออกไปสู้รบกันในทะเล กองทหารอาทมาต ของ อยุธยา รบแบบยอมสละชีพทั้งหมดª-๒ กองทัพพม่าจึงเดินทัพเข้าสู่ เมืองเพชรบุรี โดยส่งกองทัพมาเพิ่มทางด่านสิงขร และ ด่านเจดีย์สามองค์ หวังทำสงครามใหญ่ เข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา

กองทัพของ เจ้าชายมังระ สามารถยึดเมืองเพชรบุรี ได้สำเร็จอย่างง่ายดาย เพราะ พระยาเพชรบุรี(โจร) คนใหม่ ของพระเจ้าเอกทัศ ไม่ยอมออกต่อสู้ พระเจ้าเอกทัศ รับสั่งให้ จัดกองทัพไปขัดตาทัพ โดยโปรดเกล้าให้ พระยาอภัยมนตรี นำกำลังพล ๑๐,๐๐๐ คน ไปขัดตาทัพที่กาญจนบุรี พระยาคลัง (ผู้ให้สินบนเพื่อรักษาตำแหน่ง) นำกำลังพล ๑๐,๐๐๐ คน ไปเป็นกองหนุน ที่ราชบุรี และ พระยาอภัยราชา (บ้านประตูจีน) นำกองทัพไปขัดตาทัพที่ ด่านแม่ละเมา

เหตุการณ์ในขณะนั้น กองทัพเจ้าชายมังระ สามารถตีเมืองราชบุรีซึ่งปกครองโดย พระยาราชบุรีทองด้วง ซึ่งมีกองทัพถึง ๒๐,๐๐๐ คน แตกพ่าย กองทัพพม่าจึงเตรียมยกกองทัพเข้าสู่ กรุงศรีอยุธยา ทำให้ พระเจ้าเอกทัศ ขุนนาง และประชาชน ในกรุงศรีอยุธยา ขวัญเสีย ขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติ ก่อกระแสเรียกร้องให้ พระเจ้าอุทมพร ขึ้นครองราชย์สมบัติ ส่วนหม่อมนกเอี้ยง และ หม่อมอั๋น เกรงว่ากองทัพพม่า จะบุกลงไปทางใต้ จึงอพยพครอบครัวเดินทางไปอาศัยอยู่ที่ ถ้ำเขาขุนพนม เมืองนครศรีธรราช

ส่วนพระยาตากสิน เมื่อนำกองพันทหารม้า ๕๐๐ คน เดินทางมาที่กรุงศรีอยุธยา ได้เข้าร่วมวางแผนการรบ กับ เจ้าพระยาจักรีมุกดา และขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติ เตรียมก่อการกบฏ เพื่อเข้ายึดพระราชวังหลวง เข้าจับกุมพระเจ้าเอกทัศ เพื่อถวายอำนาจกลับคืนให้กับ พระเจ้าอุทมพร แต่ กรมหลวงพิจิตรมนตรี(พระองค์พลับ) พระราชชนนี พระพันปีหลวง ทราบเหตุ จึงได้ร้องขอให้ พระเจ้าเอกทัศ สละราชย์สมบัติ ออกผนวช และทูลเชิญพระเจ้าอุทมพร ลาสิกขา ขึ้นมาครองราชย์สมบัติ เข้าวางแผนทำสงครามกับพม่า ร่วมกับขุนนางรักชาติ

เมื่อ พระเจ้าอุทุมพร ขึ้นครองราชย์สมบัติ อีกครั้งหนึ่ง จึงได้รับสั่งให้จับกุม พระราชมนตรี(ปิ่น) กับ จมื่นศรีสรรักษ์ (ฉิม เป็นพี่พระสนมเอกของ พระเจ้าเอกทัศ) ซึ่งทำหน้าที่ปล่อยข่าวทำลายฝ่ายต่างๆ ให้เกิดความแตกแยกในหมู่ขุนนาง ไปคุมขังไว้ในคุก และโปรดเกล้าให้ปล่อยตัวขุนนางอำมาตย์ฝ่ายรักชาติ คือ พระยายมราชบุญชู เจ้าพระยาอภัยราชา (พ่อตาของหม่อมอั๋น) , และพระยาเพชรบุรีตาล(สามีของหม่อมอั๋น) ออกจากที่คุมขังให้พ้นโทษ มารับราชการ ตามตำแหน่งเดิม และปลดขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ออกจากราชการไปเป็นจำนวนมากª-๓

 

 

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ออกสู้รบกับพม่า ณ ทุ่งตาลาน สุพรรณบุรี

       เมื่อพระเจ้าอุทุมพรขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นครั้งที่สองในปี พ..๒๓๐๒ เนื่องจากกองทัพเรือของราชอาณาจักรเสียม-หลอ ถูกกองทัพพม่าเข้าทำลายและยึดครองไปเป็นจำนวนมาก พระเจ้าอุทุมพร จึงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ พระยาตากสิน เป็น พระยาราชบังสันสิน ทำหน้าที่ควบคุมกองทัพเรือ และเป็นผู้ปกครองเมืองธนบุรี เป็นที่มาให้ พระยาตากสิน มีภรรยาคนที่สอง ซึ่งมีชื่อว่า หม่อมสอน เป็นธิดา ของ พระยาชุมพร(มั่น) ส่วนบุตรธิดา กับภรรยาคนแรก คือ ท่านหญิงวาโลม ได้ไปหลบภัยสงครามอยู่กับ หม่อมนกเอี้ยง และ หม่อมอั๋น ณ ขุนเขาพนม เมืองนครศรีธรรมราช

พระเจ้าอุทุมพร ยังโปรดเกล้าให้ พระยาเพชรบุรีตาล ซึ่งเป็นสามีของหม่อมอั๋น(น้องสาวหม่อมนกเอี้ยง) ให้กลับไปปกครองเมืองเพชรบุรี อีกครั้งหนึ่ง ส่วนพระยาเพชรบุรีโจร ที่ถูกปลดออก เป็นผู้ที่เลี้ยงโจร และฉ้อราษฎร์บังหลวงมาโดยตลอด เคยถูกลงโทษมาตั้งแต่ในสมัยที่ พระยาตากสิน เป็นพ่อค้าเกวียน ได้เคยสืบทราบว่า ขุนนางผู้นี้ เป็นผู้เลี้ยงโจรคนหนึ่งเพื่อปล้นสะดมพ่อค้าที่เดินทางค้าขายระหว่างเมือง จึงถูกปลดออก ก่อนหน้านี้ เมื่อพระเจ้าเอกทัศขึ้นครองราชย์สมบัติ ได้จับพระยาเพชรบุรีตาล(สามีหม่อมอั๋น) ไปขังคุก ทำให้พระยาเพชรบุรี(โจร) ได้รับโปรดเกล้าจากพระเจ้าเอกทัศ ให้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองเพชรบุรี เสียเอง

ดังนั้นเมื่อพระเจ้าอุทุมพร ขึ้นครองราชย์สมบัติอีกครั้งหนึ่ง พระยาเพชรบุรี(โจร) ขุนนางของพระเจ้าเอกทัศ จึงนำไพร่พล ๕๐๐ คน จากเมืองเพชรบุรี หนีไปอยู่กับภิกษุกรมหมื่นเทพพิพิธ(เจ้าฟ้าแขก) ที่เมืองมะริด ซึ่งเพิ่งเดินทางมาจากเกาะลังกา เพราะถูกกษัตริย์ลังกา เนรเทศ กลายเป็นกำลังพลให้กับ กรมหมื่นเทพพิพิธ อีกครั้งหนึ่ง

เมื่อพระเจ้าอลองพญาเตรียมยกกองทัพเข้าปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าอุทมพร รับสั่งให้เตรียมต่อสู้กับกองทัพพม่า โดยให้กวาดต้อนราษฎร และขนเสบียงอาหาร เข้ามาไว้ในพระนคร มีการสร้างป้อมปราการ และสร้างกำแพงเมืองอีกชั้นหนึ่ง โปรดเกล้าให้เจ้าพระยาอภัยราชา(พ่อตาหม่อมอั๋น) นำกองทัพ ๒๐,๐๐๐ คน ไปสกัดกองทัพพม่า ที่ภาคเหนือ รับสั่งให้เจ้าพระยามหาเสนา เป็นแม่ทัพ มีพระยายมราชบุญชู พระยารัตนาธิเบศร์ และ พระยาราชบังสันสิน นำกองทัพไปขัดขวางกองทัพพม่า ทางทิศตะวันตก

เมื่อกองทัพพระเจ้าอลองพญา สามารถยึดครองเมืองสุพรรณบุรี ได้แล้ว ก็หยุดพักเพื่อรอกำลังพลให้เดินทางมาพร้อมกัน เพราะเล็งเห็นว่า กำลังพลที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอที่จะเข้าตีกรุงศรีอยุธยาได้ เมื่อพระเจ้าอลองพญา ทำการรวบรวมกำลังพลได้เพียงพอแล้ว ก็ยกกองทัพมุ่งตรงเข้าสู่เมืองราชบุรี เพื่อมุ่งหน้าสู่กรุงศรีอยุธยา กองทัพราชอาณาจักรเสียม-หลอ ได้ไปตั้งค่ายยึดฝั่งแม่น้ำจักราช เป็นเครื่องกีดขวางเพื่อขัดขวางการเคลื่อนทัพของพม่า เข้าสู่กรุงศรีอยุธยา

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้เล่าเรื่องราวการรบสองริมฝั่งแม่น้ำจักรราช ให้ลูกหลานรับฟังในเวลาต่อมา และถูกถ่ายทอดต่อๆ กันมาว่า กองทัพของพม่ามีกำลังพลมากกว่ากองทัพของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ เป็นอันมาก แม้ว่าพระยาราชบังสันสิน เพิ่งได้รับโปรดเกล้าให้รับผิดชอบกองทัพเรือ แต่พระองค์ได้นำกองพันทหารม้าพระยาตาก ของพระองค์ไปร่วมรบด้วย โดยการแปรรูปกองพันทหารม้าให้เป็นหน่วยปฏิบัติการกองโจร คอยดักซุ่มยิงโจมตีทหารพม่าที่ข้ามฝั่งแม่น้ำจักราช ด้วยปืนลูกซองยาว และปืนกลลูกซองตับ ที่ซื้อมาจากพ่อค้าฝรั่ง จนกำลังพลของพม่าล้มตายและเสียขวัญ ไม่สามารถข้ามฝั่งลำแม่น้ำได้

หลักฐานพงศาวดารคองบอง และพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา กล่าวตรงกันว่า กองทัพของเจ้าชายมังระ ได้นำกองทหารพม่าเข้าตีค่ายทหารของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ มีการรบกันอย่างดุเดือด เกิดการบาดเจ็บล้มตายทั้งสองฝ่าย กองทัพพม่าก็ไม่สามารถเข้าตีค่ายทหารกรุงศรีอยุธยา ให้แตกพ่ายได้ เพราะต้องส่งกำลังทหารข้ามแม่น้ำมาด้วยความยากลำบาก ครั้นทัพหลวงของ พระเจ้าอลองพญา เดินทัพมาถึง พระเจ้าอลองพญา จึงรับสั่งให้แปรขบวนทัพเข้าตีโอบล้อมกองทัพอยุธยา เกิดการสู้รบกันอย่างดุเดือด

กองทัพพม่าได้ปะทะกับกองทัพของ เจ้าพระยามหาเสนา ณ สมรภูมิบริเวณทุ่งนาตาลาน ส่วนกองทัพเจ้าชายมังระ ส่งทหารพม่าเข้าตีค่ายทหารอยุธยา เกิดการรบกันระหว่างสองฝั่งแม่น้ำจักราช ทหารพม่าบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก กองทัพหลวงของพม่า พระเจ้าอลองพญา จึงเข้าหนุนช่วย ในการรบครั้งนั้น เจ้าพระยามหาเสนา ถูกอาวุธปืน ข้าศึกพม่า ถึงแก่ชีวิต ส่วนพระยายมราชบุญชู ส่งกองทัพเข้าหนุนช่วย แต่ต้องอาวุธปืนพม่า บาดเจ็บ (พงศาวดารกล่าวว่าเสียชีวิต)ª-๔ ทหารต้องนำพระยายมราชบุญชู มารักษาตัวที่กรุงศรีอยุธยา ส่วนพระยารัตนาธิเบศ และ พระยาราชบังสันสิน มีชีวิตรอดกลับมาที่กรุงศรีอยุธยา

 

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นแม่ทัพเรือ สร้างกองทัพเรือลับ

ที่เมืองท่าชนะ

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯได้เคยถ่ายทอดเรื่องราวให้ลูกหลานรับฟัง และมีการถ่ายทอดต่อๆ กันมาว่า ภายหลังจากการเข้าร่วมทำสงครามที่สมรภูมิทุ่งตาลาน แล้ว เกียรติภูมิ ชื่อเสียง ของ พระยาราชบังสันสิน สูงขึ้นมาก จากแผนการรบ ความกล้าหาร และการเสียกำลังในกองทหารม้าพระยาตากสิน เกิดขึ้นน้อยมาก ขณะนั้นกองทัพพม่ายังมิได้ทำการปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าอุทุมพร ได้เรียกพระยาราชบังสันสิน ไปเข้าเฝ้า พร้อมกับรับสั่งให้ทำงานลับสามชิ้นใหญ่ในฐานะแม่ทัพเรือ ดังนี้

งานชิ้นแรกคือ ให้หลวงพิพิธ(เฉินเหลียง) นำกองทัพเรือมาขัดขวางการยกทัพของพม่าทางเรือ ณ เมืองธนบุรี และให้ต่อเรือรบ ทดแทนเรือรบที่เสียหาย ด้วย

งานชิ้นที่สองคือการนำทรัพย์สินที่สำคัญ และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักรเสียม-หลอ ไปเก็บซ่อนไว้ในดินแดนภาคใต้

และงานชิ้นที่สาม คือการมอบให้พระยาราชบังสันสิน เดินทางไปสร้างกองทัพเรืออย่างลับๆ ที่เมืองท่าชนะ เพื่อนำกองทัพเรือจากภาคใต้ เข้ามาตีโอบล้อมกองทัพพม่าที่มุ่งส่งกองทัพเข้ามาปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา ในภายหลัง

งานที่ได้รับมอบหมายยังไม่ทันสำเร็จทั้งหมด พระเจ้าอลองพญา ได้รับบาดเจ็บสาหัส จากการปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา และสวรรคต ระหว่างยกกองทัพกลับ เมื่อพยายามตรวจสอบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ถึงเหตุการณ์ในขณะนั้น พบหลักฐานว่า หลังจากการรบที่ทุ่งตาลาน แขวงเมืองสุพรรณบุรี พระเจ้าอลองพญา ได้นำกองทัพหลวง เดินทางจากทุ่งตาลาน มาถึง เขตต่อเมืองสุพรรณบุรี จึงรอความพร้อมของกองทัพต่างๆ ซึ่งเจ้าชายมังระ กำลังเดินทัพจากราชบุรี ให้มาสมทบพร้อมกัน แล้วเดินทัพทางบก มุ่งหน้าสู่กรุงศรีอยุธยา ไม่พบหลักฐานใดๆ ว่า กองทัพพม่าได้เดินทัพทางลำแม่น้ำ แสดงว่า กองทัพเรือของราชอาณาจักรเสียม-หลอ ได้ออกต่อต้านทำศึกกับกองทัพพม่าอย่างเข้มแข็งหลักฐาทางประวัติศาสตร์ระบุว่า เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน พ..๒๓๐๓ กองทัพหลวงของพระเจ้าอลองพญา ได้เดินทัพมาถึงกรุงศรีอยุธยา โดยตั้งทัพอยู่ที่ บ้านกุ่มเหนือกรุงศรีอยุธยา ส่วนกองทัพ เจ้าชายมังระ ตั้งค่ายอยู่ที่ โพธิ์สามต้น กองทัพพม่ามิได้ยกกองทัพไปทางเรือ แสดงว่า กองทัพราชอาณาจักรเสียม-หลอ ของขุนหลวงพิพิธ(เฉินเหลียง) สามารถสกัดการรุก ทางแม่น้ำเจ้าพระยา อย่างได้ผล

 

 ภาพที่-๑๑ รูปแผนที่แสดงที่ตั้งของอู่ต่อเรือสำเภาลับ ของ พระยาราชบังสันสิน ณ ริมชายฝั่งทะเล คลองหลิงหนุ่ม และ คลองหลิงเฒ่า ในท้องที่ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน

 

ส่วนพระยาราชบังสันสิน น่าจะได้ลำเลียงทรัพย์สินที่สำคัญ ไปซ่อนไว้ในดินแดนภาคใต้แล้ว ไม่พบหลักฐานการรบของ พระยาราชบังสันสิน ในระยะนั้นแต่อย่างใด แสดงว่า พระยาราชบังสันสิน คงจะสาละวนอยู่กับ การสร้างอู่ต่อเรือสำเภา อยู่ที่บริเวณ คลองหลิงหนุ่มª-๕ และ คลองหลิงเฒ่าª-๖ ที่แขวงเมืองท่าชนะ ของเมืองไชยา ในขณะนั้นอย่างแน่นอน เพราะท้องที่ดังกล่าวยังปรากฏหลักฐาน ร่องรอยทางโบราณคดี ของอู่ต่อเรือสำเภา เป็นจำนวนมาก มาจนถึงปัจจุบัน สอดคล้องกับคำบอกเล่าของผู้สูงอายุ และการขุดพบซากเรือสำเภาโบราณ บริเวณท้องที่ดังกล่าวหลายลำ ในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว อีกด้วย

เมื่อกองทัพพม่ายกกองทัพเข้าปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า หลวงอภัยพิพัฒน์(ขุนนางจีน) จากบ้านนายก่าย ได้อาสานำกองทัพ ๒,๐๐๐ คน เข้าตีค่ายพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้น พระเจ้าอุทมพร รับสั่งให้ เจ้าหมื่นทิพเสนา (ปลัดกรมตำรวจ) เป็นกองหนุน เข้าตีค่ายพม่า แต่ผลของสงครามครั้งนั้น กลับพ่ายแพ้ต่อกองทัพพม่า อย่างยับเยินยับเยิน กองทัพเจ้าชายมังระ จึงเคลื่อนทัพไปตั้งที่เพนียด ส่วนกองทัพ แม่ทัพมังฆ้องนรธา เคลื่อนทัพไปตั้งทัพที่ วัดสามวิหาร

หลักฐานทางประวัติศาสตร์ยังระบุอีกว่า วันที่ ๒๓ เมษายน พ..๒๓๐๓ กองทัพพม่า ได้เผาเรือพระที่นั่ง เรือกระบวน และเรือของกองทัพเรือกรุงศรีอยุธยา หมดสิ้นª-๗ เป็นการเผาด้วยความเคียดแค้น ต่อมาในวันที่ ๒๙ เมษายน กองทัพพม่า ได้นำปืนใหญ่มาตั้งที่ วัดกษัตรา และ วัดราชพลี สามารถยิงปืนใหญ่เข้าไปในพระนคร พระเจ้าอุทมพร ทรงช้างพระที่นั่ง ไปบัญชาการรบด้วยตนเอง พม่าจึงต้องถอยทัพกลับไป

วันที่ ๓๐ เมษายน พ..๒๓๐๓ กองทัพพม่าได้นำปืนใหญ่ มาตั้งที่ วัดหัสดาวาส และ วัดหน้าพระเมรุ ระดมยิงทั้งวันทั้งคืน กระสุนปืนใหญ่ ถูกยอดพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ หักทลายลง พระเจ้าอลองพญา มาจุดชนวนปืนใหญ่ด้วยตนเอง ปืนใหญ่แตกระเบิด พระเจ้าอลองพญาบาดเจ็บสาหัส ดังนั้น ในวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๓๐๓ พระเจ้าอลองพญา จึงรับสั่งให้ กองทัพพม่า ถอยทัพกลับไปอย่างลับๆ ทางด่านแม่ละเมา และพระองค์ สวรรคต ระหว่างทางª-๘ ขณะนั้น พระยาราชบังสันสิน จึงยังไม่พร้อมที่จะนำกองทัพเรือจากภาคใต้ เข้ามาตีโอบขนาบกองทัพพม่า ที่กำลังปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา แต่อย่างใด

เหตุการณ์หลังจากกองทัพพม่าถอยทัพกลับไป เจ้าชายมังลอง พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ของ พระเจ้าอลองพญา ขึ้นครองราชย์สมบัติ มีพระนามว่า พระเจ้ามังลอง ส่วนที่กรุงศรีอยุธยา พระเจ้าอุทมพร รับสั่งให้เร่งรัด ปรับปรุงป้อมค่าย ซ่อมแซมพระนคร เพื่อสร้างความพร้อมในการต่อสู้กับกองทัพพม่าต่อไปในอนาคต

 

พระยาราชบังสันสิน กับ หยางจิ้งจุง สร้างอู่ต่อเรือลับ

ที่เมืองท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี

       เรื่องราวที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ขณะที่ดำรงตำแหน่ง พระยาราชบังสันสิน หรือ เป็นแม่ทัพเรือ เป็นเรื่องราวที่ผู้สูงอายุเล่าสืบขานต่อๆ กันมา แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลังปรากฏเรื่องราวดังกล่าวน้อยมาก มีหลักฐานอยู่เพียงเล็กน้อยที่ปรากฏอยู่ในพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา ตอนหนึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ในปี พ..๒๓๐๘ มีเนื้อหาสั้นๆ ว่า “…ครั้นถึง ณ เดือน ๑๒ หน้าน้ำ จึงทรงพระกรุณาโปรดให้พระยาตาก เลื่อนที่เป็นพระยากำแพงเพชร แล้วแต่งตั้งให้เป็นนายกองทัพเรือ…”ª-๙

เรื่องราวความเป็นมาในการเป็นแม่ทัพเรือของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ไม่มีที่มาที่ไป และเมื่อนำข้อมูลที่ระบุเหตุการณ์ในพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา ซึ่งปรุงแต่งขึ้นมาในรัชกาลที่-๓ ไปเปรียบเทียบกับพงศาวดารคองบอง ของประเทศพม่า และหลักฐานอื่นๆ จะพบเห็นว่า ข้อมูลของเหตุการณ์เกี่ยวกับวันเวลาที่เกิดเหตุการณ์จริง ในพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา ขัดแย้งกันเองหลายตอน และยังขัดแย้งกับหลักฐานพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ เช่น จดหมายเหตุรายวันทัพ เป็นต้น สามารถประมวลนำเรื่องราวการเป็นแม่ทัพเรือของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มากล่าวไว้โดยสังเขป ดังนี้

เมื่อพระเจ้าอุทุมพร โปรดเกล้า แต่งตั้งให้ พระยาตากสิน เป็น พระยาราชบังสัน(สิน) ปกครองเมืองธนบุรี ตั้งแต่ปี พ..๒๓๐๒ เป็นผลให้ พระยาราชบังสันสิน ได้ หม่อมสอน ธิดาของ พระยาชุมพร(มั่น) เป็นภรรยา คนที่สอง ในขณะที่ปกครองเมืองธนบุรี ส่วนบุตรภรรยาเดิมคือ ท่านหญิงวาโลม นั้น ยังคงหลบภัยสงครามอยู่กับหม่อมนกเอี้ยง และ หม่อมอั๋น ณ เขาขุนพนม เมืองนครศรีธรรมราช

หลังจากเสร็จศึกที่ทุ่งตาลาน แขวงเมืองสุพรรณบุรีแล้ว พระเจ้าอุทุมพร รับสั่งให้ พระยาราชบังสันสิน ไปสร้างกองทัพเรือลับ ณ เมืองท่าชนะ เป็นที่มาให้พระยาราชบังสันสิน มอบหมายให้ หลวงพิพิธ(เฉินเหลียง หรือ นายเหลียง แซ่เฉิน) มาเร่งสร้างอู่ต่อเรือที่เมืองธนบุรี และนำกองทัพเข้าขัดขวางกองทัพพม่าที่จะยกกองทัพเข้ามาทางปากแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนพระยาราชบังสันสิน ได้เดินทางไปยังเมืองเบตุง โดยได้นำพระบรมราชโองการลับ ของพระเจ้าอุทุมพร ให้หลวงพิชัย(หยางจิ้งจุง) มาร่วมสร้างกองทัพเรือ ที่เมืองท่าชนะ ขากลับ พระยาราชบังสันสิน ได้ถือโอกาสนำ หม่อมนกเอี้ยง หม่อมอั๋น พร้อมบุตรธิดา จาก ถ้ำเขาขุนพนม เมืองนครศรีธรรมราช เดินทางมาพร้อมกับเรือสำเภาของ หลวงพิชัย(หยางจิ้งจุง) มุ่งหน้ามาสู่เมืองท่าชนะ เพื่อเตรียมสร้างกองทัพเรือ เตรียมขับไล่กองทัพพม่า ที่กำลังปิดล้อม กรุงศรีอยุธยา

 

 

ภาพที่-๑๒       ภาพจำลองเรือสำเภาของไทยที่ถูกสร้างขึ้นโดยแม่ทัพเรือพระยาราชบังสันสิน เพื่อทำสงครามกับกองทัพพม่า

 

เจ้าเมืองต่างๆ ในดินแดนภาคใต้ ได้นำไพร่พลมาร่วมกันสร้างอู่ต่อเรือสำเภา มีการขุด คลองหลิงหนุ่ม  เลียบริมฝั่งทะเล จากคลองหลิง ต่อเชื่อมมายังคลองคันธุลี โดยชายหนุ่ม และมีการขุด คลองหลิงเฒ่า เลียบริมฝั่งทะเลเช่นเดียวกัน จากคลองหลิง ไปเชื่อมต่อกับคลองท่าชนะ ที่ปากน้ำท่ากระจาย โดยคนเฒ่าคนแก่ เกิดการสร้างอู่ต่อเรือสำเภาอย่างรวดเร็ว มีการตัดเส้นทางเพื่อให้ช้างลากไม้ จากเขตป่าเขา ไปยังอู่ต่อเรือทุกระยะทาง ๕๐๐ เมตร ปัจจุบันยังปรากฏร่องรอยอยู่ ผู้สูงอายุจากสายตระกูล หลวงพิชัย(หยางจิ้งจุง) ล้วนกล่าวตรงกันว่า ริมชายฝั่งทะเล ตั้งแต่คลองคันธุลี ไปจนถึงปากคลองท่าชนะ หรือคลองท่ากระจาย ตามแนวคลองหลิงหนุ่ม และ คลองหลิงเฒ่า คืออู่ต่อเรือสำเภาลับ ของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เพื่อสร้างกองทัพเรือ เตรียมทำสงครามขับไล่กองทัพพม่า ในอดีตทั้งสิ้น

การสร้างกองทัพเรือของ พระยาราชบังสันสิน ณ เมืองท่าชนะ ในปี พ..๒๓๐๓ นั้น หม่อมนกเอี้ยงได้มอบที่ดินพระราชวัง บ้านดอนชาย มาใช้สร้าง วัดดอนชาย เพื่อใช้เป็นที่รวบรวมไพร่พล สร้างเสบียงอาหารให้กับนักรบ ของกองทัพเรือ และยังใช้เป็นสถานที่ ฝึกทหารเพื่อเตรียมต่อสู้ขับไล่กองทัพพม่า ที่กำลังปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา อีกด้วย หม่อมนกเอี้ยง หม่อมอั๋น ท่านหญิงวาโลม และบุตรธิดาได้มาช่วยกิจการงานต่างๆ ณ วัดดอนชาย เมืองท่าชนะ ในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย

เหตุการณ์การสร้างกองทัพเรือในครั้งนั้น พระยาราชบังสันสิน ได้นำท่านหญิงวาโลม พร้อมบุตร-ธิดา ไปสร้างบ้านเรือนอยู่ที่ วังเทพนิมิต(วังเจ้าตาก) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของ วัดศรีราชัน และฝึกทหารอยู่ที่ ดอนเจ้าตาก ทางทิศใต้ของ วัดศรีราชัน ต่อมา พระยาอนุรักษ์ภูธร(หยัด หรือ ครู) ซึ่งเป็นน้องชายของ พระยาราชบังสันสิน ได้มาช่วยเป็นครูฝึกสอนวิชาทหาร ที่ดอนเจ้าตาก ด้วย

ส่วนหลวงพิชัย(หยางจิ้งจุง) เจ้าเมืองเบตุง ซึ่งมาควบคุมการสร้างอู่ต่อเรือสำเภา ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น โกมุด ได้สร้างบ้านเรือนอยู่ที่ บ้านดอนญวน โดยฝึกทหารอยู่ที่ ดอนโกมุด ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของวัดศรีราชัน

 

สมเด็จพระเจ้าตากสิน ส่งมอบเรือสำเภา ๑๐๘ ลำ

ถวายให้แก่ พระเจ้าอุทุมพร

เมื่อพระเจ้าอลองพญา ถูกปืนใหญ่ระเบิดใส่ จนบาดเจ็บสาหัส เมื่อคืนวันที่ ๓๐ เมษายน พ..๒๓๐๓ พม่าได้ปกปิดเป็นความลับ ดังนั้นในวันถัดมา พระเจ้าอลองพญา จึงรับสั่งให้ถอยทัพกลับไปทางด่านแม่ละเมา และ สวรรคตระหว่างทาง โดยพระเจ้าอุทุมพร ไม่ทราบเหตุ และไม่กล้าส่งกองทัพเข้าไล่โจมตี เพราะยังคิดว่าเป็นแผนลวงของกองทัพพม่า พระองค์ได้มาทราบข่าวก็เมื่อกองทัพพม่าถอยทัพกลับไปไกล ถึงชายแดนแล้ว

เมื่อพระเจ้าอลองพญา สวรรคต เจ้าชายมังลอง พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติมีพระนามว่า พระเจ้ามังลอง แต่ได้เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในของพวกราชวงศ์พม่า ประเทศพม่าจึงมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาภายในประเทศ มากกว่าการวางแผนยกกองทัพเข้ามาหวังยึดครองราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา

ส่วนเหตุการณ์ในราชอาณาจักรเสียม-หลอ นั้น พระเจ้าอุทมพร ได้รับสั่งให้ปรับปรุงป้อมค่าย ซ่อมแซมพระนคร สร้างกองทัพบก และกองทัพเรือ ให้เข้มแข็งเพื่อสร้างความพร้อมในการต่อสู้กับกองทัพพม่า เพราะยังไม่แน่ใจว่า กองทัพพม่าจะยกทัพกลับมาโจมตีราชอาณาจักรเสียม-หลอ อีกเมื่อใด

หลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ระบุว่า เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน พ..๒๓๐๓ กองทัพพม่า ได้เข้าเผาเรือรบ เผาเรือพระที่นั่ง เผาเรือกระบวน รวมไปถึงเรือรบต่างๆ ซึ่งจอดทอดสมออยู่ที่อู่เรือกรุงศรีอยุธยา จนเสียหายหมดสิ้น เมื่อตรวจสอบเส้นทางเดินทัพของกองทัพพม่าแล้ว แสดงว่า กองทัพเรือของพระยาราชบังสันสิน สามารถทำลายกองทัพพม่าที่เดินทัพทางเรือให้เสียหายไปเป็นอันมาก กองทัพพม่าจึงเกิดความเคียดแค้น เข้าเผากองเรือต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้นเมื่อกองทัพพม่าถอนทัพกลับ จึงเป็นที่มาให้พระเจ้าอุทุมพร เร่งรัดให้ พระยาราชบังสันสิน เร่งรัดสร้างกองทัพเรือสำเภามาทดแทนเรือสำเภาเดิม  และสร้างกองทัพเรือขึ้นใหม่ให้เข้มแข็งยิ่งกว่าเดิม

       มีเรื่องราวที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเป็นแม่ทัพเรือ ให้ลูกหลานรับฟัง และนำมาเล่าต่อๆ กันมา สรุปเนื้อความได้ว่า เมื่อกองทัพพม่าถอยทัพกลับไปแล้ว พระเจ้าอุทุมพร รับสั่งให้ พระยาราชบังสันสิน สร้างอู่ต่อเรือสำเภา ขึ้นที่เมืองธนบุรี เพื่ออำพรางอู่ต่อเรือสำเภาใหญ่ ที่เป็นอู่ต่อเรือลับ ณ เมืองท่าชนะ หลวงพิพิธ (เฉินเหลียง) จึงเป็นผู้รับผิดชอบ อู่ต่อเรือสำเภา ณ เมืองธนบุรี ในขณะนั้นมีการตัดไม้จากภาคเหนือ ล่องน้ำมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อนำมาเลื่อยไม้ เพื่อนำไปสร้างเรือสำเภาที่เมืองธนบุรี กันอย่างคึกคัก ส่วนเรือสำเภาที่สร้างไว้ที่เมืองท่าชนะอย่างเป็นความลับ ก็ถูกล่องมารวบรวมกันไว้ที่เมืองธนบุรีอย่างลับๆ  ด้วย ดังนั้นหลังจากกองทัพพม่าถอยทัพกลับไปเพียง ๒ เดือน พระยาราชบังสันสิน ก็สามารถสร้างกองเรือสำเภา ไปถวายให้กับพระเจ้าอุทุมพร ถึง ๑๐๘ ลำ เพื่อทดแทนความเสียหายของกองเรือพระที่นั่งเดิมที่ถูกกองทัพพม่าได้เผาทำลายไป และยังมีเรืออื่นๆ ถูกสร้างขึ้นอีกจำนวนมาก

       ส่วนพระยายมราชบุญชู สหายรุ่นพี่ของพระยาราชบังสันสิน ซึ่งบาดเจ็บจากการสู้รบกับกองทัพพม่า ณ ทุ่งตาลาน แขวงเมืองสุพรรณบุรี เมื่อต้นปี พ..๒๓๐๓ นั้น พระยาราชบังสันสิน ได้นำกลับไปรักษาตัวที่เมืองไชยา ตั้งแต่ครั้งเดินทางไปสร้างกองทัพเรือที่เมืองท่าชนะ เมื่อพระยายมราชบุญชู เริ่มหายจากการบาดเจ็บ ก็ได้นำไพร่พลไปสร้าง วัดดอนมะพร้าว หรือ วัดดอนพร้าว ที่เมืองท่าชนะ เพื่อใช้เป็นสถานที่ฝึกทหารเตรียมทำสงครามกับกองทัพพม่า เช่นเดียวกัน

กล่าวกันว่า บุตรชายคนที่สอง ของ พระยายมราชบุญชู ซึ่งมีชื่อว่า บุญยัง และได้เคยรับราชการเป็นมหาดเล็ก ซึ่งมีชื่อว่า หลวงลักษมาณา ได้ไปสร้างเสาหงส์ ไว้ ณ วัดดอนพร้าว ด้วย เป็นที่มาให้สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้โปรดเกล้าพระราชทานนามใหม่ เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์สมบัติ ว่า หงส์ราชคฤห์ บุคคลผู้นี้ต่อมาก็คือ เจ้าพระยาวิสูตรสงครามรามภักดี(บุญยัง) ผู้ปกครองเมืองท่าทอง ต้นสายตระกูล วิชัยดิษฐ์ ในปัจจุบัน นั่นเอง

       การสร้างกองทัพเรือ ของ พระยาราชบังสันสิน กระทำกันอย่างเป็นความลับ พระยาอนุรักษ์ภูธรหยัด ซึ่งเป็นบุตรชายคนหนึ่งของหม่อมนกเอี้ยง ได้มารับราชการกับพี่ชายด้วย โดยเป็นครูฝึกทหารอยู่ที่ ดอนเจ้าตาก ทหารจึงมักจะเรียกว่า ครู ซึ่งเป็นว่าที่พระยาจักรี(ครู) ในสมัยธนบุรี อยู่ระยะหนึ่ง บุคคลผู้นี้ก็คือบิดาของ พระเจ้าหลานเธอกรมขุนอนุรักษ์สงคราม(บุญมี)” และ พระเจ้าหลานเธอกรมขุนรามภูเบศร์(บุญจันทร์)” ในสมัยกรุงธนบุรี นั่นเอง

การร่วมมือร่วมใจกันครั้งนั้น ในเวลาไม่นาน พระยาราชบังสันสิน ก็สามารถสร้างกองทัพเรือขนาดใหญ่ ที่เมืองท่าชนะ และ เมืองธนบุรี จนสำเร็จ  กล่าวกันว่า เรือสำเภาบางลำ สามารถบรรทุกช้าง , บรรทุกม้า เพื่อความพร้อมในการเคลื่อนกองทัพ เพื่อการทำสงครามกับพม่า ได้อย่างทันท่วงที

 


 

 

 

 เชิงอรรถ



ª-๑          พลตรี จรรยา ประชิตโรมรัน การเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๐ สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่-๒ พ.ศ.๒๕๓๗ หน้าที่ ๑๐

 ª-๒          กรมศิลปากร พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา พ.ศ.๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๓๒

 ª-๓             กรมศิลปากร พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา พ.ศ.๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๓๒

 ª-๔        กรมศิลปากร พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา พ.ศ.๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๓๓ กล่าวว่า พระยายมราชก็ต้องหอกถึงหลายแห่ง หนีมาได้ถึงพระนคร อยู่ประมาณ ๙๐ วัน ก็ถึงแก่กรรม ข้อเท็จจริงนั้น พระยาราชบังสันสิน นำนายบุญชู ซึ่งบาดเจ็บจากการถูกกระสุนปืน บาดเจ็บ ลงเรือสำเภาไปรักษาตัวที่เมืองไชยา แล้วปล่อยข่าวว่า พระยายมราชบุญชู เสียชีวิตแล้ว

 ª-๕             คลองหลิงหนุ่ม เป็นคลองที่ขุดขึ้นเลียบชายทะเล ขนานกับชายทะเล ห่างจากชายทะเลระหว่าง ๑๐๐-๕๐๐ เมตร จากคลองหลิง(คลองตลิ่ง) ตรงไปยังคลองคันธุลี มีความยาวประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ขุดโดยกองทหารหนุ่ม ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๐๓ เพื่อสร้างอู่ต่อเรือ ประมาณ ๒๐ อู่ต่อเรือ มีเส้นทางที่ใช้ช้างลากไม้เพื่อเดินทางเข้าสู่อู่ต่อเรือที่คลองหลิงหนุ่ม ประมาณ ๒๐ เส้นทาง ปัจจุบัน คลองหลิงหนุ่ม ตื้นเขิน ขาดเป็นบางช่วง แต่ยังคงมีร่องรอยของอู่ต่อเรือ และ ซากเรือโบราณที่ขุดพบ เป็นประจำ

 ª-๖       คลองหลิงเฒ่า เป็นคลองที่ขุดขึ้นเลียบชายทะเล ขนานกับชายทะเล ห่างจากชายทะเลระหว่าง ๒๐๐-๓๐๐ เมตร จากคลองหลิง(คลองตลิ่ง) ตรงไปยังคลองท่าชนะ ที่ปากน้ำท่ากระจาย มีความยาวประมาณ ๕ กิโลเมตร ขุดโดยกองทหารเฒ่า ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๐๓ เพื่อสร้างอู่ต่อเรือ ประมาณ ๑๐ อู่ต่อเรือ มีเส้นทางที่ใช้ช้างลากไม้เพื่อเดินทางเข้าสู่อู่ต่อเรือที่คลองหลิงหนุ่ม ประมาณ ๑๐ เส้นทาง ปัจจุบัน คลองหลิงเฒ่า คงเหลือแคบและตื้นเขิน แต่ยังคงมีร่องรอยของอู่ต่อเรือ และ ซากเรือโบราณที่ขุดพบ เป็นประจำ กล่าวกันว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ให้ทหารหนุ่ม และทหารเฒ่า ขุดคลองแข่งขันกัน ผลปรากฏว่า ทหารเฒ่า เป็นฝ่ายชนะ

 ª-๗        พลตรี จรรยา ประชิตโรมรัน การเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๐ สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่-๒ พ.ศ.๒๕๓๗ หน้าที่ ๓๑

 ª-๘       พลตรี จรรยา ประชิตโรมรัน การเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๐ สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่-๒ พ.ศ.๒๕๓๗ หน้าที่ ๓๒-๓๓

 ª-๙        กรมศิลปากร พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา พ.ศ.๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๔๘

 

 


 

                               

 

                                   บทที่-๖

สามสหาย ถูกปลดออกจากราชการ

 

ขุนนางอำมาตย์ชั่ว เข้ายึดอำนาจกลับคืนให้กับ พระเจ้าเอกทัศน์

      การที่ขุนนางอำมาตย์ฝ่ายรักชาติ สามารถสนับสนุนพระเจ้าอุทุมพร ขึ้นมาครองราชย์สมบัตินั้น ทำให้ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง สายพระเจ้าเอกทัศ อดหยากปากแห้ง ต้องเสียผลประโยชน์เป็นอย่างมาก และต้องยากจนลงเรื่อยๆ บางคนต้องนำไพร่พลหลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ตามเมืองต่างๆ อย่างลับๆ และมีการส่งตัวแทนมาติดต่อกับ ภิกษุพระเจ้าเอกทัศ เป็นประจำ  เพื่อวางแผนยึดอำนาจกลับคืน

      ส่วนเหตุการณ์ในพม่า นั้น เมื่อพระเจ้าอลองพญาสวรรคต และพระเจ้ามังลอง ขึ้นครองราชย์สมบัติ เหตุการณ์ในพม่าเองก็เกิดความขัดแย้งภายในราชวงศ์ ของกษัตริย์พม่า พวกมอญก็ฉวยโอกาสกระด้างกระเดื่อง ไม่ยอมขึ้นต่อพระเจ้ามังลอง ขณะนั้น ภิกษุกรมหมื่นเทพพิพิธ(เจ้าฟ้าแขก) ซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในเขตป่าเขา กับไพร่พลประมาณ ๕๐๐ คน ของ พระยาเพชรบุรี(โจร) นอกราชการ ได้ร่วมมือกับ คณะกรมการเมืองมะริด และเมืองตะนาวสี เข้ายึดเมืองกลับคืน พร้อมกับทำการกวาดต้อนประชาชนที่หนีภัยสงครามไปอยู่ในเขตป่าเขา ให้กลับคืนสู่บ้านเมือง เข้าฟื้นฟูเมืองขึ้นใหม่ ในเวลาไม่นาน เมืองมะริด และเมืองตะนาวสี ก็กลับคืนเป็นเมืองท่าของขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ดังเดิม ผลประโยชน์จากการฉ้อราษฎร์บังหลวง จึงถูกขุนนางอำมาตย์ชั่ว ส่งไปเพื่อใช้เป็นกองทุนในการก่อการรัฐประหาร ของ ภิกษุพระเจ้าเอกทัศ อย่างลับๆ อีกครั้งหนึ่ง

ปลายปี พ..๒๓๐๓ ภิกษุพระเจ้าเอกทัศ สามารถสะสมทุนเพื่อเตรียมใช้ยึดอำนาจกลับคืนได้เป็นจำนวนมาก จึงร่วมมือกับขุนนางอำมาตย์ชั่ว ผู้ชอบทำตอแหล ประจบสอพลอ และฉ้อราษฎร์บังหลวง รอคอยจังหวะและโอกาส เข้ายึดอำนาจกลับคืน วันนั้น พระเจ้าอุทุมพร เสด็จไปตรวจราชการกองทัพเรือ ของ พระยาราชบังสันสิน ที่เมืองธนบุรี ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวงก็ได้โอกาส ส่งทหารเข้าจับลูกเมียของขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติ ที่กรุงศรีอยุธยา เป็นตัวประกัน เพื่อมิให้เกิดการต่อสู้

เมื่อพระเจ้าอุทุมพร เสด็จกลับมาจากเมืองธนบุรีในเวลาดึกดื่น ด้วยความอ่อนเพลีย และเข้าไปบรรทมในพระราชวังหลวง แล้วก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย โดยมิได้สังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้น พระองค์ถูกปลุกขึ้นมาตอนเช้า เมื่อทหารเข้ามาควบคุมตัวให้ไปเข้าเฝ้า พระเจ้าเอกทัศ โดยพระเจ้าเอกทัศน์ได้ถือกระบี่อาญาสิทธิ์ หวังที่จะสังหาร พระเจ้าอุทุมพร มิให้เป็นเสี้ยนหนามการครองราชย์สมบัติอีกต่อไป

ในเวลาเดียวกัน พระราชชนนี(กรมหลวงพิจิตรมนตรี) ทราบเหตุ จึงรีบเสด็จมาร้องขอชีวิต พระเจ้าอุทุมพร ไว้ โดยเสนอให้ออกผนวช แต่พระเจ้าเอกทัศ มีเงื่อนไข ไม่ยอมให้ออกผนวชที่กรุงศรีอยุธยา จึงนำกำลังทหารทำการควบคุมตัว พระเจ้าอุทมพร ให้ออกไปผนวช ที่วัดโพธิ์ทอง แขวงเมืองวิเศษไชยชาญ (ตั้งอยู่ที่บ้านคำหยาด จ.อ่างทอง ในปัจจุบัน) ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวงส่วนใหญ่ จึงเข้าครองเมืองต่างๆ ของราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา อีกครั้งหนึ่ง

หลักฐานจดหมายเหตุของบาทหลวงฝรั่งเศส ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในขณะนั้นว่า เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ..๒๓๐๓ เมื่อบาทหลวงคนดังกล่าวอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา ได้เขียนบันทึกว่า

 “…ในวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๐๓ พระเจ้าเอกทัศ ได้สั่งปลดขุนนางอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่ออกไปเกือบทั้งหมด คงเหลือแต่ เจ้าพระยาพระคลัง ซึ่งได้ถวายสิ่งของ และเงินทอง เป็นสินบนจำนวนมาก จึงสามารถอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้ และยังได้รับโปรดเกล้าจาก พระเจ้าเอกทัศ ให้เลื่อนตำแหน่ง เป็น สมุหนายก อีกด้วย...”

สายตระกูล เจ้าพระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู ได้นำเหตุการณ์ดังกล่าว เล่าต่อๆ กันมาในสายตระกูล มีเนื้อหาโดยสรุปว่า เหตุการณ์ในขณะนั้น เจ้าพระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู เคยดำรงตำแหน่งเป็น พระยายมราชบุญชู ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืน ณ สมรภูมิสงครามทุ่งตาลาน แขวงเมืองสุพรรณบุรี และได้ไปกลับไปรักษาตัวที่เมืองไชยา จนกระทั่งหายจากการบาดเจ็บเป็นที่เรียบร้อย พระเจ้าอุทมพร จึงโปรดเกล้าให้เดินทางพร้อมบุตรภรรยา กลับไปรับราชการ ที่กรุงศรีอยุธยา ในตำแหน่งเดิม

เหตุการณ์เมื่อเกิดการรัฐประหารที่กรุงศรีอยุธยา ครั้งนั้น หม่อมสุณี พร้อมบุตรธิดา ถูกทหารฝ่ายขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง จับตัวไว้เป็นประกันด้วย ลูกเมียของขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติส่วนใหญ่ที่รับราชการอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา ถูกจับตัวไปเป็นประกัน ขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติ จึงไม่กล้านำกองทหารออกไปต่อสู้ กับ ทหารของขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง เป็นเหตุให้ขุนนางอำมาตย์ชั่ว สามารถยึดครองพระราชวังหลวง ในตอนดึกของคืนวันนั้นได้สำเร็จ อย่างง่ายดาย

      ส่วนเจ้าพระยาจักรีมุกดา มิได้ถูกจับกุม เพราะก่อนหน้านั้น พระเจ้าอุทุมพรได้มอบหมายให้เดินทางไปติดต่อซื้ออาวุธปืน กับ ฝรั่งฮอลันดา ที่เกาะชวา จึงไม่ถูกปลดออก ต่อมาเมื่อทราบข่าวว่า พระเจ้าเอกทัศขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นครั้งที่สอง และทราบว่า เจ้าพระยาคลัง ได้ให้สินบนแก่พระเจ้าเอกทัศ จึงไม่ถูกปลดออก ซ้ำมีตำแหน่งสูงขึ้น จึงได้ฝากสิ่งของจากเกาะชวา พร้อมอาวุธปืน ไปถวายแด่พระเจ้าเอกทัศ เมื่อเดินทางกลับกรุงศรีอยุธยา จึงไม่ถูกปลดออกจากตำแหน่ง

 

พระยาราชบังสันสิน และ สองสหาย ถูกปลดออกจากราชการ

เมื่อพระเจ้าเอกทัศ เข้ายึดอำนาจจากพระเจ้าอุทุมพร และขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นครั้งที่สองนั้น คือเหตุการณ์เมื่อปลายปี พ.ศ.๒๓๐๓ ถึงต้นปี พ..๒๓๐๔ พระยาสามสหายร่วมรบ คือ พระยาราชบังสันสิน พระยายมราชบุญชู และ พระยาราชบุรีทองด้วง ถูกพระเจ้าเอกทัศ ปลดออกจากราชการทั้ง ๓ ท่าน

ทั้งสามสหายได้นัดพบกันที่เมืองธนบุรี และมีความเห็นร่วมกันว่า ราชอาณาจักรเสียม-หลอ ที่ถูกปกครองโดยขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวงนั้น คงจะต้องเสียทีแก่พม่าในอนาคตอย่างแน่นอน ถ้าหากว่ากองทัพพม่ายกทัพเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง จึงนัดหมายไปพบกัน ณ ถ้ำใหญ่ ทุ่งลานช้าง ภูเขาแม่นางส่ง เมืองท่าชนะ เนื่องจากจะมีงานวันชาติไทย คืองานสงกรานต์ รดน้ำพระนอน พ่อหงสาวดี ระหว่างวันที่ ๑๐ ถึง ๑๖ เมษายน พ..๒๓๐๔ เพื่อร่วมกันหารือ วางแผนแก้ไขปัญหา ของชาติไทย ร่วมกัน อย่างลับๆ

 

ภาพที่-๑๓   ภาพปากถ้ำใหญ่ เรียกกันว่าถ้ำแม่นางส่ง ตั้งอยู่ที่ภูเขาแม่นางส่ง(ภูเขาประสงค์) ต.วัง อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ตัวถ้ำสูงจากพื้นดินประมาณ ๑๐๐ เมตร ภายในถ้ำมีเทวรูปนอนพ่อหงสาวดี และเทวรูปอื่นๆ อีกมาก เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่สามสหาย ร่วมกันดื่มน้ำสาบานร่วมกันว่าจะร่วมกันรักษาดินแดนสุวรรณภูมิ ของชนชาติไทย มิให้ข้าศึกพม่าเข้ายึดครอง

 

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในขณะนั้น กลายเป็น แม่ทัพเรือนอกราชการ ต้องแสร้งใช้ชีวิตอย่างสามัญชน อยู่กับ หม่อมสอนมเหสีพระองค์ที่สอง ที่เมืองธนบุรี แต่เบื้องหลังที่แท้จริงได้แอบหลบไปสร้างกองทัพเรือ และสะสมกำลังกองทัพเรือ และฝึกทหารอยู่อย่างลับๆ ที่เมืองท่าชนะ มีเจตนาเพียงเพื่อยึดอำนาจกลับคืนให้กับ พระเจ้าอุทุมพร เท่านั้น ส่วนพระยายมราชบุญชู ก็กลับไปพักอาศัยอยู่ที่ วัดดอนมะพร้าวเพื่อสะสมกำลัง โดยเจตนาเดียวกัน ส่วนพระยาราชบุรีทองด้วง ได้เดินทางกลับไปพักอาศัยอยู่กับ บิดา-มารดา ที่ลุ่มแม่น้ำแม่กลอง มีเจตนาที่จะบวชเป็นพระภิกษุ และต้องแต่งงาน แต่ยังไม่ถึงฤดูกาล เข้าพรรษา

      เมื่อถึงวันนัดหมาย พระยาสามสหายได้มาพบกันตามนัดหมาย ณ ทุ่งลานช้างในงานสงกรานต์ รดน้ำพระนอน พ่อหงสาวดีพระยาสามสหายได้พิจารณาสถานการณ์ร่วมกันแล้ว มีความเห็นร่วมกันว่า กองทัพพม่า จะต้องยกกองทัพเข้ามาครอบครองดินแดน ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา อีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน และในเวลาอีกไม่นาน เมือง และแว่นแคว้นต่างๆ ภายใต้การปกครองของราชอาณาจักรเสียม-หลอ จะต้องเสียดินแดนเพิ่มให้กับกองทัพพม่าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกองทัพพม่าเข้ายึดครองกรุงศรีอยุธยา อันเป็นราชธานี ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ อย่างแน่นอน และในที่สุด กองทัพของขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ผู้ชอบสร้างแต่ข่าวตอแหล มีแต่ความอ่อนแอ มุ่งเน้นแต่การแสวงหาผลประโยชน์เข้าสู่ตนเองและพรรคพวก ย่อมไม่สามารถทำการสู้รบกับกองทัพที่เข้มแข็ง ของพม่าได้อย่างแน่นอน

พระยาสามสหายจึงได้ร่วมกันกรีดเลือด ร่วมกันทำสัตย์ปฏิญาณดื่มน้ำสาบานร่วมกัน ต่อหน้าเทวรูปพระนอน พ่อหงสาวดีในถ้ำใหญ่ ทุ่งลานช้าง ภูเขาแม่นางส่ง เมืองท่าชนะ โดยได้ตั้งสัตย์ปฏิญาณร่วมสาบานกันว่า จะร่วมกันต่อสู้รักษาผืนแผ่นดินราชอาณาจักรเสียม-หลอ มิให้ตกไปเป็นเมืองขึ้นของชนชาติพม่า ซึ่งเป็นเหตุที่มาให้ นายทองด้วง ต้องยอมเข้าสวามิภักดิ์ ต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในเวลาต่อมา

      การร่วมสาบานของสามสหายผู้รักชาติ เป็นที่มาให้  แม่ทัพเรือนอกราชการ(สิน) และ พระยายมราชนอกราชการ(บุญชู) ได้นำไพร่พลไปสร้างบ้านเรือนที่พักอาศัยให้กับ พระยาราชบุรีนอกราชการ(ทองด้วง) บ้านทุ่งนาเลเมืองท่าชนะ และตระเตรียมวางแผนให้ พระยาราชบุรีนอกราชการ(ทองด้วง) สร้าง วัดกลางเพื่อใช้เป็นที่ฝึกทหาร ขึ้นมาเหมือนกับ วัดดอนชายและ วัดดอนมะพร้าวแต่การสร้าง วัดกลางแต่ยังไม่ทันบรรลุ ครอบครัวของ นายทองด้วง ได้มาตามตัวให้ นายทองด้วง ไปออกผนวช และจัดให้สมรสกับ ..นาคณ ดินแดนปากน้ำ แม่น้ำแม่กลอง

 

พม่า ส่งกองทัพเข้ายึดครอง ราชอาณาจักรลานนา

ส่วนเหตุการณ์ในประเทศพม่า เมื่อต้นปี พ..๒๓๐๔ นั้น เจ้าเมืองต่างๆ ของชนชาติมอญได้ลุกขึ้นก่อกบฏ ขึ้นโดยทั่วไป โดยได้รับการสนับสนุนจากราชาแห่งราชอาณาจักรลานนา กรุงเชียงใหม่ ด้วย เมื่อพระเจ้ามังลอง สามารถปราบปรามการแข็งเมืองของชนชาติมอญ จนสงบราบคาบ คงเหลือแต่เมืองทวาย ซึ่งขุนนางมอญนาม หุยตองจายังเป็นผู้ครอบครองเมืองอยู่ โดยยอมส่งเครื่องบรรณาการให้กับพระเจ้าเอกทัศ เป็นเหตุให้ พระเจ้ามังลอง ไม่พอใจ กษัตริย์ แห่ง ราชอาณาจักรลานนา กรุงเชียงใหม่ และ พระเจ้าเอกทัศ แห่ง ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา เป็นอย่างมาก เพราะขณะนั้น กษัตริย์ แห่ง ราชอาณาจักรลานนา กรุงเชียงใหม่ ยอมขึ้นต่อการปกครองของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา โดยได้ยอมส่งเครื่องบรรณาการให้กับพระเจ้าเอกทัศ เพื่อให้กองทหารกรุงศรีอยุธยา ของ พระเจ้าเอกทัศ คุ้มครอง จากการรุกรานของกองทัพราชอาณาจักรพม่า

พระเจ้ามังลอง ได้รับสั่งให้ พระยาอภัยคามี(โปมะยุหง่วน) เป็นแม่ทัพ และ มังคละศิริเป็นปลัดทัพ นำทหาร ๗,๕๐๐ คน ยกทัพมาหวังเข้ายึดครอง ราชอาณาจักรลานนา กรุงเชียงใหม่ เป็นเหตุให้ กษัตริย์ แห่ง ราชอาณาจักรลานนา กรุงเชียงใหม่ ขอกำลังจากกรุงศรีอยุธยา ให้ไปร่วมช่วยเหลือเพื่อการสู้รบกับกองทัพพม่า แต่กองทัพของขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง มุ่งเน้นแต่การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน จึงแสร้งเคลื่อนทัพอย่างช้าๆ เพราะไม่ต้องการเข้าไปช่วยเหลือ ราชอาณาจักรลานนา กรุงเชียงใหม่ เป็นเหตุให้กองทัพพม่าสามารถ เข้ายึดครอง ราชอาณาจักรลานนา เป็นผลสำเร็จ เมื่อต้นปี พ..๒๓๐๔¨-๑

หลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้ามังลอง ก็เสด็จสวรรคต เจ้าชายมังระ ซึ่งเป็นพระราชโอรส พระองค์ที่สอง ของพระเจ้าอลองพญา และเคยนำกองทัพมาตี ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็น พระเจ้ามังระ แทนที่ โดยที่ พระเจ้ามังระ ได้มีการเตรียมการทำสงครามเข้ายึดครอง กรุงศรีอยุธยา อีกครั้งหนึ่งทันที พระเจ้าเอกทัศ ทราบเหตุการณ์ดังกล่าวดี จึงเร่งส่งราชทูตไปยังประเทศจีน เพื่อขอให้ประเทศจีน รับรองการขึ้นครองราชย์สมบัติ และขอความคุ้มครองจาก พระเจ้ากรุงจีน ให้คุ้มครองราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา จากการรุกรานของ ราชอาณาจักรพม่า ด้วย

 

พระยาราชบังสันสิน สร้างกองทัพลับ เตรียมยึดอำนาจ คืนให้กับ พระเจ้าอุทุมพร

      แม้ว่า พระยาราชบุรีนอกราชการ(ทองด้วง) มีภารกิจ ไม่สามารถร่วมกันสร้างกองทัพ ร่วมกับ แม่ทัพเรือนอกราชการสิน และ พระยายมราชบุญชูนอกราชการ ที่เมืองท่าชนะได้ แต่ทั้งสองสหายก็ได้ร่วมมือกัน สร้างกองทัพใหญ่ หวังเพื่อใช้เป็นกองทัพเข้ายึดอำนาจกลับคืนให้กับ พระเจ้าอุทุมพร ให้สำเร็จ เพื่อปราบขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ให้หมดสิ้นไปจากราชอาณาจักรเสียม-หลอ

      แม่ทัพเรือนอกราชการ พระยาราชบังสันสิน สามารถสร้างเรือสำเภาขนาดใหญ่ เพื่อใช้ลำเลียงกองทัพช้าง ลำเลียงกองพันทหารม้า เพื่อการเคลื่อนทัพทางเรือ สู่การรบทางบก ปกป้องเมืองท่าริมฝั่งชายทะเลได้อย่างรวดเร็ว สายราชวงศ์เครือญาติ ของ แม่ทัพเรือนอกราชการ พระยาราชบังสันสิน ล้วนมาร่วมสร้างกองทัพในครั้งนั้นด้วย

      ตำแหน่งขุนนางอำมาตย์ ชั้นผู้ใหญ่ ในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ขึ้นครองราชย์สมบัติ ล้วนเป็นผลจากการร่วมมือกันในการสร้างกองทัพลับ ณ เมืองท่าชนะ แทบทั้งสิ้น สามีของน้องสาวสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ซึ่งเป็นบุตรชายคนหนึ่งของ เจ้าพระยาจักรี(มุกดา) ที่มีชื่อว่า ขุนหลวงอินทร์รองเมือง(บุญรอด) และต่อมาได้รับโปรดเกล้าให้ไปเป็นพระยาตะกั่วป่า ก็คือ เจ้าพระยาอินทร์รักษา(บุญรอด)” ผู้ปกครองเมืองตามชายฝั่งทะเลตะวันตก และเป็น บิดาของ พระเจ้าหลานเธอ เจ้านราสุริวงศ์และ พระเจ้าหลานเธอ กรมขุนสุรินทร์สงคราม”  ในสมัยกรุงธนบุรี นั่นเอง ครอบครัวดังกล่าว ได้มาร่วมสร้างกองทัพลับ ให้กับ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในขณะนั้นด้วย

      น้องชายคนเดียว ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ซึ่งมีชื่อว่า หลวงอนุรักษ์ภูธร(หยัด หรือ ครู) ได้มาร่วมสร้างกองทัพลับ กับ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่ เมืองท่าชนะด้วย บุคคลผู้นี้ในสมัยกรุงธนบุรี ก็คือ ว่าที่พระยาจักรี (ครู) หรือ เจ้าพระยาอนุรักษ์ภูธร (หยัด) ผู้ปกครองเมืองนครสวรรค์ และเป็นผู้ช่วยขุดอุโมงค์ เข้าไปช่วยเหลือนำสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ให้สามารถหลบหนีออกมาได้ เมื่อมีการรัฐประหาร เปลี่ยนราชวงศ์ ส่วนพระยายมราชนอกราชการ (บุญชู) นั้น พี่น้องต่างมารดา กับนายบุญรอด ก็ได้ไปสมรสเกี่ยวดองกับ ญาติของสามีหม่อมอั๋น น้องสาวของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในสมัยกรุงธนบุรี นายบุญชู ก็คือ เจ้าพระยาจักรีศรีองค์รักษ์ (บุญชู) ในสมัยกรุงธนบุรี นั่นเอง

      ส่วนสายตระกูลหม่อมอั๋น ซึ่งเป็นน้องสาว ของ หม่อมนกเอี้ยงนั้น ซึ่งมีบุตรและธิดา ๙ คน ล้วนได้มาร่วมสร้างกองทัพลับ ร่วมกับ แม่ทัพเรือนอกราชการ (สิน) ด้วย หลวงพิพิธ (เฉินเหลียง) ได้สมรสกับ แอ๋วซึ่งบุตรสาวคนหนึ่ง ของ หม่อมอั๋น ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี หลวงพิพิธ จึงได้ดำรงตำแหน่งเป็น พระยาโกษาธิบดี และ เจ้าพระยาราชาเศรษฐี (เฉินเหลียง) ผู้ปกครองเมืองบันทายมาศ (เมืองออกแก้ว)

ส่วนขุนหลวงพิชัย(หยางจิ้งจุง) ครั้งแรกได้มาสมรสกับ เอียงซึ่งเป็นบุตรสาวคนหนึ่ง ของ หม่อมอั๋น แต่ต่อมา เอียงได้เสียชีวิตที่เมืองเบตุง หม่อมอั๋น จึงมอบบุตรสาวอีกคนหนึ่งชื่อ อิ้งให้มาสมรสด้วย และได้มาช่วยสร้างกองทัพเรือ และฝึกทหารอยู่ที่ ดอนโกมุด ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี หลวงพิชัย เป็นผู้นำทัพหน้าเข้าตีค่ายโพธิ์สามต้น ต่อมาจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็น เจ้าพระยาพิไชยไอยสวรรค์(หยางจิ้งจุง) เป็นพระยาราชทูต และเป็น  เจ้าพระยาโกษาธิบดี(หยางจิ้งจุง) ในเวลาต่อมา

      นอกจากนี้ ยังทราบข้อมูลอีกว่า มีบุตรชายของหม่อมอั๋น อย่างน้อยสามคน ซึ่งได้มาร่วมสร้างกองทัพ กับ แม่ทัพเรือนอกราชการ (สิน) ณ เมืองท่าชนะด้วย บุคคลดังกล่าว ในสมัยกรุงธนบุรี ก็คือ พระยาเพชรบุรี (บุญมา) ซึ่งเสียชีวิตระหว่างยกทัพไปตีเมืองนครศรีธรรมราช ในปี พ..๒๓๑๒ บุตรชายอีก ๒ คนของหม่อมอั๋น ที่เป็นขุนนางสำคัญในสมัยกรุงธนบุรี ก็คือ เจ้าพระยาสุรบดินสุรินทร์ฤาไชย (บุญมี) และ พระยาพิชัยราชา (บุญชัย) นั่นเอง

      เมื่อแม่ทัพเรือนอกราชการ พระยาราชบังสันสิน ได้สร้างกองทัพใหญ่ขึ้นมาสำเร็จ ก็ได้วางแผนนัดหมายให้ เจ้าพระยาจักรี (มุกดา) เจ้าพระยาอภัยราชา (บุญรอด) ซึ่งเป็นพ่อตาหม่อมอั๋น พระยาเพชรบุรี (ตาล) ซึ่งเป็นสามีหม่อมอั๋น และพระยายมราชนอกราชการ (บุญชู) ไปพบกับ ภิกษุพระเจ้าอุทมพร แขวงเมืองวิเศษไชชาญ อย่างลับๆ เพื่อวางแผนยึดอำนาจ จาก พระเจ้าเอกทัศ คืนให้แก่ พระเจ้าอุทุมพร

      พระเจ้าอุทุมพร มีความเห็นต่อขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติ ที่ลักลอบไปเข้าเฝ้าว่า ขอให้ขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติ หาหนทางให้สามสหายกลับเข้าไปรับราชการ ในตำแหน่งเดิมก่อน แล้วจึงค่อยทำการ เพราะมีโอกาสเสียเลือดเนื้อของคนไทยด้วยกัน มากกว่าที่ควรจะเป็น กองทัพลับของ พระยาราชบังสันสิน จึงต้องตั้งมั่นอยู่กับที่อย่างลับๆ ณ เมืองท่าชนะ เพื่อรอคอยโอกาส

 

พระยาราชบังสันสิน สร้างโรงงานผลิตปืนลูกซอง ใช้ในกองทัพ

      ในท้องที่แห่งหนึ่งบริเวณบ้านร้อยเรือน ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี มีศาลาเล็กๆ มีพระพุทธรูปตั้งอยู่กลางศาลา ๑ องค์ ทุกๆ ปี ในวันรับส่งดวงวิญญาณปู่ย่าตายายในเดือนสิบ จะต้องมีการทำบุญรับดวงวิญญาณ และ ส่งดวงวิญญาณ ปู่ย่าตายาย ในพื้นที่ดังกล่าวเป็นประจำทุกๆ ปี สืบทอดต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทุกๆ ครั้งที่มีการทำบุญประจำปี มักจะมีดวงวิญญาณบรรพชน เช่น ดวงวิญญาณพ่อตาขุนฤทธิ์เดช มาจับร่างผู้หนึ่งผู้ใด และมักจะกล่าวถึงโรงงานผลิตปืนลูกซอง ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว เสมอ

      เมื่อสืบสาวราวเรื่องดังกล่าว ก็สามารถนำมากล่าวไว้โดยสังเขป มีเรื่องเล่ากันว่า ก่อนหน้านั้น แม่ทัพเรือ พระยาราชบังสันสิน ได้เคยติดต่อซื้อปืนลูกซองจากพ่อค้าฝรั่ง มาใช้ในกองพันทหารม้าพระยาตากสิน มาก่อนแล้ว และประทับใจในการใช้ปืนลูกซองมาก เมื่อได้รับตำแหน่ง รับราชการเป็นแม่ทัพเรือ พระยาราชบังสันสิน เจ้าเมืองธนบุรี นั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้เคยพบเห็น โรงตีเหล็ก และโรงหลอมเหล็ก ซึ่งใช้ผลิตเฟืองจักร ของ เครื่องฝัดข้าว และเครื่องสีลม ของ ขุนพัฒน์ ซึ่งเป็นบิดา ที่ทุ่งสีลม เป็นที่มาให้พระยาราชบังสันสิน ร้องขอให้บิดา ทดลองผลิตปืนลูกซอง ขึ้นใช้เอง และสามารถผลิตขึ้นใช้สำเร็จ คงเหลือแต่ลูกปืนลูกซอง ซึ่งยังผลิตใช้เองไม่ได้ เหตุการณ์ครั้งนั้น ขุนพัฒน์ ได้ผลิตปืนลูกซอง ต้นแบบ ให้กับกองทัพพระยาราชบังสันสิน จำนวนหนึ่ง

      เมื่อพระยาราชบังสันสิน ถูกปลดออกจากราชการ และได้ไปส้องสมกำลังที่เมืองท่าชนะ เพื่อยึดอำนาจคืนให้กับ พระเจ้าอุทมพร ก็ได้ให้บิดา ส่งน้องชายต่างมารดา ชื่อ ขุนฤทธิ์เดช ไปช่วยสร้างโรงตีเหล็ก โรงหลอมเหล็ก เพื่อผลิตปืนลูกซองขึ้นใช้เองขึ้นบริเวณ หนองน้ำผุด บ้านร้อยเรือน เมืองคันธุลี พื้นที่ดังกล่าวจะมีน้ำจืดใสสะอาด ผุดออกมาจากพื้นดิน มีปริมาณมาก กล่าวกันว่า แร่เหล็กที่นำมาหลอมนั้น พระยาราชบังสันสิน ได้จากแหล่งแร่เหล็กบริเวณภูเขาหัวแมว ต.เขาถ่าน อ.ท่าฉาง จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน ต่อมาโรงงานผลิตปืนลูกซองของพระยาราชบังสันสิน ได้ขยายออกไปหลายแห่ง รวมไปถึงได้ขยายไปตั้งที่ภูเขาถ่าน ท้องที่ ต.เขาถ่าน อ.ท่าฉาง จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน อีกด้วย พระยาราชบังสันสิน สามารถผลิตปืนลูกซองขึ้นใช้ในกองทัพเป็นจำนวนมาก และต่อมาสามารถผลิตปืนกลลูกซองตับ ขึ้นมาสำเร็จ อีกด้วย

      ส่วนการผลิตลูกปืน ของ ปืนลูกซองนั้น พระยาราชบังสันสิน ได้พยายามทดลองผลิตขึ้นใช้เองด้วย โดย หยางจิ้งจุง เป็นผู้ติดต่อซื้อแผ่นทองแดง จาก ประเทศจีน มาใช้ทำแก๊ป ของ ลูกกระสุนปืนลูกซอง จนสามารถผลิตลูกกระสุนปืนลูกซองขึ้นใช้เองสำเร็จ¨-๒ กองทัพของพระยาราชบังสันสิน และพรรคพวกนั้น จึงมีอาวุธที่ทันสมัยกว่าข้าศึก ภาพกองทัพสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาภายหลัง มักจะสร้างภาพว่า กองทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ รบกับข้าศึกพม่า ด้วยหอกดาบ ซึ่งมิได้เป็นจริงตามที่มีการปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลัง แท้ที่จริงแล้ว กองทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มีอาวุธที่ทันสมัยกว่ากองทัพพม่า มาก จึงเป็นฝ่ายชนะสงครามมาโดยตลอด

      ในช่วงเวลาที่ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ถูกพระเจ้าเอกทัศ ปลดออกจากราชการนั้น เป็นช่วงเวลาที่ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มีโอกาสค้นคว้าอาวุธใหม่ๆ เพื่อผลิตขึ้นใช้เอง เช่นการผลิตปืนกลลูกซองตับ และการผลิต ลูกกระสุนปืนลูกซอง ขึ้นใช้เอง น่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว มีข้อสังเกตว่า ในงานวันไหว้ครู สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่จัดทำขึ้นโดยเชื้อสายราชสกุล พระเจ้าหลานเธอกรมขุนอนุรักษ์สงคราม ที่บ้านหน้าสวน ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ที่สืบทอดเป็นประเพณี ทุกๆ ปีนั้น จะต้องนำปืนลูกซอง ลูกกระสุนปืนลูกซอง มาร่วมในพิธีดังกล่าว และต้องยิงปืนลูกซอง ทุกครั้ง เพื่อถวายแด่ดวงวิญญาณ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ และดวงวิญญาณผู้ตายที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยทุกๆ ครั้ง

 

พระยาราชบังสันสิน กลับเข้ารับราชการใหม่

      เมื่อภิกษุพระเจ้าอุทุมพร รับสั่งให้ เจ้าพระยาจักรีมุกดา หาหนทางให้สามสหาย และ ขุนนางฝ่ายรักชาติ กลับเข้ารับราชการอีกครั้งหนึ่ง ขุนนางที่ได้เคยเข้าเฝ้า ภิกษุพระเจ้าอุทุมพร อย่างลับๆ ก็พยายามส่งมอบเงินทอง และทรัพย์สินต่างๆ ให้กับพระเจ้าเอกทัศ และผู้ใกล้ชิด เป็นประจำ และรอคอยโอกาสที่จะกราบทูลให้แม่ทัพเรือ พระยาราชบังสันสิน นอกราชการกลับเข้ารับราชการ แต่ก็ยังไม่มีโอกาส และ จังหวะที่อำนวย

ปี พ..๒๓๐๖ โอกาสที่รอคอยก็มาถึง เมื่อกองทัพพม่าวางแผนเข้ายึดกรุงศรีอยุธยา อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากพระเจ้ามังระ สืบทราบว่า ราชอาณาจักรเสียม-หลอ เต็มไปด้วยขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฉ้อราษฎร์บังหลวง ขุนนางชอบทำตอแหล หาความจริงไม่ได้ในดินแดนราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา ซึ่งเต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างประชาชนที่แบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย ประชาชนตามเมืองต่างๆ ขาดการดูแลจากรัฐ กฎหมายต่างๆ ที่ถูกบังคับใช้ จะถูกนำมาใช้เพื่อรักษาอำนาจของขุนนางอำมาตย์ชั่ว และทำลายอำนาจของขุนนางอำมาตย์ฝ่ายรักชาติ ประชาชนไม่ได้รับความยุติธรรม จึงได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสกันไปทั่ว มีการเก็บภาษีแม้กระทั่ง มะพร้าวแห้งที่หลุ่นมาจากต้น และผักบุ้งที่ขึ้นเองในท้องคู ขณะนั้นพระยาแก้วโกรพ (ตะตา) เจ้าเมืองพัทลุง ซึ่งเป็นคุณอา ของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา ป่วยหนัก และขุนนางอำมาตย์ชั่ว ทำการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างหนัก หัวเมืองทางภาคเหนือ ของราชอาณาจักรลานนา เชียงใหม่ รวมทั้งแคว้นลานช้าง ของ ราชอาณาจักรลาว ก็ถูกกองทัพพระเจ้ามังระ เข้ายึดครองไปเรียบร้อยแล้ว

เจ้าพระยาจักรีมุกดา ได้อ้างเหตุที่จะต้องไปเยี่ยมเยียน มหาหุมตะตา ผู้เป็นคุณอาที่เมืองพัทลุง และติดต่อซื้ออาวุธปืน มาเพิ่ม จึงได้นำสิ่งของต่างๆไปถวายให้กับพระเจ้าเอกทัศ เพื่อขอลาราชการไปเยี่ยมอาการป่วย ของ มหาหุมตะตา ที่เมืองพัทลุง เจ้าพระยาจักรีมุกดา จึงถือโอกาสกราบบังคุมทูลต่อพระเจ้าเอกทัศ อ้างเหตุเป็นห่วงกองทัพพม่า เตรียมกำลังเข้าทำสงครามยึดครองกรุงศรีอยุธยา อีกครั้งหนึ่ง จึงกราบทูลเสนอให้รับพระยาสามสหาย กลับเข้ารับราชการดังเดิม พระเจ้าเอกทัศ ทรงเห็นชอบจึงโปรดเกล้าให้ พระยาสามสหาย กลับเข้ารับราชการในตำแหน่งเดิม อีกครั้งหนึ่ง พร้อมๆ กับขุนนางฝ่ายรักชาติ อีกจำนวนหนึ่ง

เมื่อสามสหายได้กลับเข้ารับราชการดังเดิม เมื่อปี พ..๒๓๐๖ แม่ทัพเรือพระยาราชบังสันสิน ได้กลับไปปกครองเมืองธนบุรี ดังเดิมอีกครั้งหนึ่ง พระยายมราชบุญชู ได้กลับไปรับราชการที่ กรุงศรีอยุธยา ส่วนพระยาราชบุรีทองด้วง ก็ได้กลับไปปกครองเมืองราชบุรี ดังเดิม ส่วน พระยาเพชรบุรีตาล ก็ได้กลับไปรับราชการเป็น พระยาเพชรบุรี อีกครั้งหนึ่ง

ขุนหลวงพิชัย(หยางจิ้งจุง) ได้กลับไปรับราชการเป็นเจ้าเมืองเบตุง ได้ไปสร้างกองทัพเรืออย่างลับๆ อยู่ที่ เมืองโกลี-โกลก(สุไหงโกลก) ส่วนขุนหลวงพิพิธวาที(เฉินเหลียง) ได้กลับไปรับราชการเป็นเจ้าเมืองพุทไธมาศ(เมืองตาแก้ว ดั้งเดิม) ได้ไปสร้างกองทัพเรืออย่างลับๆ อยู่ที่เมืองพุทไธมาศ เช่นกัน ส่วนขุนหลวงพรหมเสนา¨-๓ น้องชาย ของ หยางจิ้งจุง ซึ่งไม่ถูกปลดออกจากราชการเพราะช่วยส่งส่วยให้กับขุนนางอำมาตย์ชั่ว เพื่อถวายให้กับพระเจ้าเอกทัศ นั้น มีตำแหน่งสูงขึ้น กลายเป็น พระยาพิพัฒน์โกษา กรมพระคลัง ที่กรุงศรีอยุธยา เป็นผู้จัดหาทรัพย์สินเงินทอง ส่งให้กับพระยาราชบังสันสิน สร้างกองทัพลับ โดยตลอด

 

 

เชิงอรรถ



¨-๑    พลตรีจรรยา ประชิตโรมรัน การเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๐ สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่-๓ พ.ศ.๒๕๓๗ หน้าที่ ๔๓-๔๔

 

¨-๒   ต้วนหลีชิง นักประวัติศาสตร์ชาวจีน ผู้ศึกษาพระราชประวัติ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้ศึกษาพระราชสาสน์ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่มีไปยัง พระเจ้ากรุงจีน จะมีเนื้อหาอยู่ส่วนหนึ่งที่กล่าวถึง สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ขอซื้อแผ่นทองแดง ซึ่งเป็นสินค้าต้องห้ามของประเทศจีน มาใช้ยังราชอาณาจักรเสียม-หลอ ด้วย เข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ต้องการใช้แผ่นทองแดง ดังกล่าวมาใช้เป็นวัตถุดิบส่วนหนึ่งในการสร้างลูกกระสุนปืนลูกซอง เพราะก่อนหน้านี้ เป็นการลักลอบซื้อแผ่นทองแดง อย่างลับๆ มาโดยตลอด แผ่นทองแดง นั้น เป็นวัตถุดิบสำคัญ ในการใช้สร้างลูกกระสุนปืนลูกซอง

 

¨-๓    ขุนหลวงพรหมเสนา นั้น ในหลักฐานประวัติศาสตร์ต่างๆ ของไทย มักจะกล่าวตรงกันว่า เป็นทหารจีน คนหนึ่ง ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ แต่เป็นใครมาจากไหนนั้น ไม่มีการบันทึกไว้อย่างชัดเจน แต่เมื่อทำการสืบสาวราวเรื่องจากสายตระกูลหยางจิ้งจุง ที่อาศัยอยู่ในท้องที่ จ.สุราษฎร์ธานี นั้น ทำให้ทราบข้อมูลโดยสรุปว่า ขุนหลวงพรหมเสนา เป็นน้องชายของ หยางจิ้งจุง ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เคยรับราชการมีตำแหน่งสูงถึง พระยาพิพัฒน์โกษา รับราชการในกรมพระคลัง เคยส่งกองทัพไปปกป้องเมืองเพชรบุรี กับ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ และ พระยายมราชบุญชู จนสามารถรักษาเมืองเพชรบุรี มิให้พม่ายึดครองสำเร็จ

พระยาพิพัฒน์โกษา มีบุตรชายที่สำคัญคนหนึ่ง ชื่อ ขุนท่องสื่อ หรือ ขุนฤกษ์ ต่อมาสมัยกรุงธนบุรี พระยาพิพัฒน์โกษา เสียชีวิตในสงคราม ในสมัยราชวงศ์จักรี ขุนฤกษ์ ดำรงตำแหน่ง เจ้าพระยาไกรโกษา ในกรมพระราชวังบวร(บุญมา)

        เมื่อกรมพระราชวังบวร(บุญมา) สวรรคต เจ้าพระยาไกรโกษา ได้นำบุตรธิดา มาตั้งรกรากอยู่ที่ บ้านวังพวกราชวงศ์ ท้องที่ ต.วัง อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี มีสายตระกูลที่สำคัญที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน คือ สายตระกูล ชัยฤกษ์ และ พรหมหิตาธร ฯลฯ  

 

 


 

 

 

                                          บทที่-๗

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทำสงครามกับกองทัพพม่า

 

พม่า ส่งกองทัพเข้ายึดครอง กรุงศรีอยุธยา ราชธานีของราชอาณาจักรเสียม-หลอ

เมื่อสามสหายได้เข้ารับราชใหม่ๆ ไม่นาน พระเจ้ามังระ ก็เตรียมยกกองทัพ เข้ายึดครอง ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา อีกครั้งหนึ่ง เพราะไม่พอใจที่ขุนนางอำมาตย์ชั่ว เมืองมะริด และ เมืองตะนาวสี ซึ่งเป็นขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ได้ร่วมมือกับขุนนางมอญ เมืองทวาย เข้าปล้นสะดมเมืองต่างๆ ของพม่า และ สนับสนุนขุนนางมอญ เมืองต่างๆ ให้กระด้างกระเดื่องต่อ พระเจ้ามังระ มาโดยตลอด เมื่อกองทัพพม่าเข้าปรามปราม ขุนนางมอญก็จะหลบหนีไปอาศัยที่ เมืองทวาย , เมืองมะริด และ เมืองตะนาวสี โดยพระเจ้าเอกทัศ ก็รู้เห็นเป็นใจด้วย

หลักฐานพงศาวดารคองบอง ของ ประเทศพม่า ระบุว่า พระเจ้ามังระ ได้เตรียมกองทัพไว้ถึง ๒๗ กองทัพ เพื่อเตรียมเข้าโจมตี ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่เดือนมีนาคม พ..๒๓๐๗ เนื่องจากพระเจ้ามังระ เคยนำกองทัพเข้าปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ..๒๓๐๒-๒๓๐๓ และได้จับขุนนางไทยไปเป็นเชลยศึกจำนวนหนึ่ง ทำให้พระเจ้ามังระทราบว่า นักรบที่สามารถทำลายกองทัพพม่า เป็นจำนวนมากนั้น เป็นกองทหารของขุนนางอำมาตย์ สยามเมืองใต้ พระเจ้ามังระ จึงวางแผนเข้าโจมตีสยามเมืองปักษ์ใต้ เพื่อตัดการสนับสนุนการช่วยเหลือกรุงศรีอยุธยา

      ขุนนางอำมาตย์ เชลยศึกสยาม ที่พม่าเคยจับกุมไปเป็นเชลย และบางส่วนได้หลบหนีกลับมายังราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา ได้ถูกพระยาราชบังสันสิน นำไปสอบสวน จึงคาดสถานการณ์ว่า ศึกที่จะเกิดขึ้นใหม่นี้ กองทัพพม่า จะต้องส่งกองทัพบุกเมืองสยามปักษ์ใต้ อย่างแน่นอน จึงมอบให้ พระยาอินทร์รักษาบุญรอด ซึ่งเป็นน้องเขย ร่วมกับพระยาราชสุภาวดี เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ให้เร่งรีบออกไปสร้างกองทัพเรือที่เมืองตะกั่วป่า เมืองห้วยยอด และ เมืองถลาง เพื่อเตรียมขัดขวางกองทัพใหญ่ ของพม่า ที่เตรียมบุกยึดเมืองต่างๆ ทางชายฝั่งทะเลตะวันตก ส่วนเมืองต่างๆ ทางชายฝั่งทะเลตะวันออก ตกลงกันว่าให้ พระยาราชบังสันสิน พระยายมราชบุญชู ขุนหลวงพิชัย(หยางจิ้งจุง) และ พระยาพิพัฒน์โกษา เป็นผู้นำกองทหารทำสงครามต่อต้านข้าศึกพม่า

เดือนมีนาคม พ..๒๓๐๗ พระเจ้ามังระ มอบหมายให้ แม่ทัพมังมหานรธา เตรียมยกทัพเข้าตีเมืองสยามปักษ์ใต้ โดยกำหนดแผนให้ยกกองทัพ ๒๐,๐๐๐ คน ช้าง ๑๐๐ เชือก ม้า ๑,๐๐๐ ตัว เข้าตีเมืองทวาย  และจัดทัพใหม่ อีก ๒๐,๐๐๐ คน รวมเป็น ๔๐,๐๐๐ คน ให้แบ่งกองทัพ ๒๐,๐๐๐ คน รออยู่ที่เมืองทวาย เพื่อรอการเคลื่อนทัพไปทางด่านเจดีย์สามองค์ และให้นำกำลัง ๒๐,๐๐๐ คน เข้าตีเมืองมะริด และ ตะนาวสี มุ่งหน้าสู่เมืองมะลิวัน , เมืองกระ , เมืองระนอง , เมืองชุมพร , เมืองคลองวัง และเมืองไชยา โดยให้พักทัพที่เมืองไชยา เพื่อนำกองทัพล่องลงไปตีเมืองใต้ เมืองท่าทอง เมืองนคร เมืองพัทลุง เพื่อนำไพร่พลมารวมกันที่เมืองไชยา เพื่อรวมไพร่พลอีก ๒๐,๐๐๐ คน กลายเป็น ๔๐,๐๐๐ คน และให้นำกองทัพมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองปะทิว , เมืองกำเนิดนพคุณ เพื่อเข้าตีเมืองเพชรบุรี และพักทัพที่เมืองเพชรบุรี เพื่อรวบรวมไพร่พลอีก ๒๐,๐๐๐ คน เป็น ๖๐,๐๐๐ คน มุ่งหน้าสู่เมืองราชบุรี และพักทัพที่เมืองราชบุรี เพื่อรวมไพร่พล อีก ๒๐,๐๐๐ คน รวมเป็น ๘๐,๐๐๐ คน เพื่อรอทัพจากเมืองทวาย ๒๐,๐๐๐ คน มาสมทบ รวมกำลังไพร่พลเป็น ๑๐๐,๐๐๐ คน เพื่อเดินทัพมุ่งเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา เพื่อสมทบกับกองทัพของแม่ทัพเนเมียวสีหบดี ที่จะยกกองทัพมาจากเมืองเชียงใหม่ ตามแผนการที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

 

กองทัพพระยาราชบังสันสิน ทำสงครามบดขยี้กองทัพพม่า ที่สยามเมืองปักษ์ใต้

      หลักฐานพระราชพงศาวดารที่ปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลัง ไม่ยอมกล่าวถึงวีรกรรมการสู้รบของ พระเจ้าตากสินฯ กับกองทัพพม่า ณ เมืองไชยา และเมืองเพชรบุรี เพียงแต่กล่าวอย่างสั้นๆ ถึงเหตุการณ์ เมื่อต้นปี พ..๒๓๐๗ เพียงว่า 

“…ฝ่าย มังมหานรทา แม่ทัพยกลงมาถึงเมืองทวาย จึงให้กองหน้ายกไปตีเมืองมะริด เมืองตะนาวศรี แตกทั้งสองเมือง หุยตองจา เจ้าเมืองทวาย หนีลงไปทางเมืองกระ เข้าเมืองชุมพร ทัพพม่าตามลงไปเผาเมืองชุมพรเสีย แล้วยกลงมาตีเมืองปะทิว เมืองกุย เมืองปราณ แตกทั้งสามเมือง แล้วกลับไปเมืองทวาย…”©-

ส่วนพงศาวดารคองบอง ของพม่า ได้กล่าวไว้อย่างสั้นๆ ว่า พม่าตีได้เมืองมะลิวัน เมืองกระ เมืองระนอง ตลอดไปจนถึงเมืองชุมพร เมืองคลองวัง(ท่าชนะ) เมืองไชยา แล้วย้อนกลับเข้าไปตีเมืองปะทิว เมืองกำเนิดนพคุณ เมืองคลองวาฬ เมืองกุย เมืองปราณ ตลอดมาจนถึงเมืองเพชรบุรี แต่ที่เมืองเพชรบุรีนั้น มีกองทัพของพระยาพิพัฒน์โกษา(น้องชายของ หยางจิ้งจุง) กับกองทัพของพระยาราชบังสันสิน เคลื่อนกองมาจากกรุงศรีอยุธยา สามารถรักษาเมืองเพชรบุรีไว้ได้

ส่วนตำนานท้องที่เมืองไชยา กล่าวว่า เมื่อพม่ายกทัพถึงเมืองไชยา พม่าต้องถอยทัพกลับไป เพราะพ่ายแพ้กองทัพไทยอย่างยับเยิน และต้องพ่ายแพ้กองทัพพระยาตากสิน ณ สมรภูมิเมืองเพชรบุรี อีกครั้งหนึ่ง ทำให้แม่ทัพมังมหานรธา ไม่สามารถปฏิบัติตามแผนการที่พระเจ้ามังระกำหนดไว้ได้ จึงต้องถอยทัพกลับไปที่ เมืองทวาย คงเหลือแต่หน่วยปฏิบัติการกองโจรทหารม้าพม่า เท่านั้น

      วีรกรรม ของ พระยาราชบังสันสิน พระยายมราชบุญชู และ พระยาพิพัฒน์โกษา ณ ดินแดนสยามปักษ์ใต้ ในขณะนั้น จากการสอบถามสายสกุล สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนาท และสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนก ซึ่งเป็นพระเจ้าหลานเธอของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ และเคยไปพักอาศัยอยู่กับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ภายหลังจากการถูกยึดอำนาจ ที่เชิงเขาพนมเบญจา เมืองกระบี่ ถึง ๕ ปี และเมื่อได้สอบถามไปยัง คุณหมอชาญณรงค์ เครือข่ายศึกษาสังคมไทย กลุ่มอนุรักษ์ลุ่มแม่น้ำหลวง ซึ่งได้เคยไปสำรวจพื้นที่ และเก็บรวบรวมข้อมูล เกี่ยวกับวีรกรรมของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ และ พระยายมราชบุญชู ในการต่อสู้กับกองทัพพม่า ในครั้งนั้น กับได้สอบถามผู้สูงอายุสายตระกูลพระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู ในท้องที่ อ.ไชยา และ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี สามารถสรุปวีรกรรมต่างๆ ของกองทัพ พระยาราชบังสันสิน ได้ดังนี้

เรื่องราวโดยสังเขป เกี่ยวกับวีรกรรม ของ พระยาราชบังสันสิน สรุปได้ว่า แผนการที่พระเจ้ามังระ มอบหมายให้แม่ทัพมังมหานรธา เตรียมยกทัพเข้าตีเมืองสยามปักษ์ใต้ โดยกำหนดแผนการให้ยกกองทัพ ๒๐,๐๐๐ คน ช้าง ๑๐๐ เชือก ม้า ๑,๐๐๐ ตัว เข้าตีเมืองทวาย และจัดทัพใหม่ อีก ๒๐,๐๐๐ คน รวมเป็น ๔๐,๐๐๐ คน โดยมีแผนการให้แบ่งกองทัพ ๒๐,๐๐๐ คน รออยู่ที่เมืองทวาย เพื่อรอการเคลื่อนทัพไปทางด่านเจดีย์สามองค์ ส่วนกำลังพล ๒๐,๐๐๐ คน ที่ยกกองทัพเข้าตีเมืองมะริด และเมือง ตะนาวสี นั้น ประสบความสำเร็จตามแผนการที่กำหนด สามารถระดมพลได้เพิ่มขึ้นอีก ๑๐,๐๐๐ คนที่เมืองมะริด และสามารถจัดกองทัพใหม่ โดยการนำกองทัพ ๒๐,๐๐๐ คน บุกต่อไปทางเมืองต่างๆ ของ สยามปักษ์ใต้ ส่วนกำลังพล ๑๐,๐๐๐ คน ที่ตั้งทัพอยู่ที่เมืองมะริด นั้น เป็นการเตรียมความพร้อมในการยกทัพเข้าทางด่านสิงขร ท้องที่ จ.ประจวบคีรีขัน ในปัจจุบัน เพื่อนัดพบกับกองทัพทางภาคใต้ เพื่อเตรียมเข้ายึดเมืองเพชรบุรี ต่อไป

เหตุการณ์ครั้งนั้น พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขากล่าวอย่างสั้นๆ ว่า

“…ภิกษุกรมหมื่นเทพิพิธ(เจ้าฟ้าแขก) กับ พระยาทวาย(หุยตองจา) ต้องหนีจากเมืองมะริด ไปที่เมืองเพชรบุรี ทรงทราบว่าเสียหัวเมืองให้กับข้าศึกหลายเมือง จึงโปรดให้ หุยตาจอง(มอญ-เจ้าเมืองทวาย) ไปอยู่ ณ เมืองชลบุรี ให้ส่งกรมหมื่นเทพพิพิธ ไปอยู่ ณ เมืองจันทร์บูรณ์…”©-

      แผนการที่พระเจ้ามังระ วางแผนไว้เดิมนั้น พม่าไม่มีแผนการที่จะส่งกองทัพเข้ายึดเมืองชายฝั่งทะเลตะวันตก เพราะสืบทราบว่า พระยาอินทร์รักษาบุญรอด ได้มาสร้างกองทัพเรือที่ เมืองตะกั่วป่า เมืองห้วยยอด และ เมืองถลาง มีการสร้างกองกำลังทหารต่อต้านกองทัพพม่าอย่างคึกคัก โดยพระเจ้ามังระไม่ทราบว่ามีกองทัพลับ ของ พระยาราชบังสันสิน ซ่อนอยู่ที่เมืองท่าชนะ พงศาวดารคองบอง ของพม่ากล่าวว่า กองทัพพม่า เดินทัพมุ่งหน้าสู่ เมืองมะลิวัน เมืองกระ เมืองระนอง เมืองชุมพร เมืองคลองวัง(ท่าชนะ) และเมืองไชยา แต่ต้องถอยทัพกลับมาที่เมืองเพชรบุรี โดยไม่กล่าวว่า เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น

เหตุการณ์ครั้งนั้น กองทัพพม่าประมาณ ๒๐,๐๐๐ คน ถูกกองทัพพระยาราชบังสันสิน วางแผนลวงให้เดินทัพผ่านเมืองท่าชนะ เข้ายึดเมืองไชยา ได้ตามแผนการที่พม่ากำหนด กองทัพพม่าสามารถจับพระยาไชยา (นายรุก) ไปเป็นเชลยศึก แล้วพักทัพอยู่ที่วัดเวียง เพื่อกวาดต้อนเชลยศึกที่เมืองไชยาให้ได้ ๑๐,๐๐๐ คน และเตรียมนำกองทัพล่องลงไปตีเมืองใต้ตามแผนเดิม คือ เมืองท่าทองเมืองนครเมืองพัทลุง เพื่อนำไพร่พลมารวมกันที่เมืองไชยา เพื่อรวมไพร่พลเชลยศึกให้ได้อีก ๒๐,๐๐๐ คน รวมเป็น ๔๐,๐๐๐ คน เพื่อเดินทัพกลับไปตีเมืองเพชรบุรี ตามแผนการเดิม กองทัพพม่าไม่ทราบว่า กองทัพของ พระยายมราชบุญชู ได้มาขุดหลุมฟาก หลุมพราง ตลอดเส้นทางเดินทัพจากเมืองไชยา ไปยังเมืองท่าทอง และเตรียมกองทัพลอบซุ่มโจมตี กองทัพพม่า ตลอดเส้นทาง

ดังนั้นเมื่อกองทัพพม่า ยกกองทัพมุ่งหน้าไปตีเมืองท่าทอง จึงถูกกองทัพของ พระยายมราชบุญชู ซุ่มโจมตี กองทัพพม่าต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ในที่สุดกองทัพพม่าต้องตัดสินใจล่าถอยกลับไปยังเมืองท่าชนะ จึงถูกกองทัพของ พระยาราชบังสันสิน ตีขนาบ กองทัพพม่า ล้มตายเป็นใบไม้ร่วง เหลือกำลังอยู่เพียงพันคนเศษ จึงต้องถอยทัพมุ่งหน้าไปยังเมืองเพชรบุรี เพื่อสมทบกับกองทัพ ๑๐,๐๐๐ คน ที่จะเดินทัพจากเมืองมะริด ผ่านมาทางด่าสิงขร ตามแผนการที่กำหนดไว้เดิม เพื่อเตรียมเข้าตีเมืองเพชรบุรี

 

แผนการรบของ พระยาราชบังสันสิน ระฆังจีนวัดธารฯ แตกร้าว ที่เมืองไชยา

       แผนการรบ ของ พระยาราชบังสันสิน ซึ่งวางแผนร่วมกับ พระยายมราช(บุญชู) เพื่อบดขยี้กองทัพพม่าที่เมืองไชยา ไม่มีบันทึกไว้ในพงศาวดาร แต่มีเรื่องราวที่ผู้เขียน ได้ไปรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับ ตำนาน ผีกล๊อกซึ่งเป็นเรื่องราวของวีรกรรมนักรบผู้รักชาติชาวไชยา สู้รบกับกองทัพพม่า ณ บริเวณวัดธารน้ำใจพระหมื่นปี หรือ วัดธารฯ พื้นที่บางยาง เกาะดอนขวาง และต่อมาเกิดมี ผีกล๊อกออกหลอกหลอนผู้คนที่เดินทางผ่าน บริเวณวัดร้างวัดธารฯ ซึ่งเล่าสืบทอดต่อเนื่องกันมา เนื้อหาโดยสรุปแล้ว เป็นเรื่องราวของ วีรกรรมนักรบรักชาติผู้กล้าหาญชาวไชยา ที่ไม่มีผู้ใดรวบรวมเขียนขึ้นเป็นเอกสารมาก่อน

 

ภาพที่-๑๔  ภาพระฆังจีน ซึ่งสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ นำไปเก็บรักษาไว้ที่พระราชวังหลวง กรุงธนบุรี สันนิษฐานว่า น่าจะนำไปจาก วัดธารฯ เมืองไชยา หลังจากที่พม่าได้ยึดระฆังใบนี้จะนำกลับไปพม่า แต่เมื่อพม่าพ่ายแพ้สงคราม พระยายมราชบุญชู ชนะศึกพม่า ก็ยึดระฆังกลับคืน แล้วถวายให้กับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่เมืองไชยา ในเวลาต่อมา

 

จากการตรวจสอบหลักฐานความเป็นมาของ วัดธารน้ำใจพระหมื่นปีจากผู้เชี่ยวชาญการแปลจดหมายเหตุที่เป็นภาษาจีนโบราณ มีหลักฐานจดหมายเหตุความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) กับ ฮ่องเต้ แห่ง มหาอาณาจักรจีน เมื่อปี พ.ศ.๑๕๔๖ ได้บันทึกไว้ถึงเหตุการณ์ที่ มหาจักรพรรดิ แห่ง สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ซึ่งมีพระนามว่า ศรีจุลนีพรหมทัตได้ส่งคณะราชทูต จากกรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ไปเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงจีน เพื่อขอให้พระเจ้ากรุงจีนถวายนามชื่อวัด จากภาษาไทย ให้เป็นชื่อภาษาจีน พร้อมกับขอระฆังจีนมาหนึ่งใบ ด้วย 

ทางประเทศจีนได้บันทึกไว้ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “…เมื่อเดือนกันยายน ปี พ..๑๕๔๖ มีมหาจักรพรรดิ แห่ง สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีโพธิ์ มีพระนามว่า ศรีจุลนีพรหมทัต”  ได้ส่งราชทูตมีนามว่า  หลี่-เจีย-ผายส่วนอุปทูตมีนามว่า  อู๋-ถัว-หลี่-หนาน-เปย”  มาถวายเครื่องราชบรรณาการและแจ้งว่า ทางกษัตริย์ กรุงศรีโพธิ์ ได้สร้างวัดทางพุทธศาสนา ในวาระเฉลิมพระชนมพรรษาขึ้นมาวัดหนึ่ง  จึงขอพระราชทานชื่อวัดดังกล่าวเป็นภาษาจีน และขอระฆังจีนหนึ่งใบ  ฮ่องเต้ทรงโปรด  จึงพระราชทานชื่อวัดว่า เฉิง-เทียน-ว่าน-โส้ว” (วัดธารน้ำใจพระหมื่นปีแล้วหล่อระฆังพระราชทานให้หนึ่งใบ ตามคำขอ  แล้วทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ราชทูตมียศเป็น ขุนพลผู้มีคุณธรรม ส่วนอุปทูต โปรดเกล้าให้มียศเป็น ขุนพลผู้ใฝ่สันติภาพ…”. ต่อมาเมื่อระฆังจีนวัดธารฯ ชำรุด จีนก็ส่งระฆังจีนใบใหม่มาให้ ทดแทนใบเดิมเรื่อยมา เพื่อแสดงความสัมพันธ์อันดี ระหว่างสองประเทศ เรื่อยมา

แสดงว่าวัดนี้เป็นวัดที่สำคัญวัดหนึ่งของไทย ดังนั้นเหตุการณ์จากปี พ..๑๕๔๖ ได้ล่วงเลยมาจนถึงสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา คือปี พ..๒๓๐๗ ขณะที่กองทัพพม่า บุกเข้ามาโจมตีเมืองไชยานั้น วัดนี้ยังไม่เป็นวัดร้าง และได้เกิดวีรกรรมการรบของนักรบชาวไชยาผู้รักชาติ ซึ่งได้บุกเข้าโจมตีกองทัพพม่าขึ้นที่วัดนี้ โดยไม่มีผู้ใดเขียนบันทึกไว้ มีแต่คำบอกเล่าขานของผู้สูงอายุ ถึงวีรกรรมนักรบชาวไชยาผู้กล้าหาญและรักชาติ ให้ชนชาวไทยได้รับรู้ ถึงวีรกรรมต่อไปในอนาคต

เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อกองทัพพม่า ได้พยายามยกกองทัพต่อไป เพื่อมุ่งหน้าเข้าตีเมืองท่าทอง แต่ต้องพ่ายแพ้ กองทัพของ พระยายมราชบุญชู ตามเส้นทางสาย มังลากลายเป็นเส้นทางที่กองทหารพม่าต้องพลีชีพไปจำนวนมาก ส่วนทหารไทยก็ต้องพลีชีพไปไม่น้อย เส้นทางดังกล่าวจึงถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น เส้นทางสายพลีหรือบางท้องที่ซึ่งมีการรบอย่างดุเดือด จะถูกเรียกชื่อว่า ช่องพลี เมื่อเสร็จสิ้นสงคราม

 

 

ภาพที่-๑๕  ภาพถ่ายระฆังจีนโบราณ ที่มีรอยแตกร้าว สันนิษฐานว่าเคยใช้งานอยู่ที่ วัดธารฯ ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติไชยา

 

เมื่อกองทัพพม่าไม่สามารถเดินทัพมุ่งหน้าไปตีเมืองท่าทองได้ จึงต้องถอยทัพกลับมาตั้งทัพที่เมืองไชยา แม่ทัพกองทัพพม่านั้น ตั้งกองทัพอยู่ที่วัดเวียง ส่วนกองทัพหนุนอื่นๆ นั้น กระจายไปตั้งทัพอยู่ตามวัดต่างๆในเมืองไชยา รวมทั้ง วัดธารน้ำใจพระหมื่นปี ด้วย พระยาราชบังสันสิน ได้คาดเหตุการณ์ล่วงหน้ามาแล้ว จึงเสนอแผนการรบให้ พระยายมราชบุญชู เข้าโจมตีกองทัพของพม่าซึ่งตั้งทัพอยู่ที่วัดธารน้ำใจพระหมื่นปี และเข้าโจมตีก่อกวนที่ตั้งกองทัพพม่า ณ วัดอื่นๆ พร้อมๆ กัน เพื่อกดดันกองทัพพม่าให้ต้องถอยทัพไปยังเมืองท่าชนะ เพื่อให้กำลังทหารของกองทัพเรือลับ และกองพันทหารม้าพระยาตาก ที่เมืองท่าชนะ เข้าตีโอบบดขยี้กองทัพพม่าอีกครั้งหนึ่ง

การเข้าโจมตีกองทัพพม่าเกิดขึ้น เมื่อเสียงระฆังจีนที่หอระฆังวัดธารฯได้ดังขึ้นได้ยินไปทั่วทั้งเมืองไชยาเมื่อเวลาประมาณ ตีสาม ก็เกิดการรบพร้อมกันหลายจุด นักรบของพระยายมราชบุญชู ที่ทำหน้าที่เข้าตีกองทัพพม่าที่วัดธาร ใช้สัญญาณ กล๊อกซึ่งเป็นเสียงที่เกิดจากการกระดกลิ้น คล้ายเสียงนก เพื่อให้รู้ว่าเป็นพรรคพวกเดียวกัน ก็ยกทัพเข้าตีกองทัพพม่าที่วัดธารฯ สามารถฆ่าฟันทหารพม่าได้เป็นจำนวนมาก   ระฆังจีนที่หอระฆังวัดธารฯ ถูกทหารไทย ตีจนระฆังแตกร้าว พร้อมๆกับการพ่ายแพ้ของกองทัพพม่า นักรบผีกล๊อก ส่วนหนึ่งต้องเสียชีวิต และกลายเป็นเรื่องราวผีกล๊อกหลอกหลอนชาวไชยา ในพื้นที่ดังกล่าวมายาวนาน จนกระทั่งเมื่อประมาณ ๕๐ ปีมานี้เรื่องราวของตำนาน ผีกล๊อก ก็ค่อยๆ หายไป เพราะ ท่านเจ้าคุณพุทธทาสภิกขุ แห่งวัดสวนโมกข์ผลาราม ได้ส่งพระภิกษุมาสวดมนต์เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณนักรบชาวไชยาผู้รักชาติที่เสียชีวิตในพื้นที่วัดร้างดังกล่าว เป็นประจำ จนกระทั่งดวงวิญญาณ ผีกล๊อก ได้ค่อยๆหายไปจาก วัดร้างวัดธารฯ เมืองไชยา ในปัจจุบัน

 

พระยาราชบังสันสิน ทำสงครามบดขยี้ กองทัพพม่า ที่วัดศรีราชัน

      พระยาราชบังสันสิน ร่วมกับพระยายมราชบุญชู วางแผนทำสงครามก่อกวน เพื่อบดขยี้กองทัพพม่า ผลักดันให้กองทัพพม่าต้องล่าถอยกลับไปทางเมืองท่าชนะ การรบที่เมืองไชยาเกิดขึ้นตั้งแต่ตีสาม จนกระทั่งฟ้าสาง กองทัพพม่า สามารถรวบรวมไพร่พล ถอยทัพกลับ พวกเชลยศึกพระยาไชยา(นายรุก) และพวก ถูกนำไปเป็นโล่กำบังให้กับกองทัพของพม่า ให้กองทัพหน้าพม่า สามารถถอยทัพมุ่งหน้าไปพักทัพที่วัดศรีราชัน บ้านดอนธูป ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน เมื่อกองทัพพม่า ทราบว่าไม่มีการปะทะใดๆ เกิดขึ้น ก็จัดทัพหลังเดินทัพมุ่งสู่วัดศรีราชัน พวกเชลยศึกและผู้บาดเจ็บ ทหารพม่าได้จัดให้เดินทางผ่านด่านช่อง ภูเขาเพลา เข้าสู่เมืองระนอง เพื่อเดินทางมุ่งหน้า ไปสู่เมืองตะนาวสี และเมืองมะริด ต่อไป

      ผลของสงครามที่เมืองไชยา กองทัพพม่าจากจำนวน ๒๐,๐๐๐ คน ขณะนั้นคงเหลืออยู่เพียงประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน และเชลยศึกชาวไชยา อีกส่วนหนึ่งประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน จึงถูกแบ่งกองทัพออกเป็นสามส่วน ส่วนที่หนึ่งเป็นเชลยศึก ๑๐,๐๐ คน ถอยทัพผ่านด่านภูเขาเพลา ส่วนที่สอง ทหารพม่าประมาณ ๕,๐๐๐ คน ถอยทัพมุ่งหน้าไปทางเส้นทางสายมังลา ผ่านหนองนิล , คลองพา เพื่อมุ่งหน้าสู่ วัดศรีราชัน กองทัพพม่าส่วนที่สาม ๕,๐๐๐ คน ถอยทัพไปตามเส้นทางสายแม่นางส่ง ผ่าน คลองวัง , ทุ่งลานช้าง , บ่อโว้ , หนองหวาย , คลองพา , ภูเขากอง , ภูเขาจอศรี และมุ่งหน้าไปพักกองทัพที่ วัดศรีราชัน ทำให้แผนการบดขยี้กองทัพพม่า ของ พระยาราชบังสันสิน จึงเกิดขึ้น

      พระยาราชบังสันสิน ซึ่งมีกำลังน้อยกว่ามาก ได้วางแผนแบ่งกองพันทหารม้าพระยาตาก ออกเป็นหน่วยย่อย เพื่อแสร้งลวงให้ปะทะกับกองทหารพม่า และแสร้งรบแพ้ เพื่อให้กองทัพพม่า ติดตามมาที่คลองวัง และ คลองพา โดยได้เตรียมหญ้าแห้ง กิ่งไม้แห้ง เพื่อวางแผนเผาล้อมกองทหารพม่าที่กำลังข้ามคลองวัง และคลองพา ให้ทหารพม่าต้องหนีกองไฟ ต้องโดดหนีลงคลอง และกองทหารไทยเข้าซุ่มยิงด้วยปืนลูกซองยาว เพื่อบดขยี้กองทัพพม่าให้แหลกตายเป็นผง

      การรบบริเวณเส้นทางแม่นางส่ง คือถนนสายทางหลวงจังหวัดในปัจจุบัน กองพันทหารม้าพระยาตาก ได้แสร้งปะทะกับกองทหารพม่าที่สระคงคาชัย แล้วแสร้งล่าถอยเพื่อลวงให้กองทัพพม่าติดตามมาจนถึงคลองวัง เกิดการรบกันระหว่างสองฝั่งคลอง จนกระทั่งกองทหารพม่าทั้งหมดเดินทัพมาถึง ทหารม้าพระยาตากสิน ได้ยิง ใต้เทซึ่งเป็นอาวุธชนิดหนึ่งซึ่งเป็นอวนปลาผสมน้ำมันชัน ใส่ไว้ในกระบอกไม้ไผ่ เมื่อจุดไฟแล้วยิงด้วยธนู หรือ ปางไม้ใหญ่ เข้าไปสู่เป้าหมายเพื่อจุดไฟ เข้าเผากองหญ้าแห้งที่เตรียมไว้ ไฟได้ลุกทั้งสองฝั่งคลอง ล้อมกรอบกองทหารพม่า ทหารพม่าต้องหนีความร้อนจากกองไฟ กระโจนลงสู่คลองวัง กลายเป็นอาหารของจระเข้บ้าง ถูกหน่วยซุ่มยิงของพระยาตาก ได้ฆ่าทหารพม่าที่คลองวังเป็นจำนวนมาก ส่วนที่เหลือ ก็ต้องล่าถอยหนีไป กองทหารพม่าเสียหายอย่างยับเยิน และได้นำทหารที่เหลือ เดินทัพอย่างระมัดระวัง มุ่งหน้าสู่วัดศรีราชัน

      ส่วนการรบบริเวณเส้นทางสายมังลา กองทหารม้าพระยาตากสิน ก็ใช้วิธีการเดียวกัน ได้แสร้งเข้าปะทะกับกองทหารพม่า แล้วแสร้งล่าถอยไปจนถึง คลองพา แล้วใช้อาวุธใต้เท ยิงใต้เทเข้าจุดไฟเผาล้อมกรอบทหารพม่า กองทัพพม่าต้องบาดเจ็บล้มตาย บริเวณคลองพา เป็นจำนวนมาก หลังจากนั้น ทหารพม่าก็เคียดแค้นคนไทยมาก เมื่อพบเจอลูกเล็กเด็กแดง ก็จับโยนขึ้นสู่ท้องฟ้า ใช้ปลายหอกดาบ เข้ารับเสียบเด็กไทย ตายไปมาก กองทัพพม่าคงเหลืออยู่ประมาณ ๕,๐๐๐ คน ส่วนใหญ่เป็นทหารบาดเจ็บ ได้ไปพักกองทัพอยู่ที่ วัดศรีราชัน เมืองคันธุลี

      พระยาราชบังสันสิน วางแผนบดขยี้กองทัพพม่า ที่ วัดศรีราชัน โดยนำเอาช้างที่ต้อนไปซ่อนกองทัพพม่าไว้ในถ้ำยาว ภูเขาแม่นางส่ง มาจัดเป็นกองร้อยทหารช้าง ส่วนกองพันทหารม้าพระาตากสิน ถูกแบ่งกำลังไปเตรียมงานที่คลองหิต ทางทิศตะวันตกของ ภูเขาคันธุลี กองพันทหารม้าพระยาตากสิน ได้ใช้อาวุธ ใบลังทังช้างเป็นอาวุธต่อสู้กับกองทหารพม่าที่คลองหิต เมื่อกองทหารพม่าต้องล่าถอย มาข้ามคลองหิต ใบลังทังช้างมีคุณสมบัติที่ผู้ใดไปสัมผัส ก็จะเกิดอาคารคัน และปวดเจ็บร้อนอย่างรุนแรง และต้องกระโจนลงน้ำ ซึ่งจะทำให้สารเคมีในใบลังทังช้าง ทำปฏิกิริยากับน้ำ กลายเป็นสารพิษ ต้องเสียชีวิตทันที ดังนั้นกองพันทหารม้าพระยาตาก ได้ตัดใบลังทังช้างมาดักกองทหารพม่า ตลอดแนวเส้นทางเดินทัพ และ สองฟากฝั่งคลองหิต ส่วนกองร้อยทหารช้าง ก็เตรียมนำกองทัพเข้าบดขยี้กองทหารพม่าที่พักทัพอยู่ที่ วัดศรีราชันในเวลาสามทุ่ม

      เมื่อถึงเวลาที่กำหนด เสียงกลองรบที่หอกลอง วัดศรีราชัน ก็ดังขึ้น เป็นสัญญาณให้กองพันทหารม้าพระยาตากสิน กองร้อยทหารช้างพระยาตากสิน ที่ทุ่งพระยาชนช้าง และ หน่วยทหารต่างๆ ร่วมกันเข้าโจมที่กองทหารพม่า ณ วัดศรีราชัน พร้อมๆ กัน กองทัพพม่าบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ต้องล่าถอยไปทางคลองหิต ก็พบกับอาวุธลับ ใบลังทังช้าง ของกองพันทหารม้าพระยาตากสิน เสียชีวิตดั่งใบไม้ร่วงในคลองหิต กองทหารที่เหลือ ประมาณ ๑,๐๐๐ คน ต้องกระจายออกเป็นหน่วยย่อยๆ หนีออกไปทางชุมพร นับเป็นความพ่ายแพ้ของกองทัพพม่าอย่างยับเยิน ซึ่งไม่มีผู้ใดได้ทำการบันทึกไว้

 

กองทัพพระยาราชบังสันสิน บดขยี้กองทัพพม่า ที่เมืองเพชรบุรี

      บันทึกพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา ซึ่งปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลัง พยายามตัดวีรกรรมของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ออกไป โดยกล่าวว่า “…ครั้นถึงเดือน ๗ จุลศักราช ๑๑๒๖ ปีวอก(เดือนมิถุนายน พ..๒๓๐๗) มังมหานรทา ให้กองทัพหน้าสามนายพลห้าพัน ยกกองทัพเข้ามาเมืองกาญจนบุรี เข้าตีทัพพระพิเรนทรเทพ แตกพ่ายมา ทัพพม่ายกตามเข้ามาตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลบ้านลูกแก ขณะนั้นเรือลูกค้ามาจอดคั่งอยู่ที่นั้นเป็นอันมาก พม่าลงไล่ฆ่าฟันตายในน้ำและบนบก และจับไปเป็นเชลยได้มาก แล้วพม่ายกไปตั้งค่ายอยู่ ณ ตอกระออม และดงรักหนองขาว ให้ต่อเรือรบ เรือไล่อยู่ที่นั้น แล้วจัดทัพให้ยกแยกกันไป ตีเมืองราชบุรี เมืองเพชรบุรี มิได้มีผู้ใดต่อรบ ยกครอบครัวหนีเข้าป่าไปสิ้น พม่าเที่ยวไล่ค้นจับผู้คนครอบครัวได้บ้างแล้ว ยกกลับไปยังค่ายซึ่งตั้งอยู่นั้น และรอทัพต่อเรือรอข่าวฟังทัพทางเหนือจนถึงปีระกา สัปตศก©-๓…”

ส่วนพงศาวดารฉบับขุนหลวงหาวัด และพงศาวดารคองบอง กล่าวไว้มีเนื้อหาใกล้เคียงกันว่า กองทัพพม่าที่ต้องล่าถอยมาจากเมืองสยามปักษ์ใต้ นั้น ได้บุกย้อนกลับมาเข้าตีเมืองปะทิว เมืองกำเนิดนพคุณ(บางสะพาน) เมืองคลองวาฬ เมืองกุย และเมืองปราณบุรี ได้กำลังเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ ๒,๐๐๐ คน แล้วยกทัพเข้าล้อมเมืองเพชรบุรีไว้ ทางกรุงศรีอยุธยา ได้ส่งกองทัพของพระยาพิพัฒน์โกษา กับ กองทัพพระยาราชบังสันสิน ไปช่วยเหลือ จึงสามารถรักษาเมืองเพชรบุรีไว้ได้ กองทัพพม่าจึงต้องถอยทัพกลับไป คงเหลือแต่หน่วยกองโจรทหารม้า เข้าปล้นสะดมบ้านเรือนทั่วไป

      หลักฐานสองส่วนนี้ขัดแย้งกันเอง และเมื่อพยายามตรวจสอบ การเคลื่อนกองทัพของพม่าออกจากเมืองทวาย จากพงศาวดารคองบอง ครั้งแรกเพื่อมุ่งเข้ายึดเมืองมะริด และเมืองสยามปักษ์ใต้นั้น คือเหตุการณ์เมื่อเดือน มีนาคม พ..๒๓๐๗ ส่วนการเคลื่อนทัพครั้งที่สองจากเมืองทวาย มุ่งหน้าสู่ด่านเจดีย์สามองค์ เพื่อเข้าปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองนั้น คือเหตุการณ์เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน พ..๒๓๐๘ เป็นช่วงเวลาห่างกันถึง ปีครึ่ง แสดงว่าพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขานั้น กล่าวสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี พ..๒๓๐๗ โดยสรุปรวบยอดไปถึงเหตุการณ์ปลายปี พ..๒๓๐๘ โดยตัดวีรกรรมของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ พระยายมราชบุญชู และพระยาพิพัฒน์โกษา ที่เมืองไชยา เมืองท่าชนะ และเมืองเพชรบุรี ออกไปเสีย

พงศาวดารฉบับขุนหลวงหาวัด และ พงศาวดารคองบอง ของพม่า กล่าวถึงเหตุการณ์ปี พ..๒๓๐๗ เท่านั้น โดยการยอมรับความพ่ายแพ้ ของ กองทัพพม่า อย่างย่อๆ โดยไม่ยอมให้รายละเอียดใดๆ ผู้เขียนจึงขอนำเอาวีรกรรมของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ พระยายมราชบุญชู และ พระยาพิพัฒน์โกษา (ขุนหลวงพรหมเสนา น้องชายของ หยางจิ้งจุง) ณ สมรภูมิ เมืองเพชรบุรี มากล่าวไว้โดยสังเขป ดังนี้

      เมื่อกองทัพพม่า พ่ายแพ้ต่อกองทัพพระยาราชบังสันสิน และ พระยายมราชบุญชู ณ เมืองไชยา และ เมืองท่าชนะ นั้น คือเหตุการณ์เมื่อประมาณ เดือนเมษายน ถึง เดือนพฤษภาคม พ..๒๓๐๗ ขณะที่กองทัพพม่าตัดสินใจถอยทัพนั้น กำลังพลของกองทัพพม่า ขณะนั้นมีกำลังพลเหลืออยู่ประมาณ ๑๑,๐๐๐ คน กองทหารพม่าได้ทำการควบคุมกลุ่มเชลยศึกชาวไชยา ประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน รวมทั้งพระยาไชยา(รุก) เจ้าเมืองไชยา เป็นโล่กำบัง เดินทางผ่านเส้นทาง ด่านช่องเขาเพลา มุ่งหน้าสู่เมืองมะริด ขณะนั้น พระยาอินทร์รักษา(บุญรอด) ผู้เป็นน้องเขย พระยาราชบังสันสิน ได้นำกองทัพมาดักซุ่มตี แต่เกรงว่าเชลยศึกคนไทยจะเสียชีวิตกันมาก จึงยอมให้พม่า เดินทัพกลับไปถึงเมืองมะริด ทางกองทัพพม่าจึงได้สะสมกำลังเพิ่มขึ้นเป็น ๒๐,๐๐๐ คน ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองมะริด ก็เคลื่อนทัพ ๒๐,๐๐๐ คน เดินทัพผ่านทางด่านสิงขร ท้องที่ จ.ประจวบคีรีขัน ในปัจจุบัน เข้าปิดล้อมเมืองเพชรบุรีไว้ เพื่อรอทัพพม่า ๔๐,๐๐๐ คน ที่จะนำทัพมาจากเมืองไชยา ไปสมทบ

กองทัพพม่าที่ต้องล่าถอยมาจากเมืองสยามปักษ์ใต้ นั้นมีกำลังไม่ถึง ๔๐,๐๐๐ คน คงเหลือจริงประมาณ ๑,๐๐๐ คน เท่านั้น ได้บุกย้อนกลับมาเข้าตีเมืองปะทิว เมืองกำเนิดนพคุณ(บางสะพาน) เมืองคลองวาฬ เมืองกุย และเมืองปราณบุรี ได้กำลังเพิ่มขึ้นอีกเป็นประมาณ ๒,๐๐๐ คน แล้วยกทัพเข้าล้อมเมืองเพชรบุรีไว้ ทั้งๆ ที่แผนการเดิมนั้น แม่ทัพพม่า ที่ยกกองทัพมาตีเมืองสยามปักษ์ใต้ นั้น ต้องนำกำลังกลับไป ๔๐,๐๐๐ คน เพื่อนำไปสมทบกับกองทัพพม่าที่ยกกองทัพจากเมืองมะริด มาทางด่านสิงขร อีก ๒๐,๐๐๐ คน เป็นกำลัง ๖๐,๐๐๐ คน เพื่อเข้าตีเมืองเพชรบุรี แต่เมื่อการปิดล้อมเมืองเพชรบุรี จริงๆ กลับมีกำลังเพียง ๒๒,๐๐๐ คนเท่านั้น และส่วนใหญ่เป็นเชลยศึกชาวไทย ที่ไม่ต้องการทำสงครามกับ ชาวไทยด้วยกันเอง

      ที่เมืองเพชรบุรี ซึ่งกำลังถูกกองทัพพม่า ๒๒,๐๐๐ คน ล้อมอยู่นั้น พระยาเพชรบุรีตาล ซึ่งเป็นเจ้าเมืองในขณะนั้น คือสามีของหม่อมอั๋น น้องสาวของหม่อมนกเอี้ยง ซึ่งเป็นมารดาของพระยาราชบังสันสิน เป็นผู้กลับเข้ามาปกครองเมืองใหม่ ตั้งแต่สมัยที่พระเจ้าอุทุมพร ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นครั้งที่สอง จึงมีการปรับปรุงกำแพงเมือง และสร้างป้อมค่ายอย่างแข็งแรง และได้วางแผนการรบร่วมกับพระยาราชบังสันสิน ไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า เมื่อกองทัพพม่า ๒๐,๐๐๐ คน จากเมืองมะริด เข้าล้อมเมืองเพชรบุรีนั้น พระยาราชบังสันสินฯ วางแผนให้กองทัพของพระยาสามสหาย คือพระยาราชบังสันสิน และ พระยายมราชบุญชู และ พระยาราชบุรี(ทองด้วง) ให้ร่วมกันนำกองทัพมาตีขนาบหลัง กองทัพพม่า คือเหตุการณ์เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน พ..๒๓๐๗ แต่พระยายมราชทองด้วง ไม่ยอมส่งกองทัพเข้ามาช่วย เพราะเมืองราชบุรี ถูกพม่า ยึดครอง พระยาพิพัฒน์โกษา น้องชายของ หยางจิ้งจุง จึงส่งกองทัพมาแทนที่ กลายเป็นสามสหายใหม่ 

      เมื่อพระยาราชบังสันสิน ได้นำกองร้อยทหารช้าง และกองพันทหารม้าพระยาตาก เดินทางมาทางเรือสำเภา มาสมทบกับกองทัพอีกสองสหาย กลายเป็นกองทัพพระยาสามสหายใหม่ ได้เข้าตีโอบขนาบหลัง กองทัพพม่า ณ เมืองเพชรบุรี กองทัพพม่า ๒๒,๐๐๐ คน เสียหายอย่างหนัก ต้องถอยทัพหนีกลับไปทางเมืองมะริด และต้องไปรวมทัพกันใหม่ที่เมืองทวาย ทิ้งไว้เพียงหน่วยปฏิบัติการกองโจรทหารม้า เข้าปล้นสะดม บ้านเรือนต่างๆ ของคนไทย ส่วนกองทัพพม่าที่ต้องถอยทัพกลับไปรวมตัวกันอยู่ที่เมืองทวายนั้น พระเจ้ามังระ ต้องปรับแผนการรบใหม่ ต้องสะสมกำลังใหม่อีกประมาณ ๑ ปี จึงจะสามารถยกกองทัพเข้าตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง ส่วนกองทัพพม่าทางเมืองเหนือนั้น ต้องพักกองทัพรอท่าอยู่ อย่างไม่มีกำหนด

 

พระยาราชบังสันสิน วางแผนทวงคืนอำนาจให้กับ พระเจ้าอุทุมพร

เมื่อย้อนเหตุการณ์กลับไปเมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ.๒๓๐๗ นั้น พระเจ้ามังระได้วางแผนยกกองทัพจำนวน ๒๗ กองทัพ แยกออกเป็นสองทาง คือทางภาคเหนือ และ ทางภาคใต้ เพื่อเข้ายึดครองกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจรัฐ ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ แม่ทัพมังมหานรธา ซึ่งได้รับมอบหมายให้ยกกองทัพไปตีเมืองต่างๆ ของสยามปักษ์ใต้ แต่ไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนด เพราะพ่ายแพ้แก่กองทัพไทย สยามปักษ์ใต้ อย่างยับเยิน ต้องกลับมาเลียแผลที่เมืองทวาย เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน พ..๒๓๐๗

ส่วนกองทัพที่พม่ายกไปทางราชอาณาจักรลานนา กรุงเชียงใหม่ โดยมีแม่ทัพเนเมียวสีหบดี จัดทัพ ๒๐,๐๐๐ คน ช้าง ๑๐๐ เชือก ม้า ๑,๐๐๐ ตัว ได้เดินทัพออกสู่กรุงอังวะ เมื่อเดือน มีนาคม พ..๒๓๐๗ เช่นเดียวกัน โดยมีแผนการมุ่งหน้าเดินทัพเข้าไปปราบกบฏที่ ราชอาณาจักรลานนา กรุงเชียงใหม่ และพักทัพที่ เมืองเชียงใหม่ เพื่อนำกองทัพมุ่งหน้าเข้าตีแคว้นลานช้าง กรุงหลวงพระบาง ของ ราชอาณาจักรลาว และวางแผนนำไพร่พลมาจัดทัพใหม่ ณ เมืองเชียงใหม่ ศูนย์กลางอำนาจรัฐของราชอาณาจักรลานนา จะทำให้ได้กำลังทหารเพิ่มขึ้นอีก ๒๐,๐๐๐ คน รวมเป็น ๔๐,๐๐๐ คน เพื่อนำกองทัพมุ่งหน้าเข้าตีเมืองพิษณุโลก และจัดทัพใหม่ รวมทหารอีก ๑๐,๐๐๐ คน รวมเป็น ๕๐,๐๐๐ คน เพื่อเดินทัพมุ่งหน้าสู่กรุงศรีอยุธยา ไปพบกับทัพของแม่ทัพมังมหานรธา อีก ๑๐๐,๐๐๐ คน ที่เดินทัพไปตีดินแดนเมืองสยามเมืองปักษ์ใต้ เหล่านี้คือแผนการเดิม แต่ผิดแผน เพราะพ่ายแพ้สงครามที่ สยามปักษ์ใต้ จึงไม่เป็นไปตามแผนการที่กำหนด

เนื่องจากเหตุการณ์ประมาณ เดือน มิถุนายน พ..๒๓๐๗ ได้เกิดศึกวีรกรรมของพระยาสามสหาย ณ เมืองไชยา และเมืองเพชรบุรี กองทัพพม่า ต้องพ่ายแพ้กองทัพสยามปักษ์ใต้ อย่างยับเยิน ต้องถอยทัพกลับไปยังเมืองมะริด และไปรวมพลอยู่ที่เมืองทวาย เป็นเหตุให้ แม่ทัพมังมหานรธา ต้องทิ้งทหารม้าหน่วยปฏิบัติการกองโจร เข้าปล้นสะดม ก่อกวน บ้านเรือนต่างๆ ของไทย เพื่อถอยทัพกลับไปทางด่านสิงขร

เมื่อแผนการรบของ แม่ทัพมังมหานรธา ไม่เป็นไปตามแผนการที่กำหนด กองทัพของแม่ทัพ   มังมหานรธา พ่ายแพ้ต่อกองทัพของ สยามปักษ์ใต้ ที่เมืองไชยา เมืองท่าชนะ และเมืองเพชรบุรี กองทัพพม่า จึงเสียหายไพร่พลไปเป็นจำนวนมาก คงเหลือกองทัพกลับมาไม่กี่ร้อยคน พระยาอินทร์รักษาบุญรอด ก็สามารถยึดเมืองมะริด และตะนาวสีกลับคืนมาอีก พม่าจึงต้องกลับมาเลียแผลอยู่ที่เมืองทวาย พระเจ้ามังระ จึงต้องปรับแผนการรบใหม่ ให้กองทัพของแม่ทัพเนเมียวสีหบดี ตั้งทัพรออยู่ที่เมืองเชียงใหม่ โดยยังไม่ต้องยกกองทัพเข้าตีเมืองพิษณุโลก

เหตุการณ์หลังจากนั้น พระเจ้ามังระ ได้รับสั่งให้ส่งเชลยศึก คือ พระยาไชยารุก นอกราชการ พี่น้องต่างมารดา ของ พระยายมราชบุญชู เดินทางไปยังกรุงอังวะ เชลยศึกพระยาไชยารุก จึงได้เปิดเผยข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรเสียม-หลอ เป็นที่มาให้ พระเจ้ามังระ ทำการเลี้ยงดูเชลยศึกพระยาไชยารุก เป็นอย่างดี เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนใหม่เข้ายึดครองกรุงศรีอยุธยา ในอนาคต

ขณะที่กองทัพของ แม่ทัพมังมหานรธา กำลังเสียขวัญอยู่นั้น พระยาอินทร์รักษาบุญรอด ซึ่งเป็นบุตรชายของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา และเป็นน้องเขยของ พระยาราชบังสันสิน ได้ถือโอกาส ส่งกองทัพเข้ายึดเมือง ตะนาวสี และ เมืองมะริด กลับคืนไปจากพม่า เมื่อปี พ.ศ.๒๓๐๗ กองทหารพม่าต้องถอยไปรวมตัวกันที่เมืองทวาย พระยาอินทร์รักษาบุญรอด จึงได้ตั้งผู้รักษาการเมืองชั่วคราวของทั้งสองเมือง เข้าปกครอง ต่อมาไม่นาน เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (ราชสุภาวดี) ก็ส่งขุนนางจากเมืองนครศรีธรรมราช เข้าปกครองเมืองทั้งสอง แต่เจ้าเมืองเดิม ซึ่งพระเจ้าเอกทัศ แต่งตั้งขึ้น และเป็นขุนนางฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในเขตป่าเขา ได้เดินทางกลับมาอ้างสิทธิ์เข้าปกครองเมืองมะริด และตะนาวสี แต่ขุนนาง ของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (ราชสุภาวดี) ไม่ยินยอมคืนเมืองให้กับขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง

ประมาณเดือนสิงหาคม พ..๒๓๐๗ พระเจ้ามังระ ได้วางแผนทดสอบกำลังทหารของราชอาณาจักรเสียม-หลอ อีกครั้งหนึ่ง โดยรับสั่งให้แม่ทัพมังมหานรธา แสร้งทดลองส่งทหาร ๓๐,๐๐๐ คน เดินทัพไปยังด่านเจดีย์สามองค์ แล้วแสร้งถอยทัพกลับมาที่เมืองทวาย อีกครั้งหนึ่ง คงทิ้งไว้แต่ กองทหารม้า หน่วยปฏิบัติการกองโจร เข้าปล้นสะดม บ้านเรือนต่างๆ ของชาวไทยตามเมืองต่างๆ ที่ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวงปกครองเมือง แล้วปล่อยข่าวว่า กองทัพใหญ่พม่า จากเมืองเหนือ และ จากเมืองทวาย กำลังยกกองทัพใหญ่ เคลื่อนเข้าปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา อีกครั้งหนึ่ง ทำให้คนไทยต่างก็เสียขวัญกันมาก

เหตุการณ์หลังจากนั้น ได้เกิดกระแสข่าวลือเรื่องพม่า กำลังยกทัพเข้ามาโจมตีกรุงศรีอยุธยา อีกครั้งหนึ่ง จึงเกิดกระแสเรียกร้องของขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติ และประชาชนในกรุงศรีอยุธยา ให้ภิกษุพระเจ้าอุทุมพร ขึ้นครองราชย์สมบัติ อีกครั้งหนึ่ง พระยาราชบังสันสิน จึงถือโอกาสดังกล่าวขอลักลอบเข้าเฝ้า ภิกษุพระเจ้าอุทุมพร อย่างลับๆ แต่พระเจ้าเอกทัศ ได้ส่งทหาร เข้าควบคุมภิกษุพระเจ้าอุทุมพร ที่ วัดโพธิ์ทอง แขวงเมืองวิเศษไชยชาญ เพื่อมิให้ผู้ใดติดต่อกับ ภิกษุพระเจ้าอุทุมพร ไว้เสียก่อน แผนการเข้ายึดอำนาจจากพระเจ้าเอกทัศ กลับคืนให้กับ พระเจ้าอุทุมพร จึงล้มเหลว ไม่สามารถดำเนินการได้

 

พระยาราชบังสันสิน รับหม่อมนกเอี้ยง จากเขาขุนพนม กลับมาที่เมืองท่าชนะ

      เรื่องราวของหม่อมนกเอี้ยง พระราชมารดาของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มีเรื่องโยงใยกับ เจ้าพระยาราชสุภาวดี เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช  ซึ่งเป็นขุนนางอำมาตย์ผู้รักชาติมากคนหนึ่ง  และเป็นญาติสนิทกับหม่อมนกเอี้ยง แต่ต่อมาถูกปลดออกจากตำแหน่ง มีหลักฐานเบื้องต้นบันทึกไว้อย่างสั้นๆ ว่า “...เจ้าพระยาราชสุภาวดี เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ต้องคดี จึงถูกเรียกมารับราชการอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาแต่ต้องคดีเรื่องอะไรนั้น ไม่มีใครบันทึกไว้ จึงมีแต่ข้อสันนิษฐาน ของ นักประวัติศาสตร์ เท่านั้น ผู้เขียนจึงนำข้อมูลการถ่ายทอดจากสายตระกูล พระเจ้าหลานเธอ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ๒ พระองค์ มานำเสนอ

      อันที่จริงแล้ว เมืองนครศรีธรรมราชนั้น เป็นแว่นแคว้นใหญ่ มาอย่างยาวนาน มีราชาปกครอง เคยเป็นแว่นแคว้นประเทศราชของกรุงศรีอยุธยา แต่เนื่องจากการแย่งชิงราชสมบัติของกษัตริย์ที่กรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจรัฐของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา หลายครั้งที่ไม่เป็นไปตามครรลองคลองธรรม ทำให้แคว้นนครศรีธรรมราช ประกาศไม่ยอมขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา หลายครั้งหลายคราว เช่นสมัยพระเจ้าปราสาททอง และ สมัยพระเพทราชา เป็นต้น กรุงศรีอยุธยาต้องส่งกองทัพเข้าปราบปรามทุกครั้ง ในบางสมัยจึงเป็นแคว้นประเทศราช บ้าง หรือ เป็นเมืองเอกบ้าง

ในอดีตนั้นบางสมัย เมืองนครศรีธรรมราช นอกจากต้องปกครองเมืองต่างๆ ทางชายฝั่งทะเลตะวันออก แล้ว บางสมัยก็ต้องปกครองเมืองต่างๆ ทางชายฝั่งทะเลตะวันตก ทั้งหมด รวมทั้งเมืองมะริด และเมืองตะนาวสีด้วย ส่วนเมืองต่างๆ ทางชายฝั่งทะเลตะวันออก นั้น เมืองนครศรีธรรมราช จะปกครองมาถึงเมืองท่าทอง(อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี) เท่านั้น ทำให้ผืนแผ่นดินภาคใต้ ภายใต้การปกครองของเมืองนครศรีธรรมราช จึงลดลงเรื่อยๆ เมืองไชยา นั้น ขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยา โดยตรง ต่อมาในรัชสมัยของพระเจ้าเอกทัศ นั้น เมืองมะริด เมืองตะนาวะสี และเมืองไชยา ขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยาโดยตรง

      เนื่องจากเจ้าพระยาราชสุภาวดี เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช นั้น เป็นขุนนางอำมาตย์ผู้รักชาติ ไม่พอใจการขึ้นครองราชย์สมบัติของ พระเจ้าเอกทัศ ซึ่งมีอำนาจอยู่ภายใต้การคุ้มครองของขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง และไม่พอใจเจ้าเมืองมะริด และเจ้าเมืองตะนาวสี เป็นอย่างมาก เพราะเป็นขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ที่มุ่งเน้นแต่การฉ้อราษฎร์บังหลวง ขูดรีดภาษีเพื่อส่งส่วยให้กับพระเจ้าเอกทัศ โดยไม่ยอมสร้างความเข้มแข็งเพื่อรักษาเมือง การเสียเมืองมะริดและตะนาวสี ไปในศึกครั้งแรก เมื่อปี พ..๒๓๐๒ นั้น เจ้าเมืองทั้งสองอ้างว่า ที่เสียเมืองให้กับพม่านั้น เพราะบ้านเมืองมีความสงบ มีสัมพันธ์ไมตรีที่ดีอยู่กับพม่า จึงไม่ได้เตรียมกำลังทหารให้เข้มแข็งก็พอฟังขึ้น แต่หลังจากนั้นอีก ๕ ปี เมืองทั้งสองก็เสียให้กับพม่าอีก เจ้าเมืองทั้งสอง ไม่สามารถหาเหตุผลมาอ้างได้อีกแล้ว

      เมื่อพระเจ้าเอกทัศ มีคำสั่งให้เจ้าพระยาราชสุภาวดี เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช หาหนทางยึดเมืองตะนาวสี และเมืองมะริด กลับคืน เจ้าพระยาสุภาวดี จึงมอบให้ พระยาอินทร์รักษาบุญรอด น้องเขยพระยาราชบังสันสิน ยกกองทัพเรือจากเมืองพังงา เข้ายึดเมืองมะริด และเมืองตะนาวสี กลับคืนมาได้ เจ้าพระยาราชสุภาวดี ก็แต่งตั้งขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติ ไปปกครองเมือง และได้ทำหนังสือกราบทูลพระเจ้าเอกทัศ ขอให้เมืองมะริด และ เมืองตะนาวสี ขึ้นต่อการปกครองของเมืองนครศรีธรรมราช โดยตรงดังเดิม

เมื่อพระเจ้าเอกทัศ รับหนังสือแล้วก็นิ่งเฉย ไม่มีรับสั่งอันใดกลับมา ส่วนเจ้าเมืองเดิมทั้งสอง ซึ่งได้หลบหนีไปอยู่ในเขตป่าเขา เมื่อทราบว่า พระยาอินทร์รักษาบุญรอด สามารถยึดเมืองทั้งสองกลับคืนมาได้แล้วนั้น ก็เดินทางออกจากเขตป่าเขามาขอทวงเมืองคืน เมื่อเจ้าเมืองที่ เจ้าพระยาราชสุภาวดี แต่งตั้งไปปกครอง ไม่ยอมให้ขึ้นครองเมือง เจ้าเมืองทั้งสองพร้อมกับคณะกรมการเมือง จึงเดินทางมุ่งหน้าสู่กรุงศรีอยุธยา เพื่อขอเข้าเฝ้าพระเจ้าเอกทัศ พร้อมกับนำเงินทอง และทรัพย์สินต่างๆ ไปถวายเป็นจำนวนมาก พระเจ้าเอกทัศ จึงมีพระบรมราชโองการเรียก เจ้าพระยาราชสุภาวดี เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช มาเข้าเฝ้า ณ กรุงศรีอยุธยา เพื่อทำการสอบสวน

      เนื่องจาก เจ้าเมืองมะริด และเมืองตะนาวสี พร้อมกับคณะกรมการเมือง เป็นผู้ที่สนับสนุนเงินทุน ให้กับพระเจ้าเอกทัศ อย่างลับๆ เพื่อสะสมกำลังยึดอำนาจกลับคืนจาก พระเจ้าอุทุมพร ซึ่งมีบุญคุณต่อกัน เคยอุปถัมภ์ค้ำจุนกันมายาวนาน ดังนั้น เมื่อเจ้าพระยาราชสุภาวดี ผู้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เข้าเฝ้าพระเจ้าเอกทัศที่กรุงศรีอยุธยา จึงถูกสอบสวน และถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ ที่แต่งตั้งขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติ ไปปกครองเมืองมะริด และ เมืองตะนาวสี จึงถูกสั่งให้พักราชการอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา หลังจากนั้น พระเจ้าเอกทัศ ได้โปรดเกล้าให้ ปลัดเมืองนครศรีธรรมราช(หนู) เป็นว่าที่เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ต่อมา เมื่อพระยาราชบังสันสิน ทราบข่าวดังกล่าว จึงรีบเดินทางไปรับหม่อมนกเอี้ยง หม่อมอั๋น พร้อมบุตรธิดา จากเขาขุนพนม เมืองนครฯ ให้เดินทางกลับมาอยู่อาศัยที่เมืองท่าชนะ ดังเดิม

 

พม่าสร้างกลลวงหลอกพระเจ้าเอกทัศ จนราชอาณาจักรเสียม-หลอ ปั่นป่วน

      เมื่อกองทัพพระเจ้ามังระ สามารถจับกุมพระยาไชยารุก นอกราชการ ซึ่งเป็นบุตรชายของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา ถูกจับไปเป็นเชลยศึกในปี พ.ศ.๒๓๐๗ และได้ให้ทำสัตย์ปฏิญาณ ดื่มน้ำสาบานที่จะต้องจงรักภักดี ต่อพระเจ้ามังระ นั้น เป็นที่มาให้พระเจ้ามังระ ทราบข้อมูลต่างๆ ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา อย่างแท้จริง พระเจ้ามังระทราบว่า ขุนนางอำมาตย์ ของ กรุงศรีอยุธยา เต็มไปด้วยขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง และมีแต่ความอ่อนแอ จึงมุ่งเน้นวางแผนใหม่ เข้าตีเมืองของขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง พร้อมกับการส่งหน่วยปฏิบัติการกองโจรทหารม้า เข้าปล้นสะดมบ้านเรือนของราษฎร ในเมืองที่มีผู้ปกครองอ่อนแอ พร้อมกับใช้ พระยาไชยารุก นอกราชการ ให้เป็นราชทูตเข้าเจรจากับเจ้าเมืองต่างๆเพื่อให้อ่อนน้อมแต่โดยดี โดยจะแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ ของ เมืองประเทศราช ของพม่า การก่อกระแสดังกล่าวได้ผลดีมาก เพราะทำให้เจ้าเมืองฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ยอมอ่อนน้อมต่อกองทัพพม่า โดยไม่ต้องสู้รบเป็นจำนวนมาก เพราะอยากเป็นกษัตริย์เมืองประเทศราชของพม่า

เมื่อเข้าหน้าฝนของปี พ..๒๓๐๗ พระเจ้ามังระ แสร้งส่งทหาร ๓๐,๐๐๐ คน เดินทัพไปยังด่านเจดีย์สามองค์ แล้วแสร้งถอยทัพกลับมาที่เมืองทวาย คงทิ้งไว้แต่กองทหารม้าหน่วยปฏิบัติการกองโจร เข้าปล้นสะดม บ้านเรือนต่างๆของชาวสยาม แล้วปล่อยข่าวว่ากองทัพพม่าจากเมืองเชียงใหม่ และ จากเมืองทวาย กำลังยกกองทัพใหญ่เข้ายึดครองกรุงศรีอยุธยา หลายครั้งหลายคราว พระเจ้าเอกทัศ ก็บ้าจี้ตามกระแสข่าวลือ รับสั่งให้เจ้าเมืองต่างๆ ในสยามปักษ์ใต้ และหัวเมืองต่างๆ ส่งกองทัพเข้ามาช่วยรักษากรุงศรีอยุธยาตามข่าวลือ เพราะเกรงว่ากองทัพพม่าจะบุกกรุงศรีอยุธยา หลายครั้งหลายคราว เจ้าเมืองต่างๆ ต้องยกกองทัพกันไป และยกทัพกลับมาอีก วนเวียนเช่นนี้หลายครั้งหลายคราว เป็นไปตามแผนการของพระเจ้ามังระ จนกระทั่งทหารหัวเมืองต่างๆ เบื่อหน่ายกันมาก

การดำเนินการของพระเจ้ามังระ ได้ดำเนินการสร้างข่าวลวง จนกระทั่งถึงเดือนพฤษภาคม พ..๒๓๐๘ หน่วยปฏิบัติการกองโจร ของ แม่ทัพมังมหานรธา ได้ร่วมมือกับ พระยาไชยารุก นอกราชการ ก็เริ่มวางแผนเข้ายึดเมืองต่างๆ เพื่อยกทัพเข้าปิดล้อมยึดครอง กรุงศรีอยุธยา อย่างแท้จริง

หลักฐานพงศาวดารคองบองของพม่า ระบุว่า ในเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๓๐๘ นั้น แม่ทัพเนเมียวสีหบดี มอบให้นายทัพ ฉับกุงโบทดลองนำกองทัพ ๕,๐๐๐ คน เป็นกองทัพหน้า เคลื่อนทัพออกจากเมืองเชียงใหม่ เพื่อเข้ายึดเมืองตาก กองทัพหน้าสามารถยึดเมืองตาก เมืองกำแพงเพชร และเมืองนครสวรรค์ อย่างง่ายดายโดยไม่มีการต่อสู้ เพราะเจ้าเมืองถูกเกณฑ์ให้นำทหารเข้าไปรักษากรุงศรีอยุธยา กองทัพหน้าพม่าจึงตั้งทัพอยู่ที่เมืองกำแพงเพชร และ เมืองนครสวรรค์ เพื่อทำการกวาดต้อนผู้คนมาทำสัตย์ปฏิญาณ และดื่มน้ำสาบาน นำมาเกณฑ์เป็นทหาร ช่วยงานกองทัพต่างๆ ของพม่า

แม่ทัพเนเมียวสีหบดี จึงได้จัดทัพ ๔๓,๐๐๐ คน ส่วนหนึ่งเดินทัพจากเมืองเชียงใหม่ มาที่ลำปาง แล้วกระจายเดินทัพออกเป็นสองทาง เดินทัพมุ่งหน้ามาทางเมืองตากทัพหนึ่ง อีกทัพหนึ่งเดินทัพมาทางเมืองสวรรค์โลก สามารถยึดเมืองรายทางที่ขุนนางอำมาตย์ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวงปกครอง ได้ทั้งหมด โดยไม่มีการต่อสู้ ส่วนกองทัพพม่าจากแคว้นลานช้าง กรุงหลวงพระบาง ราชอาณาจักรลาว สามารถเดินทัพเข้ายึดเมืองพิชัยและเมืองสุโขทัย โดยไม่มีการต่อสู้ เช่นเดียวกัน กองทัพพม่า จึงเตรียมเข้ายึดเมืองพิษณุโลก ต่อไป

ในเดือนเดียวกัน แม่ทัพมังมหานรธา ซึ่งตั้งกองทัพอยู่ที่เมืองทวาย ได้มอบให้นายทัพชื่อ เมขะระโบนำกองทัพส่วนหน้า ๕,๐๐๐ คน ทดลองเดินทัพมาทางด่านเจดีย์สามองค์ มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองกาญจนบุรี พระยาไชยารุก นอกราชการ ได้ไปเจรจากับ พระพิเรนเทพ เจ้ากรมตำรวจ ซึ่งส่งกองทัพ ๓,๐๐๐ คน มาช่วยรักษาเมืองกาญจนบุรี พระพิเรนเทพ ยอมอ่อนน้อมกับกองทัพพม่าโดยดี และกลายเป็นสายสืบให้กับ พระยาไชยารุก นอกราชการ โดยการแสร้งรบแพ้แล้วแสร้งยกกองทัพที่เหลือกลับเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา กลายเป็นผู้ส่งข่าวให้กับพม่า ผ่าน พระยาไชยารุก นอกราชการ อย่างลับๆ

เมื่อพระเจ้าเอกทัศ ทราบข่าวว่า กองทัพพม่ายกกองทัพมาอีก จึงรับสั่งให้ กองทัพหัวเมืองสยามปักษ์ใต้ และ หัวเมืองต่างๆ ส่งกองทัพเข้ามาช่วยรักษากรุงศรีอยุธยา อีกครั้งหนึ่ง ขณะนั้นหน่วยปฏิบัติการกองโจรทหารม้า ของแม่ทัพมังมหานรธา ร่วมกับพระยาไชยารุก นอกราชการ เข้ายึดเมืองต่างๆ ได้เป็นจำนวนมาก และกวาดต้อนผู้คน มาตามลำน้ำแม่กลอง มาตั้งกองทัพ อยู่ที่ ต.ลูกแก ต.ตอกละออม และข้ามฟากแม่น้ำมาตั้งทัพอยู่ที่ ดงรักหนองขาว รอกองทัพเสริมเพื่อเตรียมเข้ายึดเมืองราชบุรี ต่อไป

 

เจ้าพระยาจักรีมุกดา พ่อบุญธรรมของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ถึงแก่ อนิจกรรม

      เรื่องราวของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา เป็นเรื่องดำมืดทางประวัติศาสตร์ พงศาวดารที่ถูกนำมาเขียนปรุงแต่งขึ้นมาภายหลัง จะปกปิดเรื่องราวของเจ้าพระยาจักรี ท่านนี้ ทั้งนี้เพราะมีเรื่องโยงใยอยู่กับ พระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ผู้เขียนจึงพยายามสืบสาวเรื่องราวข้อมูลเบื้องลึก จากสายตระกูลเจ้าพระยาจักรีมุกดา เพื่อนำมาเสนอต่อท่านผู้อ่านโดยสังเขป ดังนี้

      สายตระกูลของเจ้าพระยาจักรีมุกดา เป็นสายตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากเจ้าชายโมกุล ซึ่งเป็นพ่อค้าเจ้าชายอาหรับประเทศอิหร่าน นับถือศาสนาอิสลามสายชีอะ ได้มาเป็นตัวแทนค้าขายกับราชอาณาจักรมัชฌปาหิ เกาะชวา ต่อมาได้ไปสมรสกับเจ้าหญิงสาเล๊ะ แห่งเกาะชวา นับถือศาสนาอิสลามสายสุหนี่ และได้ไปเป็นเจ้าเมืองปกครอง เมืองสาเล๊ะ ที่เกาะชวา ต่อมาในปี พ..๒๑๑๔ สมัยแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมืองสาเล๊ะ ถูกกองทัพโปรตุเกส ยกทัพเข้าตีจนเมืองแตก เจ้าชายโมกุล จึงต้องอพยพไพร่พลมาขออาศัยร่มบรมโพธิ์สมภาร ของสมเด็จพระนเรศวร อยู่ที่เมืองสงขลา

สมเด็จพระนเรศวรฯ ไม่ไว้วางพระทัย เกรงจะเป็นแผนลวง จึงสั่งให้นำเจ้าชายโมกุล ไปทดสอบความจงรักภักดี อยู่ที่ภูเขาโมกุล แขวงลำนารายณ์ เมืองละโว้ มอบให้ทำเครื่องประดับหินโมกุล ให้กับเจ้าเมืองละโว้ เป็นประจำ จนได้ธิดาเจ้าเมืองละโว้ และราชธิดาพระนเรศวร มาเป็นภรรยาอีกสองคน กลายเป็นสามสายตระกูลที่ขัดแย้งกันเองในเวลาต่อมา

เจ้าพระยาจักรีมุกดา นั้น เป็นสายราชตระกูลของราชธิดาของพระนเรศวร คือ พระนางน้ำเงิน บุตรชายคือ บังสัน เคยปกครอง เมืองไชยา และ แคว้นปัตตานี ต่อมาต้องสู้รบกับ บุตรธิดาของโมกุล สายตระกูลเจ้าหญิงสาเล๊ะ เรียกกันว่า สายสุไลมาน ซึ่งเป็นผู้ปกครองเมืองสงขลา เนื่องจาก สายสกุลสุไลมานได้ก่อกบฏ ประกาศตั้งประเทศสงขลา แยกตัวออกจากราชอาณาจักรเสียม-หลอ แต่ต่อมาถูกสายสกุล สมเด็จพระนเรศวร คือ มหาหุมตาไฟ(ครุฑ) เจ้าเมืองไชยา ยกกองทัพเข้าปราบปรามจนสำเร็จ ในปลายรัชสมัยพระนารายณ์ บิดาของเจ้าพระยาจักรีมุกดา ก็คือ เจ้าพระยาจักรีครุฑ ในสมัยพระเจ้าบรมโกศ หรือที่ชาวไชยาเรียกชื่อว่า มหาหุมตาไฟ(ครุฑ) ซึ่งเป็นพี่ชายของ มหาหุมตะตา ผู้ปกครองเมืองพัทลุง นั่นเอง

      เนื่องจากพระเจ้ามังระ ต้องการแผ่พระเดชานุภาพ สร้างจักรวรรดิพม่าให้เหมือนกับเมื่อครั้งที่พระเจ้าบูเรงนอง จึงต้องการยึดกรุงศรีอยุธยาให้ได้ หลักฐานพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา จึงมีข้อความอยู่ตอนหนึ่งที่กล่าวถึงพระเจ้ามังระ ว่า “…ด้วยเหตุไม่เห็นชอบด้วยกับการขึ้นครองราชย์บัลลังก์ของพระเชษฐา พระองค์ต้องการเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเอง เพราะทรงมีพระทัย แน่วแน่ที่จะตีพระนครศรีอยุธยาให้จงได้…” แสดงว่าพระเจ้าเอกทัศ นั้นทราบเป็นอย่างดี แต่ยังคงมุ่งเน้นชุบเลี้ยงและเชื่อฟังขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งชอบทำตอแหล ประจบสอพลอที่ส่งมอบทรัพย์สินให้พระองค์เป็นประจำ เพื่อให้เป็นเสาค้ำอำนาจรัฐที่ผุๆ ให้กับพระองค์ ส่วนขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาตินั้นกลับไม่มีบทบาท เมื่อศึกพม่า บุกเข้ามาใกล้กรุงศรีอยุธยา เจ้าพระยาจักรีมุกดา จึงอดทนไม่ได้ ต้องอาสาออกศึก

สาเหตุที่ เจ้าพระยาจักรีมุกดา ขออาสานำกองทัพออกต่อสู้กับกองทัพพม่าด้วยตนเอง คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ..๒๓๐๘ ทั้งนี้เพราะขณะนั้น แม่ทัพเนเมียวสีหบดี เริ่มส่งหน่วยปฏิบัติการกองโจรเข้าก่อกวนกดขวัญประชาชนชาวไทย พระเจ้าเอกทัศ จึงรับสั่งให้พระยาเพชรบุรีตาล สามีหม่อมอั๋น นำกองทัพไปป้องกันกรุงศรีอยุธยา โดยมอบให้ลูกๆ ดูแลเมืองเพชรบุรี ซึ่งเป็นแผนลวง ของพระเจ้ามังระ เพื่อส่งกองทัพพม่าเข้ายึดเมืองมะริด และ เมืองตะนาววะสี อีกครั้งหนึ่ง โดยสามารถยึดเมืองทั้งสองได้สำเร็จ เป็นครั้งที่สาม ขณะนั้น ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ต้องหลบหนี ทิ้งเมืองไปอาศัยอยู่ที่เมืองจันทร์บูรณ์ ไปอาศัยกับ กรมหมื่นเทพพิพิธ(เจ้าฟ้าแขก) กองทัพพม่า จึงยกกองทัพผ่านด่านสิงขร มุ่งหน้าเข้าล้อมเมืองเพชรบุรี ในขณะที่ พระยาเพชรบุรีตาล ต้องส่งกองทัพไปช่วยปกป้องกรุงศรีอยุธยา เมืองเพชรบุรี จึงถูกกองทัพพม่า ตีแตกพ่าย อย่างง่ายดาย ลูกหลานของพระยาเพชรบุรีตาล พร้อมไพร่พล ได้อพยพไปอาศัยอยู่กับ หม่อมอั๋น และ หม่อมนกเอี้ยง ที่เมืองท่าชนะ

เมื่อพระเจ้าเอกทัศ ถูกกลลวงของพระเจ้ามังระ จนกระทั่งต้องเสียเมืองเพชรบุรี หลักฐานพงศาวดารคองบองกล่าวว่า วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ..๒๓๐๘ ซึ่งพ้นหน้าฤดูฝนแล้ว แม่ทัพมังมหานรธา ก็เคลื่อนกองทัพใหญ่ กำลังทหาร ๓๐,๐๐๐ คน ช้าง ๒๐๐ เชือก ม้า ๒,๐๐๐ ตัว ออกจากเมืองทวาย เตรียมเข้าปิดล้อมเมืองราชบุรี ของ พระยาราชบุรีทองด้วง ไว้ พระยาราชบุรีทองด้วง เห็นว่าเป็นทัพใหญ่ของพม่า จึงรายงานให้กรุงศรีอยุธยาทราบ และขอกำลังหนุน จึงเป็นที่มาให้เจ้าพระยาจักรีมุกดา อาสานำกองทัพไทยเข้าช่วยเมืองราชบุรี เจ้าพระยาจักรีมุกดา แสดงความสามารถในการทำสงครามกับกองทัพพม่า เกิดการสู้รบกับกองทัพพม่า อย่างดุเดือด ทหารพม่าถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก กองทัพมังมหานรธา ต้องล่าถอยกลับไป

ต่อมา แม่ทัพมังมหานรธา ได้เปลี่ยนแผนการรบใหม่ โดยส่งพระยาไชยารุก นอกราชการ ซึ่งเป็นเชลยศึกของพม่า และเป็นบุตรชายของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา ถือสารของแม่ทัพมังมหานรธา เดินทางมาติดต่อให้บิดา ยอมอ่อนน้อมต่อกองทัพพม่า โดยดี และจะได้เป็นใหญ่ เจ้าพระยาจักรีมุกดา โกรธมาก จึงขาดสติ ได้ทำการรบแบบบ้าบิ่น นำกองทัพออกติดตามบุตรชาย เพื่อเข้าไปจับกุมมาลงโทษ ในฐานะผู้ทรยศ ต่อชาติสยาม เป็นไปตามแผนการที่แม่ทัพมังมหานรธา วางแผนไว้ จึงถูกกองทัพพม่าวางแผนตีโอบล้อม ผลของสงครามครั้งนั้น เจ้าพระยาจักรีมุกดา ต้องอาวุธบาดเจ็บสาหัส และถึงแก่อนิจกรรม ในเวลาต่อมา กองทัพกรุงศรีอยุธยา ต้องถอยทัพกลับมาที่เมืองธนบุรี เมืองราชบุรี จึงถูกพม่ายึดครองไป อย่างง่ายดาย

 

นายบุญชู มอบตราพระยาจักรี ให้กับ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ

      หลังจากเจ้าพระยาจักรีมุกดา ถึงแก่อนิจกรรม พระเจ้าเอกทัศ ได้โปรดเกล้าแต่งตั้งให้ พระยายมราช บุญชู ผู้เป็นบุตรชายคนโตของเจ้าพระยาจักรีมุกดา ให้ดำรงตำแหน่งเป็น พระยาจักรีบุญชู ส่วนพระยาราชบังสันสิน ได้เลื่อนตำแหน่งเป็น พระยายมราชสิน เนื่องจาก นายบุญชู ดำรงตำแหน่งพระยาจักรี อยู่ได้ไม่กี่วัน ก็ถูกขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง กล่าวโทษว่า นายบุญชู ทิ้งราชการสงคราม จึงถูกลดตำแหน่ง ถูกไล่ให้กลับไปปกครองเมืองไชยา เป็น พระยาไชยาบุญชู อีกครั้งหนึ่ง

เมื่อนายบุญชู นำครอบครัว เดินทางกลับไปยังเมืองไชยา นายบุญชู ได้เดินทางมาพบกับ พระยายมราชสิน อีกครั้งหนึ่ง นายบุญชู พิจารณาเห็นว่า พระยายมราชสิน มีขีดความสามารถที่จะต้องดำรงตำแหน่ง พระยาจักรี ในอนาคต อย่างแน่นอน นายบุญชู จึงตัดสินใจ มอบตราพระยาจักรี ให้กับ พระยายมราชสิน เรื่องราวเหล่านี้คือคำบอกเล่าของ สายตระกูล เจ้าพระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู ซึ่งยังคงเก็บรักษาตราประจำตำแหน่ง พระยาจักรี ซึ่งทำด้วยงาช้าง ไว้ในวงตระกูลตนเอง สืบทอดมาถึงปัจจุบัน ผู้เขียนได้สืบสาวเรื่องเหล่านี้ เพื่อสรุปมาเสนอต่อท่านผู้อ่าน ดังนี้

      ตราประจำตำแหน่งพระยาจักรี นั้น ปัจจุบันได้เก็บรักษาอยู่กับ อดีตรองอธิบดีกรมหนึ่ง ซึ่งเป็นสายตระกูลของเจ้าพระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู ที่สมรสเกี่ยวดองกับสายตระกูลสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ซึ่งไม่ต้องการเปิดเผยนาม ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นว่า คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเมื่อประมาณต้นเดือนธันวาคม พ..๒๓๐๘ เมื่อเจ้าพระยาจักรีมุกดา บาดเจ็บสาหัสจากการทำสงครามต่อต้านพม่าที่เมืองราชบุรีนั้น นางบุญนอบ บุตรสาวคนโตของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา และเป็นภรรยาของพระยาจันทร์บูรณ์(บุญหลาน) ต้องการนำบิดาซึ่งบาดเจ็บสาหัสไปรักษาตัวที่เมืองจันทร์บูรณ์ แต่เมื่อเรือสำเภา แล่นมาถึงปากแม่น้ำแม่กลอง เจ้าพระยาจักรีมุกดา พิจารณาเห็นว่าจะต้องเสียชีวิตแน่ จึงสั่งเสียให้นางบุญนอบ มอบดาบคู่กาย และตราพระยาจักรี ให้กับพระยายมราชบุญชู ซึ่งเป็นบุตรชายผู้สืบสกุล และเมื่อเสียชีวิตให้นำศพไปฝังไว้ตามพิธีของศาสนาอิสลามที่ มัสยิดต้นสน เมืองธนบุรี แล้วก็ถึงแก่อนิจกรรม

 

ภาพที่-๑๖   ภาพมัสยิดต้นสน บางกอกใหญ่ เมืองธนบุรี ก่อนการบูรณะ บริเวณสุสาน แห่งนี้จะมีสุสาน หลุมฝังศพ ของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา(หมุด) ด้วย

 

เนื่องจาก นางบุญนอบ นับถือพุทธศาสนา จึงได้ติดต่อบุตรธิดา ต่างมารดา ของ เจ้าพระยาจักรีมุกดาที่นับถือศาสนาอิสลาม เพื่อให้นำศพไปทำพิธีกรรมทางศาสนาอิสลาม ฝังศพเจ้าพระยาจักรีมุกดา ไว้ที่มัสยิดต้นสน บางกอกใหญ่ เมืองธนบุรี แล้วนางบุญนอบ ก็นำดาบคู่กาย และตราประจำตำแหน่งพระยาจักรีมุกดา  เดินทางกลับไปเก็บรักษาไว้ที่เมืองจันทร์บูรณ์ ต่อมาพระยายมราชบุญชู ทราบเรื่อง จึงเดินทางไปรับดาบคู่กายของเจ้าพระยาจักรีมุกดา พร้อมกับตราประจำตำแหน่งพระยาจักรี ที่เมืองจันทร์บูรณ์ จึงถูกขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง กล่าวหาว่า ละทิ้งราชการสงคราม

ปัจจุบันหลุมฝังศพ ของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา ยังคงดำรงอยู่ โดยสายตระกูลเจ้าพระยาจักรีมุกดา ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม เช่น สกุลชลายลเดชะ สกุลเผ่ามะหะหมัด สกุลมานะจิตร และ สกุลสุเทพากร เป็นต้น หลุมฝังศพดังกล่าว ยังคงเป็นที่เคารพสักการะของผู้อยู่ในวงศ์สกุลมาจนถึงทุกวันนี้ แต่เนื่องจากต่อมามีการเข้าใจผิดว่า เป็นหลุมฝังศพของ เจ้าพระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู เนื่องจากการสันนิษฐานของนักประวัติศาสตร์อย่างเข้าใจผิด เพราะเมื่อสืบสาวราวเรื่องแล้ว แท้ที่จริงเป็นหลุมฝังศพของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา(หมุด) ผู้รับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ และพระพุทธยอดฟ้าฯ มาเป็นบุตรบุญธรรม และฝากฝังให้เป็นมหาดเล็กที่กรุงศรีอยุธยา ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ นั่นเอง

หลังจากการฝังศพเจ้าพระยาจักรีมุกดา ตามพิธีกรรมศาสนาอิสลาม ณ มัสยิดต้นสน แขวงบางกอกใหญ่ เมืองธนบุรีเสร็จเรียบร้อยแล้ว แม่ทัพมังมหานรธา ก็สามารถยึดเมืองราชบุรี ได้ หลักฐานพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา และพงศาวดารคองบอง กล่าวไว้มีเนื้อหาตรงกัน แต่แตกต่างกันในเรื่องของวันเวลาว่า แม่ทัพมังมหานรธา ได้ส่งกองทัพเข้ายึดเมืองเมืองสุพรรณบุรี และเมืองใกล้เคียงต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย  พร้อมกับได้ส่งหน่วยปฏิบัติการกองโจรทหารม้า และมอบให้ แม่ทัพเรือเมขะระโบ ส่งกองทัพเข้าก่อกวนเพื่อทำลายขวัญผู้รักษาเมืองต่างๆ ตามริมฝั่งแม่น้ำต่างๆ พร้อมกับส่งพระยาไชยารุก นอกราชการ เป็นราชทูตไปเจรจากับเจ้าเมืองต่างๆให้ยอมอ่อนน้อมแต่โดยดี

เมื่อพระเจ้าเอกทัศทราบว่า เจ้าพระยาจักรีมุกดา ถึงแก่อนิจกรรม จึงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ พระยายมราชบุญชู เป็น พระยาจักรีบุญชู และโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ พระยาราชบังสันสิน เป็น พระยายมราชสิน เป็นที่มาให้พระยาจักรีบุญชู ได้เดินทางไปพบกับ นางบุญนอบ ผู้เป็นพี่สาว ที่เมืองจันทร์บูรณ์ เพื่อขอดาบคู่กาย และ ตราประจำตำแหน่งพระยาจักรี ซึ่งเก็บรักษาไว้กับนางบุญนอบ ที่เมืองจันทร์บูรณ์ มาครอบครอง แล้วเดินทางกลับมาที่กรุงศรีอยุธยา ส่วนพระยายมราชสิน อดีตเจ้าเมืองธนบุรี ต้องไปรับราชการที่กรุงศรีอยุธยา พระเจ้าเอกทัศ ได้แต่งตั้งให้ พระยารัตนาธิเบศร์ เป็นพระยาราชบังสัน ปกครองเมืองธนบุรี แทนที่

แม่ทัพมังมหานรธา ได้ส่งหน่วยปฏิบัติการกองโจรทหารม้า และกองทหารเรือของ แม่ทัพเรือเมขะระโบ เข้ามาไล่ปล้นประชาชน สามารถปล้นมาถึงเมืองธนบุรี ซึ่งปกครองโดย พระยารัตนาธิเบศร์ สามารถเข้ายึดกองเรือบริเวณปากแม่น้ำแม่กลอง ปากแม่น้ำท่าจีน และ ปากแม่น้ำเจ้าพระยา จนกระทั่งสามารถยึดเมืองธนบุรี สำเร็จ เพราะพระยารัตนาธิเบศร์ ไม่ยอมต่อสู้กับกองทัพพม่า นำกองทหารจากเมืองนครราชสีมา ที่รักษาเมืองธนบุรี หนีกลับไปที่กรุงศรีอยุธยา เป็นเหตุให้พระยายมราชสิน ต้องนำกองทัพเข้าปราบปรามหน่วยปฏิบัติการกองโจร ของ แม่ทัพมังมหานรธา ที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป กองทัพเรือของ แม่ทัพเรือเมขะระโบ ได้ปะทะกับกองทัพของพระยาจักรีบุญชู ที่วัดเขมาภิรตาราม และสามารถบุกเข้าตีเมืองนนทบุรี แตกพ่าย หน่วยกองโจรพม่า จึงยกกองทัพมุ่งหน้าเข้าก่อกวนกรุงศรีอยุธยา

หลังจากเสียเมืองนนทบุรี พระยาจักรีบุญชู ได้ถูกขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ร้องทุกข์ใส่ความเท็จให้ปลดออกจากตำแหน่ง ข้อหาละทิ้งราชการทหาร นายบุญชู ถูกสอบสวนจึงถูกลดตำแหน่งเป็น พระยาไชยา เนื่องจากพระเจ้าเอกทัศ ทรงพิโรธ มาก จึงขับไล่ นายบุญชู ให้รีบเดินทางกลับไปอยู่ที่เมืองไชยา อย่ากลับมาให้พบเห็นหน้าอีก เป็นที่มาให้พระยาไชยาบุญชู มอบตราพระยาจักรี ให้กับ พระยายมราชสิน เก็บรักษาไว้ อ้างว่า อีกไม่นาน พระเจ้าเอกทัศ จะต้องแต่งตั้งพระยายมราชสิน ให้มีตำแหน่งเป็น พระยาจักรี อย่างแน่นอน แต่ผิดคาด เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้น พระเจ้าเอกทัศ กลับแต่งตั้งให้ พระยาเพชรบุรีตาล มีตำแหน่งข้ามขั้น กระโดดขึ้นเป็น พระยาจักรี แทนที่

 

พระยายมราชสินฯ เข้าตีกองทัพพม่า ณ สมรภูมิ วัดป่าแก้ว

ในขณะที่กองทัพใหญ่ของพม่า ยังมิได้ยกกองทัพเข้าปิดล้อมกรุงศรีอยุธยานั้น ได้เกิดความขัดแย้งในหมู่ขุนนางอำมาตย์ ในกรุงศรีอยุธยาครั้งใหญ่ เนื่องจาก พระเจ้ามังระได้วางแผนให้ พระยาไชยานอกราชการ(รุก) ติดต่อกับขุนนางอำมาตย์ ต่างๆ ในกรุงศรีอยุธยา ให้พระเจ้าเอกทัศ ยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้ามังระ โดยดีเพื่อมิให้ต้องเสียเลือดเนื้อ โดยยอมเป็นประเทศราชของพม่า เหมือนสมัยพระเจ้าบูเรงนอง ขุนนางอำมาตย์ ในกรุงศรีอยุธยาจึงแตกแยกออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งเห็นด้วยกับการยอมเป็นประเทศราชของพม่า กับฝ่ายขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติ ซึ่งต้องการให้ต่อสู้กับกองทัพพม่า ส่วนพระเจ้าเอกทัศ ในขณะนั้นทรงเห็นด้วยกับขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติ

เนื่องจากเมื่อพระเจ้าเอกทัศโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ พระยายมราชบุญชู ดำรงตำแหน่งพระยาจักรี ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ก็ถูกขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ร้องทุกข์กล่าวโทษ พระยาจักรีบุญชู จนกระทั่งถูก พระเจ้าเอกทัศ ลดตำแหน่งให้เป็นเพียง พระยาไชยา ตำแหน่งเจ้าเมืองไชยา แล้วโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ พระยาเพชรบุรีตาล สามีของหม่อมอั๋น เป็นพระยาจักรีตาล แทนที่ ขณะนั้นกองทัพใหญ่ของพม่ายังมิได้ปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา อย่างแท้จริง เป็นเพียงใช้สงครามกองโจร และกองทัพเรือของ แม่ทัพเรือเมขะระโบ เข้าปฏิบัติการก่อกวนเมืองรอบๆ กรุงศรีอยุธยา เท่านั้น

เมื่อพม่า สามารถส่งกองทัพเรือของ แม่ทัพเรือเมขะระโบ เข้ายึดป้อมวิชัยประสิทธิ์ เมืองธนบุรี และเมืองนนทบุรี ได้เป็นผลสำเร็จแล้ว นายหยุง แซ่ลิ้ม บิดาของ พระยายมราชสิน ได้หลบหนีไปอาศัยอยู่ที่คลองสวนพลู กรุงศรีอยุธยา ผลของสงครามครั้งนี้ทำให้กองทัพพม่าสามารถควบคุมเส้นทางเดินทัพทางลำน้ำเจ้าพระยาได้อย่างเด็ดขาด แม่ทัพมังมหานรธา สามารถนำกองทัพใหญ่ ๓๐,๐๐๐ คน (ข้อมูลพงศาวดารคองบอง) เดินทัพมุ่งเข้าปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา ทางทิศตะวันตก ทันที

เมื่อพระเจ้าเอกทัศทราบข่าว จึงรับสั่งให้ พระยาจักรีตาล เป็นแม่ทัพใหญ่นำกองทัพ ๕๐,๐๐๐ คน(ส่วนพงศาวดารคองบองระบุว่า ๖๐,๐๐๐ คน) ประกอบด้วย ๓ กองทัพ คือ กองทัพแรก เป็นกองทัพพระยาจักรีตาล เป็นกองทัพหน้า มีกำลังประมาณ ๒๒,๐๐๐ คน กองทัพที่สอง เป็นกองทัพของพระยายมราชสิน ทำหน้าที่เป็นกองหนุน มีกำลังทหารประมาณ ๒๐,๐๐๐ คน กองทัพที่สาม เป็นกองทัพของ พระยาคลัง มีกำลังทหารประมาณ ๘,๐๐๐ คน ทำหน้าที่เป็นกองกำลังรบ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ กองทัพทั้งสาม ประกอบด้วยกำลังกองทัพต่างๆ ดังนี้

 กองทัพที่-๑ คือ กองทัพพระยาจักรีตาล เป็นกองทัพหน้า ซึ่งมีกำลังทหารประมาณ ๒๒,๐๐๐ คน ประกอบด้วยกองทัพต่างๆ ๕ กองทัพ คือ กองทัพของ พระยาจักรีตาล ขุนสุรินทรสงคราม ขุนฟองพินิจ ขุนอนุรักษ์มนตรี และ กองทัพของพระยากาญจนบุรี เคลื่อนทัพทั้งโดยทางบก และทางเรือ ขุนนางคนหนึ่งจะคุมเรือ ๒๐ ลำ รวมเรือรบ ๑๐๐ ลำ มีปืนใหญ่ตั้งอยู่ที่หัวเรือลำละหนึ่งกระบอก ปืนขานกยาง ๒ กระบอก มีช้าง ๑๐๐ เชือก มีปืนใหญ่ติดตั้งกับรถบรรทุก ๕๐๐ กระบอก เดินทัพไปตั้งอยู่ที่ บ้านสีกุก

กองทัพที่-๒ คือ กองทัพพระยายมราชสิน เป็นกองหนุน คุมกองทัพ ๒๐,๐๐๐ คน ประกอบด้วย ๘ กองทัพ คือ กองทัพพระยายมราชสิน พระอภัยสุรินทร์ พระพิเรนทรราชา พระพิเรนทร พระพิเรนทรเทพ พระพลภักดี พระอินทรอภัย และกองทัพของ หลวงกระ ประกอบด้วยเรือ ๘๐๐ ลำ เรือลำหนึ่งมีปืนใหญ่จำนวน ๓ กระบอก มีช้าง ๔๐๐ เชือก ช้างจำนวนหนึ่ง มีทหารฝรั่งเป็นพลประจำปืนที่ตั้งอยู่บนหลังช้าง ทุกกระบอก พระยายมราชสิน ได้ยกทัพเข้าไปตั้งค่ายที่บ้านสีกุก

กองทัพที่-๓ คือ กองทัพเจ้าพระยาคลัง เป็นกองหลัง มีกำลังทหารประมาณ ๘,๐๐๐ คน ทำหน้าที่เป็นกองหลัง ประกอบด้วย ๘ กองทัพ คือ กองทัพพระยาคลัง พระยาอินทรเทพ พระราชรองเมือง หมื่นเทพทวาร ขุนงำเมือง ขุนธรรมรง พระยาตะนาวสี พระยาไชยา กองทัพหนึ่งมีทหาร ๑,๐๐๐ คน ใช้เรือทั้งหมด ๑๖๐ ลำ แต่ละกองทัพมีเรือ ๒๐ ลำ เรือลำหนึ่งมีปืน ๓ กระบอก ปืนขานกยาง ๓ กระบอก

แม่ทัพมังมหานรธา วางแผนส่งกองทัพ ๓๐,๐๐๐ คน เข้าโจมตีกองทัพ ๕๐,๐๐๐ คน ของ พระยาจักรีตาล ที่ชานเมืองสีกุก มีการสู้รบกันถึงขั้นตะลุมบอน กองทัพพระยาจักรีตาล ทราบว่าแผนการรบของกรุงศรีอยุธยา รั่วไหล เพราะขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง แอบส่งความลับแผนการรบให้กับ พระยาไชยารุก นอกราชการ และ พระยาสุพรรณบุรี นอกราชการ ที่ทรยศไปขายชาติให้กับพม่า พระยาจักรีตาล จึงสั่งให้ถอยทัพมาตั้งทัพอยู่ที่ บ้านกานี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ของ กรุงศรีอยุธยา ก็ถูกกองทัพพม่าตามตี รบกันอยู่หลายวัน พระยาจักรีตาล ต้องสั่งถอยทัพมาตั้งอยู่ในทุ่งนา บริเวณเจดีย์ภูเขาทอง

แม่ทัพมังมหานรธา วางแผนใช้พระยาสุพรรณบุรี ซึ่งได้ถือน้ำสาบานรับใช้พม่า คุมกองทัพมาส่งสารให้แก่ พระยาจักรีตาล ให้ยอมสวามิภักดิ์ ต่อพม่า โดยดี เป็นแผนการเดียวกับที่ทำกับ เจ้าพระยาจักรีมุกดา สำเร็จมาแล้วที่สมรภูมิ เมืองราชบุรี ทำให้ขุนนางฝ่ายรักชาติ โกรธแค้นพระยาสุพรรณบุรี มาก พระยาจักรีตาล จึงคุมช้างศึก ๔๐๐ เชือก บุกตะลุยข้าศึกพม่า อย่างห้าวหาญ สามารถยิงพระยาสุพรรณบุรี ผู้ทรยศต่อชนชาติไทย ตายในที่รบ กองทัพพม่าจึงแตกพ่ายไม่เป็นขบวน ในช่วงนี้เองที่กองทัพของ พระยาจักรีตาล และกองทัพของ พระยายมราชสิน สามารถทำลายข้าศึกพม่าได้เป็นจำนวนมาก แม่ทัพมังมหานรธา ต้องเข้ามาบัญชาการรบด้วยตนเอง และเริ่มโจมตีกองทัพกรุงศรีอยุธยา ที่บัญชาการรบโดย พระยาจักรีตาล ในที่สุดแม่ทัพมังมหานรธา ต้องสั่งให้กองทัพพม่า ถอยมาตั้งหลักที่ วัดเกาะแก้ว และ วัดป่าแก้ว©-๔

 พงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขาบันทึกว่า “…พระยาเพชรบุรี(เรือง) เป็นกองหน้า จึงให้แจวเรือในกองตนเอง ๕ ลำ เข้าตีเรือรบพม่า และเรือพวกรามัญนั้นมาก ก็เข้าล้อมกองเรือพระยาเพชรบุรี(เรือง) เข้าไว้ ได้รบกันเป็นสามารถ และพลทัพไทยกับพลพม่ารามัญฆ่าฟันกันตายลงทั้งสองฝ่าย กองพระยากำแพงเพชร(สิน) และ หลวงศรนี จอดรอดูเสีย หาเข้าช่วยอุดหนุนกันไม่ พม่าเอาหม้อดินดำติดเพลิงทิ้งลงในเรือ พระยาเพชรบุรี(เรือง) ดินลวกเอาไพร่พลป่วย โดดลงน้ำ พม่าได้ทีก็ฟันแทงไทยในเรือ ในน้ำตายเป็นอันมาก จับตัวพระยาเพชรบุรี(เรือง)ได้ อยู่ยงคงฟันแทงไม่เข้า จึงเอาไม้หลาวเสียบแทงทวารหนักถึงแก่ความตาย©-

ส่วนพงศาวดารฉบับบริติชมิวเซี่ยม และพงศาวดารคองบอง กล่าวตรงกันว่า พม่ามีกำลังมากกว่า จึงเข้าล้อมเรือ พระยาเพชรบุรี(เรือง) ไว้ แล้วยกหม้อดินดำทิ้งลงในเรือของ พระยาจักรีตาล ดินดำระเบิดกัมปนาท เสียงดังหวาดไหว เรือแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พระยาจักรีตาล ตายในที่รบ

ส่วนการถ่ายทอดเรื่องราวการเสียชีวิต ของ พระยาจักรีตาล สามีของ หม่อมอั๋น นั้น ได้มีการถ่ายทอดเล่าต่อๆ กันมาว่า แม่ทัพมังมหานรธา วางแผนให้ พระยาไชยารุก นอกราชการ นำกองเรือเข้ามาล่อเสนอให้ พระยาจักรีตาล ยอมสวามิภักดิ์ ต่อพม่า เป็นที่มาให้พระยาจักรีตาล โกรธมาก จึงออกไปไล่ล่า พระยาไชยารุก นอกราชการ โดยที่พระยายมราชสิน ห้ามปรามไว้ไม่ทัน พระยาจักรีตาล จึงตกอยู่ในวงล้อม ตามแผนการรบ ของ แม่ทัพมังมหานรธา จึงถูกระเบิด โยนเข้าใส่เรือของพระยาจักรีตาล เสียชีวิต กองทัพไทยจึงเสียขวัญมาก ต้องถอยทัพ กองทัพพม่า จึงนำทหาร ๓๐,๐๐๐ คน เริ่มเข้าปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา เป็นผลสำเร็จ

ส่วนหลักฐานพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขาที่กล่าวถึง พระยาเพชรบุรีเรือง พร้อมๆกับ พระยาเพชรบุรีตาล กลายเป็นมีพระยาเพชรบุรี ในเวลาเดียวกันถึงสองท่าน ผู้ศึกษาพระราชพงศาวดารก็จะ งุนงง แท้ที่จริงแล้ว พระยาเพชรบุรีเรือง นั้นคือบุตรชายคนที่สอง ของพระยาจักรีตาล เพราะบุตรชายคนโตที่ชื่อ รุ่ง ได้นำไพร่พลหลบหนีไปอาศัยอยู่กับ หม่อมอั๋น ที่แขวงเมืองท่าชนะ มาก่อนหน้านี้แล้ว

      พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ที่เขียนปรุงแต่งขึ้นมาภายหลัง มักจะกล่าวถึง สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในนามของ พระยากำแพงเพชร(สิน) ล้วนขัดแย้งกับหลักฐานจดหมายเหตุรายวันทัพ และหลักฐานอื่นๆ การที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นแม่ทัพควบคุมกำลังทหารถึง ๒๐,๐๐๐ คน มีกองเรือรบถึง ๘๐๐ ลำ ช้าง ๔๐๐ เชือก มีทหารฝรั่งเป็นพลปืนอยู่ด้วย แสดงว่าตำแหน่งของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในขณะนั้นคงมิใช่มีตำแหน่ง พระยากำแพงเพชร(สิน) ที่แท้จริงแล้วคือตำแหน่ง พระยายมราช แน่นอน

 

กองพันทหารม้าพระยาตากสินเข้าตีพม่าที่ ป้อมวิชัยประสิทธิ์ เมืองธนบุรี

มีเรื่องเล่ากันว่า พระเจ้าเอกทัศรับสั่งให้ พระยายมราชสิน เข้าเฝ้าหลังจาก พระยาจักรีตาล ถึงแก่อนิจกรรมในที่รบ โดยรับสั่งให้ พระยายมราชสิน นำกองทัพเข้าตีป้อมวิชัยประสิทธิ์ ณ เมืองธนบุรี ที่กองทัพพม่ายึดครองไป เพื่อพิสูจน์ฝีมือ และท้าทายว่าถ้าสามารถเข้าตีกองทัพพม่าที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์แตกพ่าย และถ้าสามารถยึดป้อมกลับคืนมาได้ จะโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็น พระยาจักรี ผลของการรบปรากฏว่า พระยายมราชสิน สามารถเข้ายึดป้อมวิชัยประสิทธิ์ได้สำเร็จ จึงเป็นที่มาให้พระยายมราชสิน ได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งเป็น พระยาจักรี ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ถูกข้อหากบฏ หวิดถูกนำไปประหารชีวิต

      เมื่อย้อนเหตุการณ์ไปก่อนหน้านี้ เมื่อพระเจ้าเอกทัศโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ พระยาราชบังสันสิน แม่ทัพเรือ ผู้ปกครองเมืองธนบุรีเป็น พระยายมราชสิน นั้น พระเจ้าเอกทัศน์ ก็ได้โปรดเกล้าแต่งตั้งให้ พระยารัตนาธิเบศร์ ขุนนางอำมาทชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวงไปเป็น พระยาราชบังสัน เจ้าเมืองธนบุรี แทนที่ ต่อมา พระยารัตนาธิเบศร์ ซึ่งไม่เชี่ยวชาญการรบทางเรือ ก็นำไพร่พลจากเมืองนครราชสีมา เข้ามารักษาเมืองธนบุรี และป้อมวิชัยประสิทธิ์ เป็นเหตุให้ พระยายมราชสิน ต้องส่ง หม่อมสอน ภรรยาคนที่สอง พร้อมบุตรธิดา เดินทางไปอยู่อาศัยที่เมืองชุมพร ส่วนขุนพัฒน์ บิดาของพระยายมราชสิน ได้โยกย้ายไปอาศัยอยู่ที่คลองสวนพลู กรุงศรีอยุธยา หลังจากนั้น พระยายมราชสิน ก็ต้องไปรับราชการที่กรุงศรีอยุธยา ขณะนั้นภิกษุพระเจ้าอุทุมพร ถูกทหารพระเจ้าเอกทัศ รับสั่งให้ควบคุมตัวโยกย้ายมาประทับอยู่ในพระราชวังหลวง ขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติก็พยายามหาโอกาสยึดอำนาจกลับคืนให้กับพระเจ้าอุทุมพร แต่ยังไม่มีโอกาสทำการ เพราะเป็นห่วงในความปลอดภัยของพระเจ้าอุทุมพรที่กำลังถูกทหารควบคุมตัว

ส่วนแม่ทัพมังมหานรธา ได้สรุปบทเรียนจากการยกกองทัพเข้าปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก เมื่อปี พ..๒๓๐๒-๒๓๐๓ ซึ่งไม่สามารถควบคุมเส้นทางลำน้ำได้ ในขณะที่มีการรบที่ บ้านสีกุก นั้น แม่ทัพมังมหานรธา ได้มอบให้ แม่ทัพเรือเมขะระโบ นำกองทัพเรือ และกองทัพม้าเข้าปล้นสะดมเรือต่างๆ ของราชอาณาจักรเสียม-หลอ ตลอดลำน้ำแม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำท่าจีน และ แม่น้ำเจ้าพระยา จนกระทั่งสามารถส่งทหารเข้าตีป้อมวิชัยประสิทธิ์ และเข้ายึดเมืองธนบุรี ที่พระยารัตนาธิเบศร์ ปกครองอยู่ สำเร็จอย่างง่ายดาย

กองทัพพม่ายังส่งกองทหารเข้ายึดเมืองนนทบุรี และควบคุมลำน้ำเจ้าพระยาได้สำเร็จจนถึงกรุงศรีอยุธยา ส่วนแม่ทัพมังมหานรธาก็สามารถส่งกองทัพเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา ทางทิศตะวันตก จนสำเร็จ ต่อมาพระยาจักรีตาล ต้องเสียชีวิตในที่รบ กรุงศรีอยุธยา จึงถูกปิดล้อมทุกด้าน พระเจ้าเอกทัศ จึงเสียขวัญมาก ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวงก็พยายามก่อกระแสให้พระเจ้าเอกทัศ เจรจากับพม่า ยินยอมเป็นประเทศราชของพม่า ตามข้อเสนอของพระยาไชยารุก นอกราชการ

ในขณะที่ พระยายมราชสิน ควบคุมกองพันทหารม้าพระยาตาก อยู่ที่วัดเกาะแก้ว นั้น พระเจ้าเอกทัศได้เรียกเข้าเฝ้า และได้ตรัสสรุปความว่า “…ได้รับคำเล่าลือว่า พระเจ้าบรมโกศ และ พระเจ้าอุทุมพร ทรงโปรดปรานพระยายมราชสิน มาก เพราะได้เคยแสดงฝีมือในการเข้าตีป้อมวิชัยประสิทธิ์ จนแตกพ่าย ในสมัยที่มาเป็นมหาดเล็กใหม่ๆ จึงอยากให้พระยายมราชสิน แสดงฝีมือให้เราเห็นให้เป็นที่โปรดปรานบ้าง จึงให้นำกำลังทหารเข้ายึดป้อมวิชัยประสิทธิ์ กลับคืนจากการครอบครองของพม่า ถ้าทำการสำเร็จ จะแต่งตั้งให้เป็นพระยาจักรี…” เรื่องราวเหล่านี้คือที่มาให้ พระยายมราชสิน ได้เคยดำรงตำแหน่ง พระยาจักรีสิน เพียงระยะเวลาสั้นๆ แล้วถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ เป็นคนเผาบ้านเผาเมือง หวิดถูกนำไปประหารชีวิต

พระยายมราชสิน ได้นำกองพันทหารม้าพระยาตากสิน ใช้ปืนลูกซองยาว และปืนกลลูกซองตับ ที่ผลิตขึ้นเอง เข้าโจมตีกองทัพ ของ แม่ทัพเรือเมขะระโบ ที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ เพื่อควบคุมเส้นทางเดินทางตามลำน้ำเจ้าพระยา จนสำเร็จ สามารถยึดป้อมวิชัยประสิทธิ์กลับคืนจากกองทัพพม่าได้ ในเรื่องนี้หลักฐานประวัติศาสตร์พม่า กล่าวว่า พระเจ้าเอกทัศน์ มอบให้พระยาตากสิน นำกองทัพเข้าตีค่ายพม่าจนแตก ทำให้นักประวัติศาสตร์ไทย สันนิษฐานกันว่า น่าจะเป็นการโจมตีของ พระยาตากสิน ที่ค่ายวัดโปรดสัตว์©-๖

ส่วนพงศาวดารคองบองบันทึกไว้โดยไม่ระบุวันเดือนปี ของการเข้าตี แต่มีเนื้อหาสรุปว่า พระเจ้าเอกทัศโปรดเกล้าให้ พระยาตากสิน นำกองทหารออกไปตีค่ายพม่าครั้งหนึ่งโดยไม่ระบุชื่อค่าย โดยพระยาตากสิน สามารถตีค่าย และสามารถยึดค่ายทหารพม่าสำเร็จ แต่เมื่อแม่ทัพมังมหานรธา ส่งทหารมาเพิ่มเติม พระยาตากสิน จึงต้องถอยทัพกลับไป

      เมื่อ พระยายมราชสิน นำกองพันทหารม้าพระยาตากสิน ถอยทัพกลับมายังกรุงศรีอยุธยา ก็ได้รับการโปรดเกล้าจาก พระเจ้าเอกทัศ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง พระยาจักรี ทำให้ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งต้องการให้พระเจ้าเอกทัศ ยุติการต่อสู้ โดยยอมรับการเป็นประเทศเมืองขึ้นของพม่า ไม่พอใจมาก จึงมีการสร้างสถานการณ์ใส่ความเท็จว่า พระยาจักรีสิน เป็นผู้เผาบ้านเผาเมือง และเป็นกบฏ

 

พระยาจักรีสิน ถูกใส่ความว่า เป็นผู้เผาบ้านเผาเมือง เป็นกบฏ

      เรื่องราวที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เคยมีตำแหน่งเป็นพระยาจักรี และถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ เป็นผู้เผาบ้านเผาเมือง นั้นไม่พบเห็นการบันทึกไว้ในเอกสารใดๆ มีแต่การเล่าสืบทอดต่อๆ กันมาในสายตระกูลเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์บุญชู สายตระกูลเจ้าพระยาโกษาธิบดีหยางจิ้งจุง และสายราชสกุลสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เท่านั้น โดยเฉพาะสายสกุลสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้สร้างเงินพดด้วง มีรูปจักร และ รูปกรี(สามง่าม) ขึ้นใช้เมื่อขึ้นครองราชย์สมบัติเป็น สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เพื่อสื่อความหมายว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เคยดำรงตำแหน่งเป็นพระยาจักรี มาก่อน มีเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดข้อมูลต่างๆ มีเรื่องราวโดยสรุปดังนี้

      เมื่อขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ทราบข่าวว่า พระยายมราชสิน ได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่ง พระยาจักรี นั้น คาดกันว่าจะต้องมีกำลังทหารมาเพิ่มเติมอีกมาก ขณะเดียวกัน กำลังทหารของขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวงบางส่วน จะต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชา ของ พระยาจักรีสิน ซึ่งจะต้องมีอิทธิพลมากขึ้น และเกรงว่า พระยาจักรีสิน จะนำกำลังทหารเข้ายึดครองอำนาจของพระเจ้าเอกทัศ เพื่อส่งมอบราชสมบัติให้กับเจ้าฟ้าอุทมพร จะทำให้ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวงต้องได้รับความเดือดร้อนในอนาคตอย่างแน่นอน ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง จึงได้สุมหัวกัน วางแผนเผาเมือง เพื่อทำตอแหล ใส่ความเท็จพระยาจักรีสิน และกล่าวหาว่า เป็นผู้เผาบ้านเผาเมือง และเป็นกบฏ

      กลุ่มขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ได้ส่งทหารของพรรคพวกตนเอง ลอบเข้าเผาบ้านเรือนหลายจุดในกรุงศรีอยุธยา ทั้งหมดประมาณ ๑๐,๐๐๐ หลังคาเรือน เมื่อเผาเมืองเสร็จแล้ว ก็แสร้งปล่อยข่าว สร้างข่าวตอแหล ออกสู่หูของ ขุนนางอำมาตย์ นางสนมกรมวัง และประชาชน หลังจากนั้นก็ขอเข้าเฝ้าพระเจ้าเอกทัศ กล่าวหาว่า พระยาจักรีสิน ทำการเผาเมืองกรุงศรีอยุธยา เพื่อการกบฏ

ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งทำหน้าที่รักษาพระราชวังหลวงอยู่นั้น ได้แสร้งออกไปทำการช่วยดับไฟ อ้างว่าเป็นคำสั่ง ของ พระยาจักรีสิน เป็นแผนการที่ทำให้ไม่มีกำลังทหารรักษาพระองค์ คอยให้ความคุ้มครองความปลอดภัยให้กับพระเจ้าเอกทัศ และกล่าวหาว่า กำลังทหารของพระยาจักรีสิน ได้วางแผนเคลื่อนกำลังทหารเข้ายึดอำนาจพระเจ้าเอกทัศ เพื่อส่งมอบราชสมบัติให้กับพระเจ้าอุทุมพร แต่พระยาจักรีสิน ทำการไม่สำเร็จ เพราะพวกขุนนางอำมาตย์ ที่จงรักษ์ภักดีต่อพระเจ้าเอกทัศ ทำการขัดขวางเสียก่อน เป็นเหตุให้พระเจ้าเอกทัศ ทรงกริ้วมาก รับสั่งให้ปลดพระยาจักรีสิน ออกจากราชการ และรับสั่งให้ทหารเข้าจับกุมตัวไปประหารชีวิต ทันที

เมื่อพระยาจักรีสิน ทราบเรื่องว่าถูกใส่ความเท็จ ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้เผาบ้านเผาเมือง จะต้องถูกจับกุมไปประหารชีวิต จึงต้องตัดสินใจรวบรวมไพร่พลเท่าที่สามารถรวบรวมได้ในขณะนั้น ยกกองทัพออกจากค่ายวัดพิชัย มีเป้าหมายเดินทางไปยังเมืองบางละมุง ซึ่งนายบุญเมือง ลูกน้องเก่า เป็นเจ้าเมือง

นักประวัติศาสตร์สงสัยกันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงในปี พ..๒๓๐๙ หรือปี พ..๒๓๑๐ กันแน่ ทั้งนี้เพราะประเด็นดังกล่าว เป็นประเด็นสำคัญมากในการวิเคราะห์เหตุการณ์ เพื่อสร้างความเข้าใจถึงเหตุการณ์การทำสงครามกอบกู้เอกราชชาติไทยของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในเวลาต่อมา เป็นอย่างมาก

      หลักฐานพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขาบันทึกไว้ว่า “…ครั้น ณ วันเสาร์ ขึ้น ๔ ค่ำ  เดือนยี่ ปีจอ อัฐศก ศักราช ๑๑๒๘(ตรงกับวันเสาร์ที่ ๓ มกราคม พ..๒๓๐๙) เพลาดึกเที่ยงคืน เกิดเพลิงขึ้นในพระนคร ไหม้ตั้งแต่ท่าทราย ติดลามมาถึงสะพานช้าง คลองข้าวเปลือก แล้วข้ามมาติดป่ามะพร้าวและป่าโทน ป่าถ่าน ป่าทอง ป่ายา วัดราชบูรณะ วัดพระศรีมหาธาตุ เพลิงไปหยุดอยู่เพียงวัดฉัททันต์ ติดกุฏิวิหาร และบ้านเรือนที่เพลิงไหม้ครั้งนั้นมากกว่าหมื่นหลัง ในเมื่อเวลากลางวัน วันนั้น ฝ่ายพระยากำแพงเพชร(สิน) ซึ่งตั้งค่ายอยู่ ณ วัดพิชัย จึงชุมนุมพรรคพวกพลทหารไทยจีนประมาณพันหนึ่ง สรรพด้วยเครื่องสรรพาวุธ กับทั้งนายทหารผู้ใหญ่ คือพระเชียงเงิน หนึ่ง หลวงพรหมเสนา หนึ่ง หลวงพิชัยอาสา หนึ่ง ขุนอภัยภักดี หนึ่ง เป็นห้านาย กับขุนหมื่นผู้น้อยอีกหลายคน จัดแจงยกทัพหนีไปทางตะวันออก แต่หลวงศรเสนี นั้นหาไปด้วยไม่ พาพรรคพวกหนีไปอื่น พอฝนห่าใหญ่ตกเป็นชัยมงคลฤกษ์ พระยากำแพงเพชร(สิน) ก็ยกกองทัพออกจากค่ายวัดพิชัย…”©-

      หลักฐานพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขานั้น ระบุหลักฐานชัดเจนว่าเป็นเหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ ๓ มกราคม พ..๒๓๐๙ ซึ่งเป็น ปีจอ และยังระบุว่า “…กองทัพพม่าสามารถเข้ายึดกรุงศรีอยุธยาได้เมื่อลุศักราช ๑๑๒๙ ปีกุน ณ วันอังคาร ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ (ตรงกับวันที่ ๗ เมษายน พ..๒๓๑๐)…

เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่ห่างกันประมาณ ๑ ปี กับ ๔ เดือน ทำให้นักประวัติศาสตร์บางกลุ่มสันนิษฐานว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ น่าจะยกกองทัพออกจากค่ายพิชัยเมื่อวันที่ ๓ มกราคม พ..๒๓๑๐ ทั้งนี้เพราะการเรียงลำลับเหตุการณ์ตามพระราชพงศาดารฉบับพระราชหัตเลขา ได้เรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ยกกองทัพออกจากค่ายพิชัย โดยสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นเหตุการณ์หลังจากที่ แม่ทัพมังมหานรธา ได้เสียชีวิตแล้ว

ส่วนนักประวัติศาสตร์อีกค่ายหนึ่ง ได้นำหลักฐานต่างๆ มาเปรียบเทียบ จึงสันนิษฐานว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ น่าจะยกกองทัพออกจากค่ายพิชัย จริง เมื่อวันที่ ๓ มกราคม พ..๒๓๐๙ แต่กลับพบว่า เรื่องราวการกอบกู้เอกราชของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ หายไปหนึ่งปีกับสี่เดือน ได้อย่างไร จึงเป็นความดำมืดทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ อีกประเด็นหนึ่ง มาจนถึงปัจจุบัน

      พระยาจักรีสิน ได้นำไพร่พลหลบหนีการถูกประหารชีวิต วางแผนเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองท่าชนะ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นส้องสุมกำลังอย่างลับๆ อยู่ในขณะนั้น จึงต้องเดินทางโดยเรือสำเภา เป็นเหตุให้ พระยาจักรีสิน นำไพร่พลมุ่งหน้าสู่เมืองบางละมุง ทั้งนี้เพราะ นายบุญเมือง เป็นบุตรชายคนหนึ่งของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา และเป็นน้องชายร่วมมารดากับ นายบุญชู อีกด้วย นายบุญเมือง เคยเป็นลูกน้องเก่า เป็นทหารอยู่ในกองพันทหารม้าพระยาตากสิน มาก่อน ต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองเมืองบางละมุง ซึ่งจะสามารถจัดหาเรือสำเภาที่เมืองบางละมุง เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองท่าชนะ ได้อย่างรวดเร็ว

 

 

เชิงอรรถ



©-  กรมศิลปากร พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม-๒ พ.ศ.๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๓๙

 

©-  กรมศิลปากร พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม-๒ พ.ศ.๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๓๙

 

©-   กรมศิลปากร พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม-๒ พ.ศ.๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๓๙

 

©-  พลตรีจรรยา ประชิตโรมรัน การเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๐ สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่-๓ พ.ศ.๒๕๓๗ หน้าที่ ๘๓-๘๔

 

©- กรมศิลปากร พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม-๒ พ.ศ.๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๔๘

จะสังเกตเห็นว่า พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา จะเรียกพระนามสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ว่า พระยากำแพงเพชร(สิน) มักจะลดตำแหน่งลงมา แต่มักจะเลื่อนตำแหน่งให้กับ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ จนเกินจริง และมักจะขัดแย้งกับหลักฐานขั้นต้น เช่น จดหมายเหตุรายวันทัพ เป็นต้น แท้ที่จริงในขณะนั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้เลื่อนตำแหน่งจาก พระยาราชบังสันสิน ผู้ปกครองเมืองธนบุรี ไปเป็นพระยายมราช ว่าราชการในกรมเวียง ที่กรุงศรีอยุธยา หลังจากที่ เจ้าพระยาจักรีมุกดา ถึงแก่อนิจกรรม มีพระยาราชบังสัน ผู้ปกครองเมืองธนบุรี คนใหม่ คือ พระยารัตนาธิเบศร์ โยกย้ายมาจากเมืองนครราชสีมา เรียบร้อยแล้ว กองทัพพม่าจึงสามารถเข้ายึดเมืองธนบุรี ได้โดยง่าย และสามารถเคลื่อนทัพเข้าปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา ทางทิศตะวันตก ได้อย่างรวดเร็ว

 

©-   พลตรีจรรยา ประชิตโรมรัน การเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๐ สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่-๓ พ.ศ.๒๕๓๗ หน้าที่ ๑๐๔-๑๐๕

 

©- กรมศิลปากร พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม-๒ พ.ศ.๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๔๙

       หลักฐานพงศาวดารหลายฉบับ ขัดแย้งกันเอง บางฉบับกล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ นำไพร่พล ๑,๐๐๐ คน ออกจากค่ายวัดพิชัย บางฉบับกล่าวว่า นำไพร่พลเพียง ๕๐๐ คน ออกจากค่ายวัดพิชัย สาเหตุที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ต้องนำกองทัพ ออกจากกรุงศรีอยุธยา นั้นก็ขัดแย้งกันเอง ข้อมูลที่ปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลังมักจะกล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เบื่อหน่ายที่สาวสนมกรมวัง หนวกหูเสียงปืนใหญ่ ทั้งๆ ที่ในขณะนั้น กองทัพพม่าที่ปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา มีกำลังไม่มาก มีเพียงประมาณ ๓๐,๐๐๐ คน เท่านั้น

       สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เคยถ่ายทอดเรื่องราวให้ลูกหลานรับฟังว่า แท้ที่จริงแล้ว พระเจ้าเอกทัศ เป็นคนรักชาติ แต่ที่เสียคนเพราะเชื่อฟังขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ดังนั้นเมื่อพระองค์ ได้รับโปรดเกล้าให้เป็น พระยาจักรีสิน ก็ได้เสนอให้ปรับปรุงกองทัพใหม่ โดยให้ลดบทบาท ของ ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ออกไป ก็จะสามารถทำสงครามต่อสู้กับกองทัพพม่า ได้ไม่ยาก เพราะขณะนั้น พม่ายังมิได้ส่งกองทัพจำนวนมากเข้าปิดล้อม กรุงศรีอยุธยา แต่เนื่องจากข่าวการเสนอให้ปรับปรุงกองทัพใหม่ รั่วไหลเข้าสู่หูของ ขุนนางอำมาตย์ชั่ว พระองค์จึงถูกสร้างสถานการณ์ เพื่อใส่ความเท็จ ถูกกล่าวหาจากขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ว่า เป็นผู้เผาบ้านเผาเมือง เป็นกบฏ และถูกสั่งให้นำไปประหารชีวิต เมื่อไม่สามารถจับกุมพระยาจักรีสิน ไปประหารชีวิตได้ ฝ่ายขุนนางอำมาตย์ชั่ว จึงเข้าจับกุม ขุนพัฒน์(นายหยุง แซ่ลิ้ม) บิดา และ มารดาเลี้ยง ไปประหารชีวิต แทนที่

 

 


 

 

 

                                                      บทที่-๘

พระยาจักรีสิน สร้างกองทัพกู้ชาติ ที่เมืองท่าชนะ

 

กองทัพพม่าเข็ดขยาด กองพันทหารม้าพระยาตากสิน

เมื่อพระยาจักรีสิน ถูกใส่ความว่าเป็นผู้เผาบ้านเผาเมือง และเป็นกบฏ เป็นเหตุให้ พระเจ้าเอกทัศ รับสั่งให้จับกุมไปประหารชีวิต เมื่อพระยาจักรีสิน ทราบข่าวจึงต้องตัดสินใจหลบหนี พระยาจักรีสิน ได้นำทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน เดินทางออกจากค่ายวัดพิชัย ในเวลากลางวัน หลังจากฝนห่าใหญ่ตกเป็นชัยมงคลฤกษ์ ของ วันที่ ๓ มกราคม พ..๒๓๐๙ ขณะนั้นกองทัพของแม่ทัพมังมหานรธา เพิ่งส่งกองทัพ ๓๐,๐๐๐ คน เข้าปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา ทางทิศตะวันตก เท่านั้น แต่กองทัพพม่า สามารถควบคุมเส้นทางคมนาคม ทางแม่น้ำ ลำคลอง ได้หมดสิ้นแล้ว พระยาจักรีสิน ไม่สามารถเดินทางโดยทางเรือได้ จึงตัดสินใจเดินทางโดยทางบก มุ่งหน้าสู่เมืองบางละมุง เพื่อจัดหาเรือสำเภา เดินทางสู่เมืองท่าชนะ ฐานที่มั่นลับ ของ พระยาจักรีสิน มีขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติ ที่สำคัญที่ร่วมเดินทางไปด้วยกับ พระยาจักรีสิน มีดังนี้

พระเชียงเงิน ต่อมาได้เป็น พระเชียงเงินท้ายน้ำ และเป็น พระยาสุโขทัย ในสมัยกรุงธนบุรี

       หลวงพรหมเสนา เป็นทหารจีนตระกูลหยาง เป็นน้องชายของ หยางจิ้งจุง เคยเป็นพระยาพิพัฒน์โกษา กรมพระคลัง ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี ได้ช่วยงาน ท้องพระคลังหลวง และเป็น ราชทูต

หลวงพิชัยราชา(บุญชัย) เป็นบุตรชายคนหนึ่ง ของ หม่อมอั๋น กับ พระยาจักรีตาล ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี ได้เป็น เจ้าพระยาพิชัยราชา(บุญชัย) ครองเมืองสวรรค์โลก

นายทองดี หรือ หลวงพิชัยอาสา(จ้อย) มีนามเดิมว่า นายจ้อย หรือ นายทองดี เป็นทหารรักษาความปลอดภัยให้กับ พระยาจักรีสิน ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี ได้เป็น พระยาพิชัยอาสา และ พระยาพิชัย(ดาบหัก) ครองเมืองพิชัย(อุตรดิตถ์)

หลวงพิพิธวาที(เฉินเหลียง) เป็นชาวจีนแต้จิ๋ว มีชื่อเดิมว่า นายเหลียง แซ่เฉิน หรือเรียกเป็นภาษาจีนกลางว่า เฉินเหลียง หรือเรียกชื่อเป็นภาษาจีนแต้จิ๋วว่า จันเหลียน เคยเป็นขุนนางจีน เป็นกัปตันเรือสำเภาค้าขาย ของ พระเจ้ากรุงจีน เป็นญาติลูกพี่ลูกน้องฝ่ายมารดา กับ หลวงพิชัย(หยางจิ้งจุง) ได้ลาออกจากขุนนางจีน มารับราชการที่กรุงศรีอยุธยา ตำแหน่ง กรมท่าซ้าย ได้สมรสกับบุตรสาวคนหนึ่ง ของ หม่อมอั๋น เคยปกครองเมืองพุทไธมาศ(เมืองตาแก้ว เดิม) คนไทยมักจะเรียกชื่อว่า เจ้าขรัวเหลียง ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี ได้รับแต่งตั้งให้เป็น เจ้าพระยาโกษาธิบดี และตำแหน่งสุดท้าย ได้เป็น เจ้าพระยาราชาเศรษฐี ปกครองเมืองบันทายมาศ(เมืองออกแก้ว เดิม ปัจจุบันคือ เมืองฮาเตียน) พงศาวดารญวนเรียกชื่อว่า จันเลียน

หลวงพิชัย(หยางจิ้งจุง) เป็นชาวจีนสายตระกูลหยาง มีความสนิทสนม กับ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มาตั้งแต่วัยเด็ก เคยเป็นรองกัปตันเรือสำเภาค้าขายของจีน ต่อมาได้ขอลี้ภัยการเมือง มารับราชการที่ราชอาณาจักรเสียม-หลอ เป็น เจ้าเมืองเบตุง เป็นบุตรเขย ของ หม่อมอั๋น น้องสาว หม่อมนกเอี้ยง เคยมาร่วมสร้างกองทัพเรือลับอยู่ที่ เมืองคันธุลี ใช้ชื่อใหม่ว่า โกมุด ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี เคยมีตำแหน่งเป็น พระยาราชทูต เป็นหัวหน้าคณะราชทูต หลายครั้ง ในการเดินทางไปยังประเทศจีน ต่อมาได้เป็น เจ้าพระยาพิไชยไอยสวรรค์(หยางจิ้งจุง) เป็นเจ้าพระยาราชทูต และเคยเป็น เจ้าพระยาโกษาธิบดี(หยางจิ้งจุง)

นักองค์ราม เป็นขุนนางเชื้อพระวงศ์ ของ ประเทศเขมร ได้ลี้ภัยการเมืองมาอยู่ในสยามประเทศ และต่อมา พระเจ้าเอกทัศ ส่งมาอยู่ในกองพันทหารม้าพระยาตากสินฯ ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี ได้เป็น กษัตริย์ ปกครองเขมร

ขณะนั้น แม่ทัพมังมหานรธา ได้ร่วมมือกับ พระยาไชยารุก นอกราชการ ได้ส่งหน่วยปฏิบัติการกองโจรทหารม้า เป็นหน่วยย่อยๆ เข้าปล้นสะดม และทำการกวาดต้อนผู้คนให้มาทำสัตย์ปฏิญาณดื่มน้ำสาบาน เพื่อนำคนไทยไปใช้งานช่วยเหลือกองทัพพม่า ขณะนั้นกองทัพของแม่ทัพเนเมียวสีหบดี ที่ยกกองทัพมาทางภาคเหนือ ยังมิได้ยกกองทัพมาถึงกรุงศรีอยุธยา แต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน ออกเดินทัพ มุ่งหน้าสู่เมืองบางละมุง นั้น จึงต้องปะทะกับหน่วยปฏิบัติการกองโจรทหารม้าของ แม่ทัพมังมหานรธา ตามเส้นทางเดินทัพที่มุ่งหน้าสู่เมืองบางละมุง

 

ภาพที่-๑๗    แผนที่แสดงเส้นทางเดินทัพของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ จากกรุงศรีอยุธยา ผ่านเมืองปราจีนบุรี เมืองแปดริ้ว สู่เมืองบางละมุง เมืองระยอง สู่แขวงเมืองท่าชนะ เมืองไชยา

 

วันแรกของการเดินทัพ พระยาจักรีสิน ขี่ม้านำหน้าทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน ออกจากค่ายวัดพิชัย กรุงศรีอยุธยา มุ่งหน้าสู่แขวงเมืองปราจีนบุรี ได้ปะทะกับกองโจรทหารพม่า ทหารพม่าเสียชีวิตด้วยอาวุธปืนลูกซอง เป็นจำนวนมาก จนกระทั่ง กองทัพพม่า ไม่กล้าติดตาม ต่อมา พระยาจักรีสิน ได้นำทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน มาพักเหนื่อยและหลับนอนอยู่ที่ บ้านโพธิ์สังหาร แขวงเมืองปราจีนบุรี จนกระทั่งเช้าของวันใหม่ คือ วันที่ ๔ มกราคม พ..๒๓๐๙ ทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน ได้เดินทัพออกจาก บ้านโพธิ์สังหาร ไปตั้งค่ายทหารอยู่ที่ บ้านพรานนก แขวงเมืองปราจีนบุรี เพื่อจัดหาเสบียงอาหารมาเพิ่มเติม

ในขณะที่ทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน ได้ออกไปเที่ยวจัดหาเสบียงอาหารมาเพิ่มเติม นั้น ขณะนั้นหน่วยปฏิบัติการกองโจรทหารม้า ของแม่ทัพมังมหานรธา ซึ่งมีทหารม้า ๓๐ ม้า มีพลเดินเท้า ๒๐๐ คนเศษ กำลังเดินทัพสวนทางมาจากบ้านบางคาง แขวงเมืองปราจีนบุรี เพื่อเดินทางมุ่งหน้ามาสู่กรุงศรีอยุธยา หน่วยปฏิบัติการกองโจรทหารม้าพม่า ได้พบเห็นทหารของกองพันทหารม้าพระยาตากสิน ที่กำลังออกไปเที่ยวหาเสบียงอาหาร จึงเกิดการปะทะกับทหารกองทัพพม่า

หน่วยทหารม้าพระยาตากสิน ที่ออกไปหาเสบียง ได้แสร้งถอยมายังบ้านพรานนก กองทหารพม่าก็ติดตามมาติดๆ พระยาจักรีสิน จึงวางแผนให้ทหารเดินเท้าจัดขบวนใหม่ กระจายออกเป็นปีกกา เข้าโอบล้อมทหารพม่าทั้งสองด้าน ส่วนพระยาจักรีสิน ก็ขี่ม้าแสร้งนำขบวนมาข้างหน้า ทหารพม่าไม่ทันรู้ตัว ก็ถอยหนีกลับไปปะทะกับพวกเดินเท้า ของทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน พระยาจักรีสิน ได้ที ก็นำกองทหารม้าเข้าปิดล้อมกองทหารพม่า ระดมยิงด้วยปืนลูกซองเข้าใส่ทหารพม่า ตาย-บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน สามารถรบชนะกองทหารพม่า อย่างง่ายดาย ทหารพม่าที่เหลือก็แตกหนีกระจายกลับไป§-๑พระยาจักรีสิน จึงนำกองพันทหารม้าพระยาตากสิน เดินทัพต่อไป โดยวางแผนไปตั้งค่ายพักที่ชายแดนดงศรีมหาโพธิ์  แขวงเมืองปราจีนบุรี

 

กองทัพพระยาจักรีสิน ปะทะกับกองทัพพม่า ที่แขวงเมืองปราจีนบุรี

       ขณะที่พระยาจักรีสิน นำกองพันทหารม้าพระยาตากสิน เดินทัพมาที่ดงศรีมหาโพธิ์ เมื่อเวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น. ของวันที่ ๔ มกราคม พ..๒๓๐๙ ก็ได้เกิดการปะทะกับ หน่วยปฏิบัติการกองโจรของแม่ทัพมังมหานรธา อีกครั้งหนึ่ง การปะทะครั้งนั้นเกิดขึ้นเพราะ แม่ทัพมังมหานรธาได้วางแผนให้ แม่ทัพเรือเมขะระโบ และหน่วยปฏิบัติการกองโจรทหารม้าเข้ายึดเส้นทางตามลำน้ำแม่น้ำต่างๆ เพื่อตัดกำลังหนุน และการส่งเสบียงอาหารเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา กองทหารเรือของ แม่ทัพเรือเมขะระโบ ส่วนหนึ่งจึงได้ไปตั้งค่ายทหารอยู่ที่ปากแม่น้ำเจ้าโล้ เพื่อควบคุมเส้นทางตามลำแม่น้ำ

เมื่อกองพันทหารม้าพระยาตากสิน ได้ปะทะกับหน่วยปฏิบัติการกองโจรทหารม้าพม่า ณ บ้านพรานนก ทหารพม่าที่พ่ายแพ้จากการสู้รบ ได้หนีตายออกไปได้ตั้งแต่ตอนเช้า ก็เดินทางนำข่าวไปแจ้งนายทัพเรือพม่าที่ตั้งค่ายทหารอยู่ที่ปากน้ำเจ้าโล้ ทางทิศใต้ของเมืองปราจีนบุรี นายทัพเรือพม่าจึงส่งกองทัพเรือ และหน่วยปฏิบัติการกองโจรทหารม้าพม่า ขึ้นไปติดตามหากองพันทหารม้าพระยาตากสิน ไปพบกันเมื่อประมาณ ๑๖.๐๐ น.

หลังจากที่กองพันทหารม้าพระยาตากสิน ได้ข้ามลำน้ำปราจีนบุรี กองพันทหารม้าพระยาตากสิน ก็ตั้งค่ายพักอยู่ที่ชายทุ่ง ก็ได้ยินเสียงฆ้องกลอง แลเห็นธงทิวของทหารกองทัพพม่า ก็ทราบทันทีว่า ทหารกองทัพพม่า กำลังติดตามมา จึงให้กองครัว และหน่วยหาบเสบียงอาหารรีบเดินทัพล่วงหน้าไปก่อน แล้วเลือกชัยภูมิเอาพงหญ้ามากำบังแทนแนวค่าย พระยาจักรีสิน ได้ตั้งปืนลูกซอง และปืนใหญ่ใหญ่น้อยต่างๆ เรียงรายไว้ หมายที่จะวางกลลวง ซุ่มตีกองทหารพม่าให้เข็ดหลาบ

พระยาจักรีสิน จัดกองทหารม้าประมาณ ๑๐๐ คน ออกไปล่อรบกับทหารพม่า ถึงท้องทุ่ง แล้วแสร้งถอยหนีมาตามเส้นทางที่จัดให้ทหารอีกส่วนหนึ่งซุ่มอยู่ตั้งปืนดักไว้ โดยที่กองทหารพม่าไม่รู้กลอุบาย จึงบุกไล่ตามกองทหารม้าพระยาจักรีสิน เข้ามายังกับดักตามแผน ก็ถูกทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน ที่ตั้งปืนซุ่มอยู่ในพงหญ้า ระดมยิงปืนเข้าใส่กองทหารพม่า เป็นห่าฝน ทหารพม่าบาดเจ็บล้มตาย ไปเกือบหมดสิ้น ทหารพม่าที่เหลือก็ถูกกองพันทหารม้าพระยาตากสิน นำกำลังทหารม้าออกไล่ติดตาม สามารถยิงสังหารทหารพม่า บาดเจ็บ ล้มตาย เพิ่มขึ้นไปอีก เป็นจำนวนมาก§-๒

จากนั้นเป็นต้นมา ทหารกองทัพพม่า ที่เมืองปราจีนบุรี ก็เข็ดขยาดต่อทหารของกองพันทหารม้าพระยาตากสิน แม่ทัพพม่า ไม่กล้าส่งกองทัพเข้าโจมตีทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน อีกเลย กองพันทหารม้าพระยาตากสิน จึงมุ่งเดินทัพ มุ่งหน้าต่อไปยังเมืองบางละมุง เพื่อจัดหาเรือสำเภา เดินทางสู่เมืองท่าชนะ ต่อไป ตามแผนการที่กำหนด

 

พระยาจักรีสิน นำกองพันทหารม้าพระยาตาก เดินทัพมาถึง เมืองบางละมุง

คืนวันที่ ๔ มกราคม พ..๒๓๐๙ นั้น พระยาจักรีสิน ได้นำกองพันทหารม้าพระยาตากสิน เดินทางมาตั้งทัพที่ชายแดนเมืองศรีมหาโพธิ์โดยที่ทหารกองทัพพม่าเข็ดขยาด ไม่กล้าติดตามมาอีก จนกระทั่งวันที่ ๕ มกราคม พ.ศ.๒๓๐๙ พระยาจักรีสิน ได้นำทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน เดินทัพต่อไป ผ่านเมืองแปดริ้ว(ฉะเชิงเทรา) เมืองชลบุรี และเดินทางรอนแรมอีก ๕ วัน คือวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ.๒๓๐๙ ก็เดินทางมาถึงแขวงเมืองบางละมุง เพื่อติดต่อกับ นายบุญเมือง น้องชายนายบุญชู เจ้าเมืองบางละมุง ให้ช่วยจัดหาเรือสำเภา เพื่อใช้เดินทางสู่อู่ต่อเรือสำเภาลับ ณ เมืองท่าชนะ

เมื่อทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน ได้มาตั้งทัพอยู่ที่ ชายหาดนาจอมเทียน ที่นัดพบทัพพระยา(พัทยา) เมื่อวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ.๒๓๐๙ ได้มีสหายของ พระยาจักรีสิน ที่เคยมีตำแหน่งเป็นขุนนางอำมาตย์ฝ่ายรักชาติ ได้มาแจ้งข่าวต่อพระยาจักรีสิน กล่าวว่า พระเจ้าเอกทัศน์ ได้จับขุนพัฒน์ บิดาของ พระยาจักรีสิน ไปประหารชีวิตเรียบร้อยแล้ว และมีประชาชนที่เมืองบางละมุง ได้มาขออ่อนน้อมเป็นจำนวนมาก

นายบุญเมือง ซึ่งเป็นบุตรชายคนหนึ่งของ พระยาจักรีมุกดา และเป็นน้องชายพ่อแม่เดียวกันกับ พระยาไชยาบุญชู และ นางบุญนอบ ภรรยาเจ้าเมืองจันทร์บูรณ์(บุญหลาน) พี่สาวท้องเดียวกัน ของ พระยาไชยาบุญชู ได้พยายามส่งข่าวให้พระยาจักรีสิน ทราบข่าวใหม่ๆ และขอแสดงความเสียใจที่บิดา ของ พระยาจักรีสิน ถูกประหารชีวิต เนื่องจากเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น นายบุญเมือง ต้องหลบหนีออกมาจากกรุงศรีอยุธยา หลังจากพี่ชายคือ นายบุญชู ถูกใส่ความจากขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง จึงถูกลดตำแหน่งจาก พระยาจักรีบุญชู ลงมาเป็น พระยาไชยาบุญชู นายบุญเมือง ซึ่งเคยเป็น พระยาไชยา จึงได้เข้ามาเป็นผู้รั้งเมืองบางละมุง อยู่ในขณะนั้น

นายบุญเมือง ผู้นี้เคยเป็นพระยาไชยา และเคยเป็นทหารอยู่ในกองพันทหารม้าพระยาตาก มาก่อน จึงได้มาต้อนรับทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน ซึ่งล้วนเป็นสหายร่วมรบด้วยกันมาก่อน ทั้งสิ้น

 

พระยาจักรีสิน ถูกข้อหากบฏ ถูกประกาศจับตาย ตัดสินใจเข้ายึดเมืองระยอง

หลังจากที่พระยาจักรีสิน ได้นำทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน ยกทัพออกจากค่ายวัดพิชัย มาพักกองทัพอยู่ที่เมืองบางละมุง จนสำเร็จแล้ว พระเจ้าเอกทัศ ก็รับสั่งให้จับบิดา ของ พระยาจักรีสิน และภรรยาคนใหม่ ประหารชีวิตเสีย หลังจากนั้นก็ได้ส่งพระราชสาสน์ ไปยังเจ้าเมืองต่างๆ แจ้งให้ทราบว่าพระยาจักรีสิน เป็นกบฏ เป็นผู้ลอบเผาบ้านเผาเมือง ให้จับตัวส่งกรุงศรีอยุธยา หรือให้ฆ่าทิ้งเสีย

พระยาระยอง(บุญเรือง) เป็นบุตรของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา เป็นน้องชายร่วมท้องเดียวกันกับ พระยาไชยารุก นอกราชการ ได้รับทราบคำสั่ง ของ พระเจ้าเอกทัศน์ ให้จับกุมพระยาจักรีสิน จึงได้ประชุมคณะกรรมการกรมการเมือง เพื่อวางแผนดำเนินการ โดยได้ส่งทหารมาจับกุม พระยาจักรีสิน ที่เมืองบางละมุง แต่นายบุญเมือง แจ้งข่าวให้พระยาจักรีสิน ทราบเสียก่อน ดังนั้นเมื่อพระยาจักรีสิน ทราบเรื่องดังกล่าว ในเดือนมกราคม พ..๒๓๐๙ พระยาจักรีสิน จึงตัดสินใจนำทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน เดินทางโดยเรือสำเภา มุ่งหน้าสู่เมืองระยอง ทันที

กลางเดือนมกราคม พ.ศ.๒๓๐๙ พระยาจักรีสิน ได้เดินทางโดยเรือสำเภา ถึงเมืองระยอง พระยาระยอง(บุญเรือง) ได้แสร้งมาขอสวามิภักดิ์ ต่อ พระยาจักรีสิน และเชิญเข้าไปในเมือง หวังที่จะฆ่าทิ้งเสีย แต่พระยาจักรีสิน รู้เท่าทัน จึงมิได้เข้าไปในตัวเมืองระยอง เปลี่ยนมาตั้งค่ายอยู่ที่ วัดลุ่ม ซึ่งเคยเป็นค่ายเก่าของเมืองระยอง พระยาจักรีสิน พักอยู่ที่ค่ายวัดลุ่มได้สองวัน พวกกรมการเมืองระยอง ก็เตรียมนำทหารเข้าตีค่ายทหาร วัดลุ่ม เป็นเหตุให้ พระยาจักรีสิน สั่งให้ทหารเข้าจับกุมตัว พระยาระยอง(บุญเรือง) มากักขังไว้ในค่ายพักทหาร วัดลุ่ม เป็นผลสำเร็จ

พวกกรมการเมืองระยอง ก็นำกำลังทหารมาเตรียมล้อมค่ายทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน ไว้ ฝ่ายพระยาจักรีสิน วางแผนให้ดับไฟในค่ายให้มืด และวางกำลังไว้ทุกทางที่กองทหารกรมการเมืองระยอง จะเข้ามาในค่าย กำชับสั่งห้ามมิให้ทหารโห่ร้อง และยิงปืนโต้ตอบ เพื่อปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามนำกองทหารเข้ามาสู่พื้นที่เป้าหมายก่อน แล้วจึงจะทำการระดมยิงด้วยปืนลูกซองยาว

เมื่อกองทหารของพวกกรมการเมืองระยอง นำกองทหาร เข้ามาล้อมค่ายกองพันทหารม้าพระยาตากสิน ต่างก็โห่ร้อง ระดมยิงปืนนกสับ เข้าไปในค่ายประดุจห่าฝน กองทหารพวกกรมการเมืองระยอง ได้นำกองทหารเข้าประชิด ก็ถูกทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน แสร้งทำตกใจยิงปืนโต้ตอบไปบ้างเล็กๆ น้อยๆ เพื่อล่อให้บุกเข้ามาในค่ายทหาร

ขุนจ่าเมืองด้วง ได้คุมทหารประมาณ ๓๐ คน รุกเข้าไปทางด้านวัดเนิน หวังจะเข้ายึดค่าย พอข้ามสะพานเข้าไปห่างจากค่ายประมาณ ๑๐ เมตร ทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน ก็ระดมยิงด้วยปืนกลลูกซองตับ§-๓ สามารถยิงทหารขุนจ่าเมือง กับพวก ที่เข้าไปก่อน บาดเจ็บล้มตาย ตกสะพานไปมาก ทหารที่ตามมาข้างหลังต่างตกใจพากันถอยหนี จึงได้ทีของ ทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน ออกรุกไล่ยิงฆ่าฟันตายไปมาก ทหารบางส่วนต้องหนีออกไปซ่อนตัวอยู่ที่ค่ายเก่า ทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน จึงเข้าไปเผาค่ายเก่าเสียสิ้น และได้ถือโอกาสดังกล่าวส่งกองทหารเข้ายึดเมืองระยองในคืนดังกล่าวจนสำเร็จ§-๔

พระยาจักรีสิน จึงมอบให้ นายบุญเมือง ผู้รั้งเมืองบางละมุง เข้ามาปกครองเมืองระยอง แทนที่ ส่วนพระยาระยอง(บุญเรือง) ซึ่งยอมรับผิด และเพื่อเห็นแก่เจ้าพระยาจักรีมุกดา พระยาจักรีสิน จึงสับเปลี่ยนส่งให้ไปรั้งเมืองบางละมุง ไว้แทนที่ และมอบให้หลวงพิพิธ(เฉินเหลียง) เดินทางไปสะสมกำลัง และเป็นหน่วยจัดหาทุน อย่างลับๆ ที่เมืองพุทไธมาศ หลังจากนั้น พระยาจักรีสิน ก็เดินทางโดยทางเรือสำเภา มุ่งหน้าสู่เมืองท่าชนะ เพื่อวางแผนทำสงครามกอบกู้เอกราช ราชอาณาจักรเสียมหลอ กลับคืน อีกครั้งหนึ่ง

 

พระยาจักรีสิน มอบให้ หลวงพิพิธ(เฉินเหลียง) ไปสร้างกองทัพเรือที่ เมืองพุทไธมาศ

ขณะที่ พระยาระยอง(บุญเมือง) กำลังจัดหาเรือสำเภาให้กับพระยาจักรีสิน เพื่อเดินทางไปยังเมืองท่าชนะ นั้น พระยาจักรีสิน ได้มอบให้ หลวงพิพิธวาที(เฉินเหลียง) ซึ่งเป็นชาวจีนแต้จิ๋ว มีชื่อเดิมว่า นายเหลียง แซ่เฉิน หรือเรียกเป็นภาษาจีนกลางว่า เฉินเหลียง เคยเป็นขุนนางจีน เป็นกัปตันเรือสำเภาค้าขาย ของ พระเจ้ากรุงจีน และได้ลี้ภัยการเมือง มารับราชการที่กรุงศรีอยุธยา ตำแหน่ง กรมท่าซ้าย ต่อมาได้สมรสกับบุตรสาวคนหนึ่ง ของ หม่อมอั๋น ได้เคยไปปกครองเมืองพุทไธมาศ(ตาแก้ว) มาก่อน คนไทยทั่วไปมักจะเรียกชื่อว่า เจ้าขรัวเหลียง เคยรับผิดชอบสร้างอู่ต่อเรือสำเภาให้กับ พระยาราชบังสันสิน ที่เมืองธนบุรี สำเร็จมาก่อน พระยาจักรีสิน ได้มอบหมายให้หลวงพิพิธวาที(เฉินเหลียง) ไปสร้างกองทัพเรือที่ เมืองพุทไธมาศ(เมืองตาแก้ว) เพื่อเตรียมกองทัพไว้ทำสงครามกอบกู้เอกราช กลับคืนต่อไป

หลวงพิพิธ(เฉินเหลียง) จึงได้เดินทางไปติดต่อกับ  พระยาราชาเศรษฐีญวน เจ้าเมืองบันทายมาศ(เมืองออกแก้ว) ซึ่งเคยสนิทสนมกันมาตั้งแต่สมัยที่ เฉินเหลียง เป็นกัปตันเรือสำเภาค้าขาย ของ พระเจ้ากรุงจีน เคยติดต่อซื้อขายสินค้าระหว่างกันมาอย่างยาวนาน หลวงพิพิธ(เฉินเหลียง) จึงได้เดินทางไปสร้างกองทัพเรือ สะสมกำลังอย่างลับๆ ที่เมืองพุทไธมาศ ต่อมาสามารถสร้างกองทัพเรือ มีกำลังทหาร ๑,๕๐๐ คน เป็นกองทัพหนึ่งที่ได้นำกองทัพมานัดพบกันที่ ชายทะเลหาดนาจอมเทียน ในเวลาต่อมา อีกครั้งหนึ่ง

       เมื่อ พระยาระยอง(บุญเมือง) สามารถจัดหาเรือสำเภา ให้กับกองทหารพระยาจักรีสิน ได้เพียงพอแล้ว พระยาจักรีสิน ก็ทำจดหมาย ถึง พระยาราชาเศรษฐี(ม่อเทียนซื่อ) เจ้าเมืองบันทายมาศ มอบให้ หลวงพิพิธ(เฉินเหลียง) เดินทางไปยังเมืองบันทายมาศ เพื่อขอให้ร่วมมือต่อสู้กับกองทัพพม่า หลังจากนั้น พระยาจักรีสิน ก็ออกเดินทางจากเมืองระยอง มุ่งหน้าสู่เมืองท่าชนะ ทันที

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่ พระยาจักรีสิน เดินทางไปสร้างกองทัพที่ฐานที่มั่นเมืองท่าชนะ และก่อนที่ พระยาจักรีสิน จะขึ้นครองราชย์สมบัติ เป็น พระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) แห่ง ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี และก่อนที่ พระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จะมีการยกกองทัพจากเมืองท่าชนะ เข้าตีเมืองจันทร์บูรณ์ ในเวลาต่อมาที่มีเวลาห่างกันประมาณหนึ่งปี ในเรื่องนี้ พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขาบันทึกเรื่องการสร้างกองทัพเรือที่เมืองพุทไธมาศ ว่า

“…ครั้นถึง ณ วันเสาร์ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๔ ปีจอ อัฐศก จึงพระพิชัย และนายบุญมี ข้าหลวงก็ไปถึงปากน้ำเมืองพุทไธมาศ จึงนำเอา ศุภอักษรกับเสื้ออย่างฝรั่งนั้นขึ้นไปหาพระยาราชาเศรษฐี และเจรจาตามข้อความใน ศุภอักษรนั้น พระยาราชาเศรษฐี ก็มีความยินดี จึงว่าฤดูนี้จะเข้าไปยากขัดด้วยลมอยู่ไปมิทัน ต่อถึงเดือน ๘ เดือน ๙ จึงจะยกกองทัพเรือเข้าไปช่วยราชการ ครั้นถึง ณ วันจันทร์ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๕ ปีกุน นพศก จึงให้องค์ไกเรือง กับทั้ง ศุภอักษรตอบและเครื่องบรรณาการขึ้นเฝ้า ณ ค่ายประดู่ เมืองระยอง…”

จะเห็นว่าเวลาของเหตุการณ์ห่างกันประมาณ ๑ ปี ตั้งแต่เดือน ๔ ปีจอถึงเดือน ๕ ปีกุน จากหลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ หายไปประมาณ ๑ ปี เหตุการณ์ที่ขาดหายไป ผู้เขียนจะเป็นผู้สืบสาวเรื่องราวดังกล่าวมาเสนอต่อท่านผู้อ่านต่อไป

ขณะนั้นพวกราชวงศ์ และขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวงได้ติดต่อกับ พระยาไชยารุก นอกราชการ เชลยศึกของพม่า เพื่อให้ เจ้าฟ้าจุ้ย พระราชโอรส ของ เจ้าฟ้ากุ้ง ใช้เมืองจันทร์บูรณ์เป็นราชธานีใหม่ ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ เพื่อให้เป็นประเทศเมืองขึ้นของพม่า โดยมีการติดต่อผ่าน เจ้าพระยาราชาเศรษฐี (ม่อเทียนซื่อ) ให้ช่วยติดต่อกับผู้ว่าราชการมณฑลกวางตุ้ง เพื่อติดต่อกับพระเจ้ากรุงจีน ให้ประเทศจีน รับรองทางการทูต ยอมรับเจ้าฟ้าจุ้ย ขึ้นเป็นกษัตริย์ ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ

เรื่องราวเหล่านี้ได้เกิดขึ้นต่อมาและเมื่อพระยาจักรีสิน ทราบเรื่องดังกล่าวก็ตัดสินใจเดินทางโดยเรือสำเภา จากเมืองท่าชนะ มุ่งสู่เมืองระยอง อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ พระยาจักรีสิน ได้ทำพิธีมหาไชยาบรมราชาภิเษก ขึ้นเป็นกษัตริย์ราชอาณาจักรเสียม มีพระนามว่า พระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เรียบร้อยแล้ว  

 

กองพันทหารม้าพระยาตากสิน เดินทางสู่ ฐานที่มั่นลับ เมืองท่าชนะ

       ก่อนที่ พระยาจักรีสิน จะเดินทางโดยเรือสำเภา ไปยังฐานที่มั่นลับ ณ เมืองท่าชนะ นั้น มีข่าวลือหลากหลายข่าว ที่ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ได้กล่าวหาพระยาจักรีสิน ว่าเป็นผู้เผาบ้านเผาเมือง และเป็นกบฏ จนกระทั่งพระเจ้าเอกทัศ รับสั่งให้จับตัวไปประหารชีวิต มีข่าวลือว่า ในขณะที่พระยาจักรีสิน เพิ่งได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่ง พระยาจักรี ต่อจาก พระยาจักรีตาล ได้ไม่นานก็เกิดความขัดแย้งกับขุนนางอำมาตย์ชั่ว ถูกใส่ความว่าเป็นผู้เผาบ้านเผาเมือง เป็นกบฏ พระเจ้าเอกทัศ รับสั่งให้นำไปประหารชีวิต และเมื่อพระเจ้าเอกทัศ จับพระยาจักรีสิน ไปประหารชีวิตไม่ได้ พระเจ้าเอกทัศน์ ก็จับเอา ขุนพัฒน์(นายหยุง แซ่ลิ้ม) บิดาของพระยาจักรีสิน และภรรยาคนใหม่ ไปประหารชีวิต แทนที่

เมื่อมีข่าวเล่าลือมาถึงเมืองท่าชนะ จนกระทั่งหม่อมนกเอี้ยง หม่อมอั๋น ท่านหญิงวาโลม พร้อมกับบุตรธิดา ของ พระยาจักรีสิน นอนไม่หลับมาโดยตลอด มีข่าวลือมาถึงเมืองท่าชนะ ว่า พระยาจักรีสิน ได้นำทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน หนีตายออกมาจากค่ายวัดพิชัย หลังจากที่พระเจ้าเอกทัศ รับสั่งให้ทหารเข้าไปจับกุมไปประหารชีวิต และไม่มีผู้ใดทราบว่า พระยาจักรีสิน หลบซ่อนอยู่ที่ไหน มีข่าวลือมากมายในช่วงเวลาดังกล่าว รวมทั้งข่าวที่ว่า ขุนพัฒน์ อดีตสามี ของ หม่อมนกเอี้ยง ถูกพระเจ้าเอกทัศ สั่งให้ประหารชีวิต แล้ว

มีข่าวต่อๆ มาอีกว่า พระเจ้าเอกทัศ ได้แจ้งข่าวไปยังเมืองต่างๆให้จับกุมตัวพระยาจักรีสิน หรือให้ตัดศีรษะ ส่งไปที่กรุงศรีอยุธยา ได้กลายเป็นข่าวที่แพร่ขยายอย่างรวดเร็ว เหมือนกับไฟลามทุ่ง หม่อมนกเอี้ยง หม่อมอั๋น และลูกเมีย พระยาจักรีสิน พร้อมญาติพี่น้อง มิตรสหายและไพร่พลที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ล้วนเป็นห่วงใย  ไม่ทราบว่าพระยาจักรีสิน จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร อู่ต่อเรือลับที่กำลังสร้างเรือสำเภาอยู่ที่เมืองท่าชนะ และโรงงานผลิตปืนลูกซอง ที่สร้างขึ้นเพื่อสะสมกำลังอาวุธ เตรียมพร้อมเข้ายึดอำนาจกลับคืนให้กับ พระเจ้าอุทุมพร นั้น ก็ตกอยู่ในความเงียบเหงา ทุกๆ คน ไม่เป็นอันทำงาน ได้ไปรวมตัวกันที่ วัดดอนชาย และ วัดศรีราชัน เพื่อติดตามข่าวสาร

       เมื่อพระยาจักรีสิน นำทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน เดินทางจากเมืองระยอง นำกองเรือสำเภา มาทอดสมอที่ปากน้ำคลองคันธุลี และ ปากน้ำท่ากระจาย เมืองท่าชนะ ญาติพี่น้องและไพร่พลที่เป็นห่วงใยได้ทราบข่าวล้วนยินดีปรีดาที่พระยาจักรีสิน ยังมีชีวิตอยู่ และได้กลับมาร่วมงานกับเครือญาติและมิตรสหาย พร้อมไพร่พล ณ ฐานที่มั่นการทหารที่เมืองท่าชะนะ จึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง ที่ทุกชีวิตได้ร่วมมือกันเตรียมการทำสงครามปกป้องรักษาดินแดนสุวรรณภูมิ หวังรักษาไว้ให้ลูกหลานของชนชาติไทยได้มีที่ตั้งรกรากอยู่อาศัย สืบต่อไป

 

พระยาจักรีสิน นำช่างต่อเรือสำเภา จาก เมืองห้วยยอด มาเร่งสร้างกองทัพเรือ

       สถานการณ์ในขณะนั้น พระยาจักรีสิน ยังมิได้เคยคิดที่จะขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นกษัตริย์ แห่ง ราชอาณาจักรเสียม-หลอ แต่อย่างใด เพราะเชื่อมั่นว่ายังมีขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติในกรุงศรีอยุธยา ที่จะดำเนินการอัญเชิญพระเจ้าอุทุมพร ที่ถูกทหารของพระเจ้าเอกทัศ ควบคุมตัวให้ขึ้นมาครองราชย์สมบัติได้สำเร็จ ในช่วงเวลาดังกล่าว พระยาจักรีสิน ตั้งใจจะสร้างกองทัพเดินทางออกจากเมืองท่าชนะ เพื่อเป็นกำลังแย่งชิงอำนาจกลับคืนให้กับ พระเจ้าอุทมพร เท่านั้น

พระยาจักรีสิน คาดคิดว่า หากปฏิบัติการสำเร็จก็จะสามารถนำกองทหารที่สะสมไว้ ออกไปทำสงครามขับไล่กองทัพพม่าที่กำลังปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา ให้ต้องถูกขับไล่ออกไปจากผืนแผ่นดินไทย สำเร็จอย่างแน่นอน เนื่องจาก หลวงพิชัย(หยางจิ้งจุง) ได้รับมอบหมายจากพระยาจักรีสิน ให้ไปปกครองเมืองเบตุง และให้ไปสร้างกองทัพเรือที่ เมืองโกลี-โกลก(สุไหงโกลก) เป็นเหตุให้ พระยาจักรีสิน ต้องมอบให้ พระยาอินทร์รักษา ผู้เป็นน้องเขย ปกครองเมืองตะกั่วป่า อพยพครอบครัวผู้เชี่ยวชาญในการต่อเรือสำเภาที่เมืองห้วยยอด ท้องที่ จ.ตรัง ในปัจจุบัน ให้มาช่วยสร้างเรือสำเภาที่เมืองท่าชนะ เพิ่มเติมขึ้นด้วย โดยได้มาตั้งรกรากที่บ้านดอนธูป ซึ่งเป็นที่มาให้ประชาชนเรียกบ้านดอนธูป อีกชื่อหนึ่งว่า บ้านห้วยยอด ตั้งแต่นั้นมา

พระยาจักรีสิน ได้มุ่งมั่นสร้างกองทัพเรือลับเร่งผลิตอาวุธปืน เร่งหาทุนรอน และเร่งฝึกกำลังทหารให้เข้มแข็งให้เพียงพอที่จะทำสงครามสู้รบกับกองทัพพม่าให้สำเร็จ แม้ว่าไม่มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่ทหารและประชาชนทุกคนล้วนร่วมกันทำงานด้วยจิตสำนึกของความรักชาติ การสร้างกองทัพใหญ่ จึงสำเร็จโดยไม่ยากนัก พระยาจักรีสิน จึงทำตัวเสมือนกับที่เคยเป็น พระยาราชบังสันสิน สมัยที่เคยดำรงตำแหน่ง แม่ทัพเรือของ พระเจ้าอุทุมพร ในอดีต

       เมื่อย้อนกลับไปในสมัยที่ พระยาราชบังสันสิน เป็นแม่ทัพเรือ และ เป็นเจ้าเมืองธนบุรี ได้เคยสร้างเรือรบเข้าทดแทนความเสียหายของกองทัพเรือที่เสียหายไปในการที่พม่ายกกองทัพเข้ามาปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาครั้งที่-๑ เมื่อปี พ..๒๓๐๒-๒๓๐๓ แม้ว่าเรือรบของกรุงศรีอยุธยา ได้เสียหายไปมากในสงครามครั้งนั้น แต่กองทัพพม่าก็ไม่สามารถควบคุมเส้นทางยุทธศาสตร์ทางน้ำได้ เพราะพระยาราชบังสันสิน แม่ทัพเรือของกรุงศรีอยุธยา ในสมัยนั้น ได้สร้างกองทัพเรือ ขึ้นแทนที่อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีกองทัพเรือของหลวงพิพิธ (เฉินเหลียง) ซึ่งได้นำกองทัพเรือ เข้าต่อสู้กับทำลายกองทัพพม่า เสียหายอย่างหนัก แม่ทัพเจ้าชายมังระ เคียดแค้นมาก ถึงขั้นเข้าเผาเรือพระที่นั่งและกองเรือต่างๆ เสียหายหมดสิ้น

เมื่อพระเจ้าอุทมพร มอบหมายให้ แม่ทัพเรือพระยาราชบังสันสิน ให้สร้างอู่ต่อเรือสำเภา และเรือรบประเภทต่างๆ ขึ้นมาใหม่ จนทำให้กองทัพเรือกรุงศรีอยุธยา เข้มแข็งมากกว่าเดิมมาก แต่ต่อมาเมื่อ พระเจ้าเอกทัศน์ แย่งชิงอำนาจจากพระเจ้าอุทมพร สำเร็จ และกองทัพพม่า ได้ยกกองทัพเข้ามาปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่สอง ในขณะที่พระเจ้าเอกทัศขึ้นครองราชย์สมบัติ และขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ได้เป็นใหญ่ในการวางแผนการรบ กองทัพเรือที่สร้างไว้เดิมถูกกองทัพพม่า เข้ายึดครองหมดสิ้น กองทัพพม่า จึงสามารถควบคุมเส้นทางยุทธศาสตร์ทั้งเส้นทางน้ำ และเส้นทางบก ได้อย่างเด็ดขาด กองเรือรบของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา ได้ถูกกองทัพพม่ายึดไปครอบครองเป็นส่วนใหญ่ ทำให้กรุงศรีอยุธยา กลายเป็นประเทศที่ไร้กองทัพเรือ จนน่าเป็นห่วงมาก

       เมื่อกองทัพพม่า สามารถทำลายกองทัพเรือของ กรุงศรีอยุธยา ไปหมดสิ้น พระยาจักรีสิน จึงได้ตระหนักในเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี เป็นที่มาให้พระยาจักรีสิน มีคำสั่งให้สร้างกองทัพเรือขึ้นใหม่อย่างลับๆ แม้ว่าเป็นงานที่ยากลำบาก แต่แม่ทัพพระยาจักรีสิน ก็ไม่เคยเหน็ดเหนื่อย แม้ว่าจะต้องสร้างกองทัพเรือเป็นครั้งที่สอง ดังนั้นเวลาหนึ่งปี ของเวลาที่พระยาจักรีสิน หายไปช่วยราชการสงคราม ก็คือช่วงเวลาที่มีคนไทยผู้รักชาติประเทศ ได้ร่วมกันสร้างกองทัพเรือขึ้นมาให้กับ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้ในการทำสงครามขับไล่กองทัพพม่าผู้รุกรานให้ออกไปจากดินแดนสุวรรณภูมิที่ชนชาติไทยครอบครองอยู่มาอย่างยาวนาน นั่นเอง

 

พระยาจักรีสิน เสนอคำขวัญชาวใต้ เมื่อพ้นหน้านา ผู้หญิงทอผ้า ผู้ชายตีเหล็ก

       การสร้างกองทัพของพระยาจักรีสิน เพื่อการกอบกู้เอกราช มีเรื่องราวของการสร้าง เมืองคันธุลี ให้เป็นฐานที่มั่นทางการทหาร มีการสร้างโรงงานตีเหล็ก-หลอมเหล็ก เพื่อสร้างอาวุธปืนลูกซอง ด้วย มีคำขวัญที่ผู้สูงอายุในท้องที่ อ.ท่าชนะ และ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวกันว่า เป็นคำขวัญสำหรับชาวใต้ว่า เมื่อพ้นหน้านา ผู้หญิงทอผ้า ผู้ชายตีเหล็กหมายถึงเหตุการณ์ที่แม่ทัพพระยาจักรีสิน เดินทางกลับมาสร้างกองทัพเรือเพื่อการวางแผนทำสงครามกอบกู้เอกราช ณ บ้านห้วยยอด เมืองคันธุลี บริเวณท้องที่ ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน

       เหตุการณ์ การสร้างกองทัพเรือครั้งที่สอง ณ ฐานที่มั่น เมืองคันธุลี นั้น สามารถรวบรวมเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพื่อนำมากล่าวโดยสังเขปได้ว่า พระยาจักรีสิน ได้ร่วมกับเครือญาติของเจ้าพระยาจักรีมุกดา และเครือญาติตนเอง รวมทั้งบริวาร ทำการรณรงค์สะสมเสบียงอาหาร โดยการเร่งทำนา และเมื่อพ้นหน้านา กลุ่มผู้หญิงต้องรวมตัวกันทอผ้าเพื่อใช้กันในครอบครัวและมอบให้กับทหาร วัดแทบทุกวัด และบ้านขุนนางต่างๆ กลายเป็นที่รวมกลุ่มทอผ้าของผู้หญิง ส่วนการตีเหล็กนั้น เป็นการตีเหล็กเพื่อผลิตปืนลูกซอง หาใช่เป็นการตีเหล็กเพื่อการผลิตหอกดาบ เช่นที่เคยมีมาเช่นในอดีตแต่อย่างใด

       มีพื้นที่อยู่สองพื้นที่ใหญ่ ซึ่งน่าเชื่อว่า เคยเป็นที่ตั้งโรงงานหลอมเหล็ก และโรงงานตีเหล็ก เพื่อผลิตปืนลูกซอง ของ พระยาจักรีสิน คือพื้นที่บริเวณตำบลเขาถ่าน อ.ท่าฉาง จ.สุราษฎร์ธานี และพื้นที่หนองน้ำผุด บ้านร้อยเรือน ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวกันว่าทั้งสองพื้นที่ดังกล่าว เคยเป็น โรงงานหลอมเหล็ก และ โรงงานตีเหล็ก เพื่อผลิตปืนลูกซอง ที่นำไปใช้ในการต่อสู้กับกองทหารพม่า ในเวลาต่อมา

ส่วนลูกกระสุนปืนลูกซองนั้น ในระยะแรกๆ พระยาจักรีสิน ได้มอบให้พระยาไชยา(บุญชู) ติดต่อสั่งซื้อกับฝรั่งชาติตะวันตกที่เกาะชวา และที่เมืองมะละกา แต่ต่อมาเงินทองขัดสน พระยาจักรีสิน จึงหาหนทางผลิตกระสุนปืนลูกซองขึ้นมาใช้เอง โดยการผลิตกระดาษ ดินปืน และสั่งแผ่นทองแดงจากประเทศจีน มาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตกระสุนปืนลูกซองขึ้นมาใช้เอง โรงงานดังกล่าวถูกสั่งปิดเมื่อเกิดสงครามเก้าทัพ ประมาณปี พ..๒๓๒๘ โดยกรมพระราชวังบวร (เจ้าพระยาสุรสีห์) เพราะถูกกล่าวหาว่า เป็นการผลิตเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือของขบวนการอั้งยี่ ที่ได้ก่อกบฏต่อต้านราชวงศ์จักรี ที่ได้เกิดขึ้นทั่วไปในดินแดนภาคใต้ หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ถูกรัฐประหาร

       ส่วนการสร้างกองเรือสำเภาทอง แม่ทัพเรือพระยาจักรีสิน ได้ตัดไม้ขนุน หรือที่ภาษท้องถิ่นภาคใต้เรียกชื่อว่า ไม้มาดหนุนจากบริเวณท้องที่บ้านดอนญวน และหมู่บ้านอื่นๆ ในพื้นที่ เมืองคันธุลี ให้นำไม้ขนุนมารวมกันที่วัดศรีราชัน และมอบให้ทหาร มาร่วมกันเลื่อยไม้มาดหนุน ณ บริเวณวัดศรีราัน จนสามารถสร้างกองเรือรบสำเภาทอง เรือพระที่นั่ง ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่ถูกนำมาใช้ในการเสด็จออกทำสงครามกอบกู้เอกราช ในเวลาต่อมา

 

พม่า ส่งกองทัพใหญ่ เข้าปิดล้อม กรุงศรีอยุธยา

       เวลาหนึ่งปีที่เรื่องราวของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่ขาดหายไปจากพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา ซึ่งนักประวัติศาสตร์ ได้ตั้งข้อสังเกตมาก่อนหน้านี้นั้นว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงทำอะไรอยู่ที่ไหน? ข้อมูลต่างๆที่ได้นำเสนอไปแล้วก็คือ การสร้างกองทัพเรือลับที่ เมืองคันธุลี เพื่อรอการขึ้นครองราชย์สมบัติของพระเจ้าอุทุมพร อีกครั้งหนึ่ง โดยที่พระยาจักรีสิน จะนำกองทัพลับเข้าทำสงครามขับไล่กองทัพพม่าที่กำลังปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา ให้สำเร็จ เหตุการณ์ในขณะนั้นพระยาจักรีสิน ยังมิได้มีความคิดที่จะขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นกษัตริย์ ของ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี แต่อย่างใด แต่เหตุการณ์ต่างๆ ในเวลาต่อมาได้ผันแปรไปเองในภายหลัง ทำให้พระยาจักรีสิน ต้องตัดสินใจขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นกษัตริย์ แห่ง ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี จึงเรียกช่วงเวลาที่ขาดหายไปว่าเป็นช่วงเวลาที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สร้าง ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี นั่นเอง

เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สามารถทำสงครามขับไล่กองทัพพม่า ออกจากดินแดนราชอาณาจักรละโว้ ได้เรียบร้อยแล้ว พระองค์จึงได้ทำพิธีมหาไชยาบรมราชาภิเษก อีกครั้งหนึ่ง เพื่อขึ้นครองราชย์สมบัติ เรียกกันว่าเป็นช่วงเวลาที่ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทำสงครามกอบกู้เอกราชให้กับ ราชอาณาจักรละโว้ กรุงศรีอยุธยา เมื่อขับไล่กองทัพพม่า เป็นผลสำเร็จ จึงได้สร้างราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี อีกครั้งหนึ่ง จะเห็นว่า การทำสงครามกอบกู้เอกราชของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่แท้จริงนั้น มีสองจังหวะ

เมื่อย้อนเหตุการณ์กลับไปเมื่อปลายเดือนมกราคม พ..๒๓๐๙ ในขณะที่พระยาจักรีสิน ถูกขุนนางอำมาตย์ชั่ว กล่าวหาว่าเป็นผู้เผาบ้านเผาเมือง และเป็นกบฏ จะต้องถูกประหารชีวิต เป็นที่มาให้พระยาจักรีสิน ต้องนำทหารกองพันทหารม้าพระยาตากสิน ตีฝ่าวงล้อมของกองทัพพม่า มุ่งหน้าสู่เมืองบางละมุง เพื่อเดินทางโดยทางเรือไปยังเมืองท่าชนะ เหตุการณ์ที่กรุงศรีอยุธยา ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

เหตุการณ์ที่กรุงศรีอยุธยาในขณะนั้น แม่ทัพนายกองของ กรุงศรีอยุธยา ล้วนเป็นขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ได้เข้ามามีบทบาทในการควบคุมกองทัพทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อแม่ทัพพม่า มังมหานรธา ได้เคลื่อนกองทัพใหญ่มาตั้งอยู่ที่ บ้านกานนี เพื่อรอกองทัพของแม่ทัพเนเมียวสีหบดี ที่กำลังยกกองทัพลงมาทางเหนือ แม่ทัพมังมหานรธา ซึ่งมีกำลังทหารประมาณ ๓๐,๐๐๐ คน ได้ส่งหน่วยปฏิบัติการกองโจรทหารม้าเคลื่อนที่เร็วเข้าปิดล้อมก่อกวน ลอบซุ่มโจมตีทหารไทย อยู่รอบๆกรุงศรีอยุธยา ทหารของขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่มีขีดความสามารถเพียงพอในการทำสงครามสู้รบกับทหารกองทัพพม่า ส่วนขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติ ต่างท้อใจ ประชาชนในราชธานีกรุงศรีอยุธยา ได้อพยพหนีภัยสงครามออกจากกรุงศรีอยุธยา อย่างต่อเนื่อง

เหตุการณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ กองทัพใหญ่พม่า ของ แม่ทัพเนเมียวสีหบดี ได้เดินทัพ ๗๓,๐๐๐ คน จัดกองทัพเป็น ๗๑ กอง เข้าสู่ปากน้ำวัดประสบ เตรียมปะทะกับกองทัพไทย เข้าปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา หลักฐานพงศาวดารคองบอง และพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขาได้บันทึกไว้สอดคล้องตรงกันว่า พระเจ้าเอกทัศ ได้ส่งกองทัพจากกรุงศรีอยุธยา จำนวน ๖๐,๐๐๐ คน นำทัพโดยพระยากลาโหม เป็นแม่ทัพ ไปดักกองทัพเนเมียวสีหบดี ที่ปากน้ำวัดประสบ จัดกองทัพเป็น ๒ กองทัพ ทัพบก มีพระยาธิเบศร์ปริยัติ(พม่าเรียกว่า พระยากูระตี) เป็นแม่ทัพ มีกำลังทหาร ๓๐,๐๐๐ คน รถบรรทุกปืนใหญ่ ๒,๐๐๐ กระบอก กองทัพช้าง ๓๐๐ เชือก ส่วนกองทัพเรือ มีพระยากลาโหม (พม่าเรียกชื่อว่า พระยาคะราน) เป็นแม่ทัพ มีกำลังพล ๓๐,๐๐๐ คน เรือรบ ๓๐๐ ลำ เรือสำปั่น ๓๐๐ ลำ ซึ่งทำหน้าที่บรรทุกปืนใหญ่ ๒,๐๐๐ กระบอก ออกไปสู้รบกับกองทัพพม่า

การรบครั้งนั้น ทหารกองทัพไทย ๖๐,๐๐๐ คน ปะทะกับกองทัพแม่ทัพ เนเมียวสีหบดี ๗๓,๐๐๐ คนที่ปากน้ำวัดประสบ การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด ถึงขั้นตะลุมบอน ฝ่ายกองทัพกรุงศรีอยุธยา สู้กองทัพพม่าไม่ได้ ก็ถอยทัพลงมา พม่ายึดได้ ปืนใหญ่ ช้างม้า เรือรบ และเชลยศึกไว้เป็นอันมาก พม่าสามารถจับพระยากลาโหม เป็นเชลยศึกไว้ได้§-๕ กองทัพของแม่ทัพมังมหานรธา และ ของแม่ทัพเนเมียวสีหบดี ก็เริ่มเคลื่อนทัพเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา แทบทุกด้าน หลังจากนั้นพม่าเริ่มสร้างป้อมค่าย ตั้งมั่นอยู่รอบกรุงศรีอยุธยา ยกเว้นทางทิศใต้ เพราะทหารกรุงศรีอยุธยา พยายามขัดขวางมิให้กองทัพพม่า ปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา ทางทิศใต้ ได้

เหตุการณ์ในขณะนั้นประชาชนในเมืองหลวง และขุนนางพวกราชวงศ์ต่างๆ เริ่มมองเห็นลางร้ายแล้วว่า กรุงศรีอยุธยา น่าจะถูกกองทัพพม่า ยึดครองในเวลาไม่นาน จึงตัดสินใจนำครอบครัวหลบหนีออกไปจากกรุงศรีอยุธยา ไปเป็นจำนวนมาก ในจำนวนผู้อพยพนี้ รวมไปถึง เจ้าฟ้าจุ้ย และ เจ้าฟ้าสังข์ ด้วย เจ้าฟ้าทั้งสอง ได้รับการติดต่อทางลับจาก พระยาไชยารุก นอกราชการ ให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของราชอาณาจักรเสียม-หลอ จึงได้เดินทางไปอยู่อาศัยอยู่กับกรมหมื่นเทพพิพิธ(เจ้าฟ้าแขก) ที่เมืองจันทร์บูรณ์ เพื่อเตรียมตั้งตัวเป็นกษัตริย์ แห่ง ราชอาณาจักรเสียม-หลอ โดยใช้เมืองจันทร์บูรณ์ เป็นราชธานี ตามแผนการที่กำหนด

สถานการณ์ที่กองทัพกรุงศรีอยุธยา ซึ่งพ่ายแพ้ต่อกองทัพพม่า มาโดยตลอดนั้น ทำให้ พระเจ้าเอกทัศน์ สั่งให้เจ้าเมืองต่างๆ ส่งกองทัพมาช่วยรักษากรุงศรีอยุธยา พระยาไชยาบุญชู ก็ได้รับคำสั่งด้วย จึงได้เตรียมนำกองทัพเข้ามาที่กรุงศรีอยุธยา แต่เนื่องจาก พระยาไชยาบุญชู ได้รับข้อมูลจาก พระยาจักรีสิน จึงได้ส่งกองทหารมาทางเรือ มาพักทัพที่เมืองระยอง เพื่อสืบข่าวจาก พระยาระยองบุญเมือง ซึ่งเป็นน้องชายท้องเดียวกันกับ พระยาไชยาบุญชู จึงทราบข่าวว่า พระยาไชยารุก นอกราชการ เชลยศึกพม่า ซึ่งเป็นพี่น้องต่างมารดา ได้ส่ง นายบุญรอด น้องชายนายรุก ผู้รั้งเมืองบางละมุง มาติดต่อกับ นายบุญเมือง ให้ช่วยติดต่อกับพระยาไชยาบุญชู เพื่อให้ช่วยสนับสนุน เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์ ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นกษัตริย์ แห่ง ราชอาณาจักรเสียม-หลอ โดยจะยินยอมเป็นประเทศเมืองขึ้นของพม่า ไปก่อน เพื่อรักษาชีวิตกำลังทหาร และประชาชน แล้วค่อยทำสงครามกอบกู้เอกราช เช่นเดียวกันกับที่สมเด็จพระนเรศวรฯ เคยทำสำเร็จมาแล้ว เป็นที่มาให้ พระยาไชยาบุญชู ต้องเดินทางไปหาข่าวกับนายบุญรอด พี่น้องต่างมารดา ที่เมืองบางละมุง เพื่อซักถามรายละเอียด แล้วเดินทางหลีกหนีทหารพม่า เข้าสู่กรุงศรีอยุธยา ทางทิศใต้

เมื่อพระยาไชยาบุญชู เดินทางเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา ก็พยายามติดต่อขอเข้านมัสการภิกษุพระเจ้าอุทมพร โดยการให้สินบนต่อทหารที่ทำหน้าที่ควบคุมอยู่ จึงมีโอกาสได้เข้าเฝ้าภิกษุพระเจ้าอุทมพร อย่างลับๆ พร้อมกับได้เล่าเหตุการณ์ที่สามารถสร้างกองทัพที่เมืองท่าชนะ ขึ้นสำเร็จแล้ว แต่ เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์ และเจ้าฟ้าแขก จะขึ้นเป็นกษัตริย์ โดยการประสานงานของนายรุก จะขอเป็นเมืองขึ้นต่อราชอาณาจักรพม่า เป็นที่มาให้ ภิกษุพระเจ้าอุทมพร ได้มีพระราชสาสน์ ลับ ฝากผ่าน พระยาไชยาบุญชู ไปมอบให้กับ พระยาจักรีสิน ที่เมืองท่าชนะ ในเวลาต่อมา  

ในขณะที่กองทัพใหญ่ของแม่ทัพมังมหานรธา และ กองทัพใหญ่ของแม่ทัพเนเมียวสีหบดี ได้ส่งหน่วยปฏิบัติการทหารม้า เข้าปล้นสะดม และกวาดต้อนประชาชนชาวไทย เพื่อนำมาทำสัตย์ปฏิญาณดื่มน้ำสาบาน นำมาเป็นไพร่พลช่วยเหลือกองทัพพม่า นั้น ลูกศิษย์ของตาผ้าขาวไชยเวช ซึ่งเคยเป็นสหายกับพระยาจักรีสิน สมัยที่เคยฝึกวิชาตาผ้าขาวมาด้วยกัน ได้รวมตัวกันต่อต้านกองทัพพม่า ซึ่งเรียกกันว่า ศึกบางระจัน แต่การรวมตัวกันครั้งนั้น ขาดการสนับสนุนจากอำนาจรัฐของ กรุงศรีอยุธยา เพราะขุนนางฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง เป็นผู้ครองเมือง ในที่สุดการรวมตัวของชาวบ้านบางระจัน ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อกองทัพพม่า เมื่อประมาณเดือนเมษายน พ.ศ.๒๓๐๙

ตั้งแต่เดือนเมษายน พ..๒๓๐๙ เป็นต้นมา กรุงศรีอยุธยา อยู่ในภาวะวิกฤติ เนื่องจากกองทัพใหญ่ของพม่า พยายามเข้ามาตั้งค่ายทหารถึง ๒๗ ค่ายเพื่อปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา ในขณะที่ทหารพม่า กำลังสร้างป้อมค่าย อยู่นั้น พระเจ้าเอกทัศ ได้ส่งกองทหารของขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ออกต่อสู้หลายครั้งหลายคราว แต่ล้วนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้กลับมาทั้งสิ้น พระเจ้าเอกทัศน์ จึงหวังให้เทวดา ช่วยทำให้ฝนตกหนัก ให้เกิดน้ำท่วมกรุงศรีอยุธยา เพื่อให้กองทัพพม่า ต้องถอนทัพกลับไปเอง

 

ภิกษุพระเจ้าอุทมพร ส่งจดหมายลับ เสนอให้พระยาจักรีสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติ

       เมื่อย้อนเหตุการณ์กลับมาถึงสาเหตุที่ภิกษุพระเจ้าอุทุมพร ตัดสินพระทัยเสนอให้กับ แม่ทัพพระยาจักรีสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติ นั้น เพราะ พระองค์ถูกย้ายมาควบคุมตัวอยู่ในพระราชวังหลวง โดยถูกควบคุมด้วยทหารของพระเจ้าเอกทัศ ซึ่งทราบดีถึงกระแสเรียกร้องของขุนนางอำมาตย์ และประชนฝ่ายรักชาติ ที่ต้องการให้ภิกษุพระเจ้าอุทุมพรขึ้นครองราชย์สมบัติ อีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ช่วยแก้ไขสถานการณ์สงคราม เป็นที่มาให้พระเจ้าเอกทัศน์ ต้องส่งทหารเข้าควบคุมตัวภิกษุพระเจ้าอุทมพร ไว้ตลอดเวลา

พระเจ้าเอกทัศ ได้รับสั่งไว้ว่า ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ก่อการรัฐประหาร ที่จะมีการนำภิกษุพระเจ้าอุทมพร ขึ้นครองราชย์สมบัติ ให้ทหารตัดพระเศียรของภิกษุพระเจ้าอุทมพร ทันที เป็นที่มาให้ขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติ ไม่สามารถปฏิบัติการใดๆได้ เพราะถ้าปฏิบัติการเข้ายึดอำนาจ ก็หมายถึงการสวรรคต ของ ภิกษุพระเจ้าอุทุมพร ทันทีเช่นเดียวกัน ความคิดของขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติ จึงไม่กล้าสุ่มเสี่ยงที่จะทำการก่อการยึดอำนาจกลับคืนให้กับ พระเจ้าอุทมพร

       ภิกษุพระเจ้าอุทมพร ทรงทราบดีว่า แม่ทัพพระยาจักรีสิน เป็นเชื้อสายพระราชวงศ์ เป็นญาติลูกพี่ลูกน้องกับพระองค์ด้วย เพราะสมเด็จเจ้าฟ้าแก้ว ซึ่งเป็นพระราชบิดา ของ พระราชมารดา ของพระองค์ นั้น คือสายราชวงศ์ของ พระยาจักรีสิน ที่มีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะขึ้นครองราชย์สมบัติ แต่เนื่องจากถูกพระเจ้าบรมโกศ ทำตอแหล ใส่ความเท็จ กล่าวหาว่าขโมยแหวนพระธรรมรงค์ เพื่อนำไปประหารชีวิตเสียก่อน เป็นการสร้างความชอบธรรมในการขึ้นครองราชย์สมบัติเสียเอง เหตุการณ์ต่างๆ จึงเปลี่ยนแปลงไป เป็นที่มาให้ภิกษุพระเจ้าอุทุมพร ต้องเสนอให้แม่ทัพพระยาจักรีสิน ผู้เป็นพระเจ้าหลานเธอของสมเด็จเจ้าฟ้าแก้ว ขึ้นครองราชย์สมบัติ เพื่อล้างบาปให้กับพระเจ้าบรมโกศ ผู้เป็นพระราชบิดา โดยเชื่อว่า แม่ทัพพระยาจักรีสิน มีความสามารถเพียงพอที่จะนำพาประชาชนชาวไทย ลุกขึ้นทำสงครามกอบกู้เอกราชชาติไทย กลับคืนได้สำเร็จ ภิกษุพระเจ้าอุทมพร จึงได้ส่งพระราชสาสน์ลับให้กับ แม่ทัพพระยาจักรีสิน ให้เป็นกษัตริย์ เสียเอง

พระยาไชยาบุญชู ได้เก็บรักษาพระราชสาสน์ลับ ของ ภิกษุพระเจ้าอุทมพร เพื่อนำไปส่งมอบให้กับแม่ทัพพระยาจักรีสิน แต่ต้องรออยู่หลายเดือน เพราะไม่สามารถเดินทางออกจากกรุงศรีอยุธยาได้ ต้องรอไปจนถึงหน้าน้ำหลาก ประมาณเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๓๐๙ พระยาไชยาบุญชู จึงสามารถหลบหนีกองทัพพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยาได้ พระยาไชยาบุญชู จึงได้เดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองระยอง และดินทางโดยเรือสำเภามุ่งตรงสู่เมืองไชยา โดยได้เดินทางถึงเมืองท่าชนะ เมื่อเดือนกันยายน พ..๒๓๐๙

ขณะนั้นแม่ทัพพระยาจักรีสิน สามารถสร้างฐานที่มั่นลับทางการทหารเป็นผลสำเร็จถึง ๔ แห่ง คือ ที่เมืองคันธุลี ที่เมืองพุทไธมาศ และ ที่เมืองเบตุง และเมืองโกลี-โกลก(สุไหงโกลก) สามารถสร้างกองทัพเรือใหม่ ขึ้นมาสำเร็จแล้ว มีอาวุธปืนพร้อมทำสงครามจำนวนมาก เมื่อพระยาจักรีสิน ได้รับพระราชสาสน์ลับ จาก ภิกษุพระเจ้าอุทมพร ที่ฝากผ่านมาทาง พระยาไชยาบุญชู ภิกษุพระเจ้าอุทุมพรได้มีพระราชสาสน์ มายังแม่ทัพพระยาจักรีสิน เสนอให้พระยาจักรีสิน ทำพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นกษัตริย์ ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ ทั้งนี้เพราะพระยาจักรีสิน เป็นพระเจ้าหลานเธอ ของ สมเด็จเจ้าฟ้าแก้ว จึงมีสิทธิ์ที่จะขึ้นครองราชย์สมบัติ เพื่อเป็นผู้นำในการทำสงครามกอบกู้เอกราช ในอนาคต เพราะเชื่อแน่ว่า กรุงศรีอยุธยา ต้องเสียทีแก่พม่า อย่างแน่นอน และหลังจากนั้น เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์ และ เจ้าฟ้าแขก จะตั้งตนเป็นกษัตริย์ และจะนำราชอาณาจักรเสียม-หลอ ไปเป็นเมืองขึ้นของพม่า อย่างแน่นอน

 

ภาพที่-๑๘    ภาพสามง่าม หรือ อาวุธกรี เป็นสัญลักษณ์อาวุธชนิดหนึ่ง กับ จักรทองคำ เรียกรวมกันว่า จักรี จะมีครอบครองในตำแหน่งของ พระยาจักรี เท่านั้น อาวุธชิ้นนี้ พระเจ้าเอกทัศ มอบให้พระยาจักรีสิน เมื่อได้รับตำแหน่ง พระยาจักรี และพระยาจักรีสิน ได้นำอาวุธนี้ติดตัวมาที่กรุงคันธุลี ด้วย กล่าวกันว่า ทุกครั้งที่พระยาจักรีสิน เรียกขุนนางอำมาตย์ และ ทหาร เข้าร่วมประชุมที่สำคัญ พระยาจักรีสิน จะนำอาวุธจักรี มาแสดงด้วย อาวุธโบราณนี้ ต่อมาเก็บรักษาไว้ที่บ้าน นายนิคม ถาวรเศรษฐ ภาพนี้ถ่ายร่วมกับ อาจารย์สมคิด ถาวรเศรษฐ บุตรชายคนหนึ่งของ นายนิคม

 

       พระยาจักรีสิน ซึ่งมิได้คาดคิดมาก่อนว่าตนเองจะต้องขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นกษัตริย์กอบกู้เอกราชปกครองราชอาณาจักรเสียม-หลอ แม้ว่าจะมีโหราจารย์ หลายท่านได้เคยทำนายทายทักไว้ว่าพระองค์จะเป็นกษัตริย์ในอนาคต แต่พระองค์ก็คิดเพียงว่าคงจะเป็นกษัตริย์ของแว่นแคว้นหนึ่งแว่นแคว้นใดของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ เท่านั้น การมุ่งมั่นสร้างกองทัพเรือลับที่เมืองท่าชนะ นั้น เป็นการมุ่งมั่นเพียงเพื่อนำกองทัพไปตีโอบล้อมกองทัพพม่า และถวายราชสมบัติกลับคืนให้กับพระเจ้าอุทุมพร เท่านั้น

ข้อเสนอตามพระราชสาสน์ลับ ของ ภิกษุพระเจ้าอุทมพร กลายเป็นปฐมเหตุที่ทำให้ พระยาจักรีสิน พวกเชื้อสายราชวงศ์ แม่ทัพนายกอง และกลุ่มขุนนางอำมาตย์ ต่างๆ ที่มาร่วมสร้างฐานที่มั่นทางการทหารอยู่ที่เมืองท่าชนะ ต้องมาโต้เถียงกันที่ดอนเจ้าตาก เพื่อพิจารณาว่า พระยาจักรีสิน สมควรที่จะขึ้นครองราชย์สมบัติ เป็นกษัตริย์ปกครอง ราชอาณาจักรเสียม-หลอ ในรัชกาลต่อไปหรือไม่

 

 


 

 

 

เชิงอรรถ

§-   พลตรีจรรยา ประชิตโรมรัน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่ ๑ พ.ศ.๒๕๓๗ หน้าที่ ๑๖-๑๘ และ พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่มที่ ๑ พ.ศ.๒๕๓๕ จัดพิมพ์โดยกรมศิลปากร หน้าที่ ๑๔๙

 

§-   พลตรีจรรยา ประชิตโรมรัน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่ ๑ พ.ศ.๒๕๓๗ หน้าที่ ๑๙-๒๐ และ พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่มที่ ๑ พ.ศ.๒๕๓๕ จัดพิมพ์โดยกรมศิลปากร หน้าที่ ๑๔๙

        จากหลักฐานดังกล่าวจะสังเกตเห็นว่า การรบของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ นั้น ล้วนเป็นการรบด้วยอาวุธปืนทั้งสิ้น แต่การสร้างภาพเขียน ที่ปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลัง มักจะทำให้ประชาชนเข้าใจว่า เป็นการรบด้วยหอกดาบ ทั้งสิ้น แม้กระทั่ง ภาพยนตร์ ที่เกี่ยวกับพระราชประวัติ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่สร้างปรุงแต่งขึ้นมาในปัจจุบัน ก็มักจะสร้างภาพให้เห็นว่า เป็นการรบด้วยหอกดาบ เช่นกัน การสร้างภาพความเข้าใจดังกล่าวจึงขัดแย้งกับหลักฐานเบื้องต้นทางประวัติศาสตร์ สร้างความสับสนให้กับคนไทยในปัจจุบัน อย่างมาก

 

§-    ปืนลูกซอง ผลิตขึ้นครั้งแรกโดยชาติโปรตุเกส ต่อมามีการผลิต ปืนลูกซองตับ คือปืนกลลูกซองตับ สมัยโบราณ ผลิตครั้งแรกขึ้นโดยประเทศฮอลันดา การที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มีปืนกลลูกซองตับ ใช้งานแล้วนั้น แสดงให้เห็นว่า กองพันทหารม้าพระยาตากสิน มีอาวุธที่ทันสมัยกว่ากองทหารอื่นๆ ซึ่งขณะนั้นใช้เพียงปืนนกสับ และดาบ เท่านั้น เชื่อว่า ปืนกลลูกซองตับ นั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นผู้ผลิตขึ้นใช้เองที่ เมืองคันธุลี นั่นเอง จากหลักการการรบ ณ สมรภูมิวัดป่าแก้ว กองทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็น พระยายมราชสิน มีพลปืนฝรั่ง อยู่ร่วมในกองทัพของ พระยายมราชสิน ด้วย

 

§-   พลตรีจรรยา ประชิตโรมรัน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่ ๑ พ.ศ.๒๕๓๗ หน้าที่ ๒๑-๒๕

        พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา และ หนังสืออื่นๆ เกี่ยวกับพระราชประวัติ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มักจะสร้างภาพให้เข้าใจว่า หลังจากการยึดครองเมืองระยองเรียบร้อยแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ก็ได้เคลื่อนกองทัพเข้ายึดครองเมืองจันทร์บูรณ์ เป็นเมืองต่อไป ทั้งๆ ที่การยึดครองเมืองระยองเกิดขึ้นเมื่อกลางเดือนมกราคม พ.ศ.๒๓๐๙ ส่วนการยึดครองเมืองจันทร์บูรณ์ นั้นเกิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๓๑๐ เป็นเวลาต่างกัน ๑๕ เดือน ช่วงเวลาที่ขาดหายไป ยังเป็นข้อสงใสของนักประวัติศาสตร์ มาจนถึงปัจจุบัน

 

§-   พลตรีจรรยา ประชิตโรมรัน การเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๐ สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์ครั้งที่ ๓ พ.ศ.๒๕๓๗ หน้าที่ ๑๑๑-๑๑๓

การรบที่ปากน้ำประสบ นั้น แสดงถึงความอ่อนแอ ของ กองทัพราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา เป็นอย่างมาก เปรียบเสมือนกับการนำอาวุธไปเพิ่มเติมให้กับกองทัพพม่า เพราะการรบครั้งนั้น กองทัพพม่า สามารถยึดได้ ปืนใหญ่ ช้างม้า เรือรบ และเชลยศึกไว้เป็นอันมาก มีข้อสังเกตว่า การรบกับพม่า ในสมรภูมิ นอกเมือง นั้น กองทัพสยามพ่ายแพ้กองทัพพม่า มาโดยตลอด ยกเว้นการรบที่ สยามปักษ์ใต้ เท่านั้น ที่กองทัพพม่า พ่ายแพ้กองทัพสยาม อย่างยับเยิน ดังนั้นการที่มีความพยายามปรุงแต่งเรื่องราวขึ้นมาในภายหลังว่า ที่รบแพ้ เพราะ พระเจ้าเอกทัศ เกรงใจสาวสนมกรมวัง ตกใจเสียงปืนใหญ่ จึงไม่ให้ยิงปืนใหญ่ จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง

 

 


 

 

 

 

                                                                                        บทที่ ๙

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สมัย ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี

 

สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เข้าใจประวัติตศาสตร์ชนชาติไทย อย่างไร?

         สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เชื่อในเรื่องราวประวัติศาสตร์ชนชาติไทยในดินแดนสุวรรณภูมิ สรุปว่า กษัตริย์ของชนชาติไทย นั้นล้วนเป็นเชื้อสายราชวงศ์โคตะมะ หรือเป็นเชื้อสายราชสกุลของพระพุทธเจ้า รัฐของชนชาติไทยจึงเป็นรัฐทางพระพุทธศาสนา ที่ปกครองดินแดนสุวรรณภูมิ มาอย่างยาวนานมาแล้ว โดยรัฐของชนชาติไทยได้เกิดขึ้นในดินแดนสุวรรณภูมิ มามากกว่า ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว และได้เกิดการเปลี่ยนแปลง ครั้งใหญ่เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช ได้นำพระพุทธศาสนา เข้ามาเผยแพร่ในดินแดนสุวรรณภูมิ และเมื่อ พระเจ้าสุมิตร(พวกโพธิ์ หรือ ปู่) ซึ่งเป็นพระเจ้าหลานเธอ ของ พระเจ้าอโศกฯ ได้มาอภิเษกสมรส กับ เจ้าหญิงไทย คือ พระนางเม่งกุ้ย แซ่เชียง หรือ เชียงเม่งกุ้ย(พวกพระเจ้าตา หรือ ตา) จนกระทั่งได้มีพระราชโอรสหลายพระองค์มาเป็นกษัตริย์ปกครองดินแดนสุวรรณภูมิจึงเป็นที่มาของกษัตริย์ไทยราชวงศ์โคตะมะ หรือ ราชวงศ์ขอม มาเป็นผู้ปกครองดินแดนสุวรรณภูมิ ตังแต่นั้นมา

          พระเจ้าสุมิตร ถือเป็นต้นราชวงศ์ของกษัตริย์ราชวงศ์โคตะมะ ซึ่งต่อมาถูกประชาชนเรียกเพี้ยนเป็น ราชวงศ์โคมะ และถูกเรียกเพี้ยนต่อมาเป็น กษัตริย์ราชวงศ์ขอม เป็นผู้นำระบบการปกครองระบบ สหราชอาณาจักร มาใช้ปกครองชนชาติไทยในดินแดนสุวรรณภูมิ การปกครองแบบ สหราชอาณาจักร นั้นเป็น รูปแบบการปกครองหนึ่งในระบบธรรมาธิปไตย แตกต่างกับรูปแบบการปกครองแบบ มหาอาณาจักร และ ราชอาณาจักร ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการปกครองในระบบราชาธิปไตย

          การปกครองแบบ สหราชอาณาจักร นั้นคือการนำ ราชอาณาจักรต่างๆ หลายๆ ราชอาณาจักร มา ปกครองร่วมกัน มีคณะมนตรี ทำหน้าที่บริหารประเทศ มีตำแหน่งบริหารที่สำคัญ ๓ ตำแหน่ง คือ มหาจักรพรรดิ(พระอินทร์) จักรพรรดิ(พระพรหม) นายก(พระยม) เป็นผู้นำของที่ประชุมคณะมนตรี และเป็นผู้เชื่อมประสานระหว่าง ราชอาณาจักรต่างๆ ซึ่งปกครองโดย มหาราชา(พระนารายณ์) มหาอุปราช(ท้าวเวชสุวรรณ) และ ราชา(ท้าวไชยมงคล) ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยมีสภาเจ้าตาขุน ทำหน้าที่ทางด้านนิติบัญญัติ คือการออกกฎหมาย ให้สังคมอยู่ร่วมกันได้ ข้อดีมากของระบบการปกครองแบบ สหราชอาณาจักร เพราะมี สภาโพธิ ซึ่งเป็นองค์กรของพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่ เป็นดุลถ่วงอำนาจในการใช้อำนาจบริหาร ให้ดำเนิน ไปอย่างมีศีลธรรม

          ระบบการปกครองแบบ สหราชอาณาจักร นั้น จะมีสภาโพธิ เป็นดุลถ่วงกับอำนาจบริหาร อำนาจ นิติบัญญัติ และ อำนาจตุลาการ ด้วย สมาชิกของสภาโพธิ คือพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งเชื่อว่าได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ สภาโพธิจะเป็นองค์กรผู้เชื่อมโยงระหว่างรัฐ กับประชาชน จะเป็นดุลถ่วง กับ อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ มิให้มีการใช้อำนาจเกินขอบเขต สภาโพธิ ยังมีอำนาจในการเสนอแต่งตั้ง หรือ ปลดออก ตำแหน่งบริหารสำคัญทุกๆ ตำแหน่ง รวมถึง สมาชิกคณะมนตรี ที่ทำหน้าที่ในการบริหารด้วย การทำพิธีบรมราชาภิเษก จึงต้องสาบานตนต่อหน้าสมาชิกสภาโพธิ และต่อดวงวิญญาณบรรพชนกษัตริย์ไทยโบราณ ด้วย

          การปกครองแบบ สหราชอาณาจักร ในระยะแรกๆ นั้น ราชธานี จะเปลี่ยนแปลงแทบทุกๆ รัชกาล ตามเมืองที่ประทับว่าราชการ ของ มหาจักรพรรดิพระองค์ใหม่ แต่ต่อๆ มา ระบบการปกครองแบบ สหราชอาณาจักร นั้น ได้ถูกปรับปรุงให้ราชธานี ตั้งอยู่ประจำที่ เพื่อความเข้าใจต่อ ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย ผู้ปกครองดินแดนสุวรรณภูมิ ที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เคยเข้าใจ และนำมากำหนดยุทธศาสตร์เพื่อทำ สงครามกู้ชาติ นั้น สามารถแบ่งออกเป็นหลายสมัย ดังนี้

(๑) สมัย สหราชอาณาจักรเทียน

 

ภาพที่-๑๙ เทวรูปท้าวกุเวร มหาจักรพรรดิพระองค์แรก ของ สหราชอาณาจักรเทียน เทวรูปนี้ ขุด พบในบริเวณถ้ำคูหา จ.ยะลา แล้วมีผู้ลักลอบขายให้กับชาวฝรั่งเศส ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ สถานแห่งชาติ ฝรั่งเศส

          สหราชอาณาจักรเทียน เกิดขึ้นหลังจากชนชาติกลิงค์ และ ชนชาติโจฬะ จากประเทศอินเดีย อพยพมาตั้งรกรากในดินแดนสุวรรณภูมิ และดินแดนเกษียรสมุทร ส่งผลให้เกิดสงครามระหว่างท้าวกู กับ ท้าวหมึง ซึ่งเป็นที่มาของสรรพนามคำไทยคำว่า กู และ มึง ตั้งแต่นั้นมา ภายหลังจากสงคราม ท้าวกุเวร พระราชโอรส ของ ท้าวกู ได้ขึ้นครองราชย์เป็น มหาจักรพรรดิ ในระบบการปกครองแบบ สหราชอาณาจักร เป็นพระองค์แรก ของชนชาติไทย ในดินแดนสุวรรณภูมิ เมื่อประมาณปี พ.ศ.๓๐๑ ซึ่งได้นำพระพุทธศาสนา มาใช้เป็นศาสนาประจำชาติของชนชาติไทย ในดินแดนสุวรรณภูมิ ตั้งแต่นั้นมา

          สหราชอาณาจักรเทียน มีมหาจักรพรรดิ ปกครองต่อเนื่องหลายพระองค์ และมีมหาจักรพรรดิ จำนวนห้าพระองค์ที่ได้สละราชสมบัติออกผนวช จนกระทั่ง ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ สหราชอาณาจักรเทียนได้ยุติลงเมื่อปี พ.ศ.๖๒๓ คือปีที่กำเนิดปีศกศักราช-๑ ที่ถูกนำมาใช้กับชนชาติไทย เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีการสร้างเทวรูปขึ้นมาใช้บวงสรวงเซ่นไหว้แต่ต่อมาได้มีการสร้างเทวรูป พระแก้วมรกต ขึ้นมาใน ภายหลังเพื่อใช้เป็นที่สิงห์สถิต ของ ดวงพระวิญญาณมหาจักรพรรดิแห่ง สหราชอาณาจักรเทียน ห้าพระองค์ ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ในภายหลัง การทำความเข้าใจเรื่องนี้ ก็เพื่อนำไปสู่การสร้างความเข้าใจเรื่องราว ต่างๆ เมื่อ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้อัญเชิญพระแก้วมรกต มาจากกรุงเวียงจันทร์ ราชอาณาจักรลาว มาใช้ เป็น เทวรูป ประจำชาติ ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี ในเวลาต่อมา

(๒) สมัย สหราชอาณาจักรเทียนสน

          เกิดขึ้นเนื่องจากเกิดสงครามระหว่าง สหราชอาณาจักรเทียน กับ มหาอาณาจักรจีน ในการแย่งชิง ดินแดนอาณาจักรไตจ้วง และ อาณาจักรอ้ายลาว กลับคืนจากการยึดครอง ของ มหาอาณาจักรจีน ผลของสงครามครั้งนั้นทำให้ จักรพรรดิท้าวสิงห์ราช ได้สร้างกองทัพโพกผ้าเหลือง ขึ้นมาในดินแดนราชอาณาจักรอ้ายลาว แล้วขยายสงครามโพกผ้าเหลือง ไปยังดินแดน ราชอาณาจักรไตจ้วง จนสามารถทำสงครามยึดครองดินแดน ราชอาณาจักรอ้ายลาว และ ราชอาณาจักรไตจ้วง กลับคืนเป็นผลสำเร็จ

          จักรพรรดิท้าวสิงห์ราช ยังสามารถส่งกองทัพเข้ายึดครองดินแดนเกษียรสมุทร คือดินแดนหมู่เกาะสุมาตรา หมู่เกาะชวา หมู่เกาะบอร์เนียว และ หมู่เกาะฟิลิปปินส์ ในปัจจุบัน เข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของ สหราชอาณาจักรเทียน เป็นผลสำเร็จ เมื่อปี พ.ศ.๖๒๓ พร้อมๆ กับการสวรรคตของมหาจักรพรรดิพระองค์ สุดท้ายของ สหราชอาณาจักรเทียน เป็นที่มาให้ มหาจักรพรรดิท้าวสิงห์ราช ขึ้นครองราชย์สมบัติ

         เมื่อท้าวสิงห์ราช ขึ้นครองราชย์ใหม่ จึงได้ประกาศเปลี่ยนชื่อ สหราชอาณาจักรเทียน เป็น สหราช อาณาจักรเทียนสน เมื่อปีศกศักราชที่-๑(พ.ศ.๖๒๓) ได้ครองราชย์สมบัติอยู่หลายปี แล้วสละราชสมบัติออก ผนวชจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ และได้พระนามใหม่เมื่อสวรรคตว่า พระพุทธสิหิงค์ มีการสร้างเทวรูป ขึ้น จำลองกษัตริย์ไทย ขึ้นครั้งแรก และเป็นการใช้คำนำหน้าว่า พระพุทธ สำหรับกษัตริย์ที่สละราชสมบัติออก ผนวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์ จนกลายเป็นราชประเพณีสืบทอดต่อมา อีกด้วย

          สหราชอาณาจักรเทียนสน มีมหาจักรพรรดิ พระองค์ต่อๆ มาปกครองได้อีกหลายพระองค์ ก็ล่มสลายลงเมื่อปี พ.ศ.๖๙๓หลังจากนั้น ขุนเทียน กษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทร์วงศ์พระองค์แรก ได้ให้กำเนิด สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ขึ้นมาแทนที่

(๓) สมัย สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ

         เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๖๙๓ สาเหตุจาก มหาอาณาจักรจีน เข้าแทรกแซงกิจการภายใน ของ สหราช อาณาจักรเทียนสน เนื่องจากชนชาติไทยในดินแดนมหาอาณาจักรจีน ได้ขยายสงครามโพกผ้าเหลือง จาก ราชอาณาจักรไตจ้วง ออกไปทั่วดินแดนที่ชนชาติไทยเคยครอบครองมาก่อน เพื่อทำสงครามยึดครอง ดินแดนชนชาติไทยกลับคืน ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองทั่วดินแดนของ มหาอาณาจักรจีน และต้องแตกแยกออกเป็นสามก๊ก ตามเรื่องราววรรณคดีสามก๊ก ของ ประเทศจีน โดยมีก๊กซุนกวน เป็นผู้ครอบครอง ดินแดนของชนชาติไทยมาแต่ดังเติม เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งต้องการครอบครองดินแดนที่ตนเองปกครองไว้ จึง ได้พยายามทำสงครามกับ สหราชอาณาจักรเทียนสน โดยนำชนชาติทมิฬโจฬะ จากเกาะอาแจ๊ะ(สุมาตรา) เข้ามายึดครองดินแดน ราชอาณาจักรคามลังกา และได้นำชนชาติกลิงค์ จากเกาะชวาเข้ามายึดครองเมือง สุวรรณภูมิ ของ ราชอาณาจักรชวาทวีป(ภาคใต้ตอนบน) สำเร็จ

          ขุนเทียน กษัตริย์ชนชนชาติไทยราชวงศ์ไศเลนทร์วงศ์ เป็นผู้ทำสงครามปราบปรามจนสำเร็จ แต่ทำให้ราชวงศ์โคตะมะ(ขอม) แตกออกเป็นสองสาย คือ สายราชวงศ์กษัตริย์เชิงภูเขา และ กษัตริย์ราชวงศ์ขอม-ฆ่าแม่(เขมร) เป็นที่มาให้เกิด สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กรุงพนม ขึ้นมาแทนที่ สหราชอาณาจักรเทียนสน มี มหาจักรพรรดิขุนเทียน เป็นมหาจักรพรรดิ พระองค์แรก มีราชธานีอยู่ที่เชิงภูเขาพนมเบญจา จ.กระบี่ ใน ปัจจุบัน มีมหาจักรพรรดิ ปกครองดินแดนสุวรรณภูมิ และ ดินแดนเกษียรสมุทร สืบทอดกันมาอีกหลายร้อยปี เมืองราชธานี จะเปลี่ยนแปลงทุกรัชกาล

          เมืองที่เคยเป็นราชธานีของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ คือ พนม(กระบี่), เพ่นพ่าน(พุนพิน), ราชคฤห์ (ราชบุรี), คันธุลี(ท่าชนะ), ศรีโพธิ์(ไชยา), ลังกาสุกะ(ปัตตานี), โพธิกลิงค์ตัน(กันตัง), หลังยะสิ่ว(สมุทรสาคร) และ เมืองธารา(บ้านนาเดิม) ประกอบด้วยกษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทร์วงศ์ ๖ ราชวงศ์ทำการปกครอง คือ ราชวงศ์ขุนเทียน ราชวงศ์เทียนเสน ราชวงศ์โคตะมะ ราชวงศ์หยาง-โคตะมะ ราชวงศ์ขุนหลวงใหญ่ไกลโศก และ ราชวงศ์อู่ทอง สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ได้อ่อนแอลงเมื่อมหาอาณาจักรจีนทำสงครามรุกราน และชนชาติไทย ทำตอแหล ใส่ความเท็จกล่าวหาซึ่งกันและกัน ทำให้คนไทยเกิดการแตกแยกกันเอง

          ในปลายสมัยของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ สมัยราชวงศ์ไศเลนทร์วงศ์ สายราชวงศ์ขุนหลวงใหญ่ไกลโศก พระยากง ได้ก่อกบฏ โดยได้ร่วมมือกับ รัฐชนชาติมอญ ร่วมกันจัดตั้ง สหราชอาณาจักรทวาราวดี แยกตัวออกมาจาก สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ทำให้ชนชาติไทย ต้องทำสงครามกันเอง คือ สงครามท่าชนะ และ สงครามพระยากง-พระยาพาน เนื่องจาก พระยาพาน(ท้าวอู่ทอง) เป็นแม่ทัพใหญ่ ของ สหราช อาณาจักรคีรีรัฐ สามารถทำสงครามปราบปราม สหราชอาณาจักรทวาราวดี เป็นผลสำเร็จ สามารถรวบรวม ดินแดนสุวรรณภูมิ รวมเป็นปึกแผ่นอีกครั้งหนึ่ง แต่ทำให้ชนชาติมอญเข้มแข็งขึ้นมาก

          ในปลายสมัยของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ รัฐชนชาติมอญ หรือชนชาติกลิงค์ ได้ร่วมมือกับรัฐของ ชนชาติทมิฬโจฬะ ทำสงครามยึดครองดินแดนสุวรรณภูมิไปครอบครอง คือสงครามแย่งนาง ไทยต้องเสีย ดินแดนของ ราชอาณาจักรยวนโยนกเชียงแสน เกิดสงครามทุ่งไหหิน ไทยต้องเสียดินแดนราชอาณาจักรอ้ายลาว เกิดสงครามแย่งม้า ไทยต้องเสียดินแดนราชอาณาจักรละโว้ และ เกิดสงครามแย่งช้าง ไทยต้องเสีย ดินแดนราชอาณาจักรมาลัยรัฐ ทำให้ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ได้ล่มสลายลง และได้กำเนิด สหราชอาณาจักร ศรีโพธิ์(เสียม) กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ขึ้นมาแทนที่เมื่อปี พ.ศ.๑๒๒๔ ซึ่งฝรั่งเรียกชื่อว่า อาณาจักรศรีวิชัย นั่นเอง

 (๔) สมัย สหราชอาณาจักรเสียม กรุงศรีโพธิ์(ไชยา)

          เกิดขึ้นจากผลของการทำสงครามกอบกู้เอกราช ของกษัตริย์สามพี่น้อง ซึ่งเป็นพระราชโอรส ของ ท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) คือ เจ้าชายหะนิมิต(พ่ออู่ทอง) เจ้าชายศรีไชยนาท(ตาม้ากลิงค์ หรือ สวัสดีศรีธรรมราช) และ เจ้าชายราม(จตุคามรามเทพ) ได้ใช้กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) เป็นที่ตั้งราชธานี โดยไม่เปลี่ยนย้ายที่ตั้งราชธานี บ่อยครั้ง กษัตริย์สามพี่น้อง สามารถทำสงครามกอบกู้เอกราช สามารถทำสงครามยึดครองดินแดน สุวรรณภูมิกลับคืนเป็นผลสำเร็จ พร้อมกับได้ประกาศตั้ง สหราชอาณาจักรเสียม กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ขึ้นมา เมื่อวันสงกรานต์ปี พ.ศ.๑๒๒๔ ซึ่งเป็นที่มาให้ยึดถือว่า วันสงกรานต์เป็นวันชาติของชนชาติไทยใน ดินแดนสุวรรณภูมิ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

          ต่อมา มหาจักรพรรดิ แห่ง สหราชอาณาจักรเสียม กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) สืบทอดมาได้ ๘ รัชกาล ก็เกิดสงครามแย่งชิงอำนาจกันเอง เรียกกันว่า สงครามระหว่างพวกคุณ และ พวกแก ตั้งแต่ปี พ.ศ.๑๓๖๙ กลายเป็นสงครามยืดเยื้อประมาณ ๔๘ ปี เป็นที่มาของสรรพนามคำไทยคำว่าคุณและแก สงครามครั้งนั้น ฝ่ายพวกคุณ ประกอบด้วย พ่อคุณธรรม(พ่อพระใหญ่) พ่อคุณลณพ พ่อคุณอรรณพ ส่วนฝ่ายพวกแก คือ พ่อศรีพาลบุตร ผลของสงคราม มหาจักรพรรดิพ่อคุณอรรณพ เป็นฝ่ายชนะสงครามเมื่อปี พ.ศ.๑๔๑๗

          ผลของสงครามระหว่างพวกคุณ และพวกแก นั้น ทำให้ราชอาณาจักรต่างๆ ภายใต้การปกครองของ สหราชอาณาจักรเสียม แตกความสามัคคี ประกาศแยกตัวออกเป็นอิสระ ทั่วหน้า ราชอาณาจักรพม่า ก็ เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว โดยที่ชนชาติทิเบต แห่ง ราชอาณาจักรมิเชน ได้ส่งกองทัพเข้ายึดครอง ราชอาณาจักรศรีชาติตาลู ซึ่งเคยเป็นราชอาณาจักรหนึ่ง ของชนชาติไทย ไปครอบครอง ต่อมาเมื่อถูกปราบปราม กษัตริย์พม่า ชนชาติทิเบต ก็ได้สามัคคีกับ รัฐของชนชาติทมิฬโจฬะ เพิ่มความเข้มแข็งขึ้นมาก สามารถทำสงครามขยายดินแดนออกไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นราชอาณาจักรพม่า ที่เข้มแข็งในเวลาต่อมา

(๕) สมัย สหราชอาณาจักรสามโพธิ์ กรุงสานโพธิ์(ไชยา)

          เกิดขึ้นหลังจากที่ มหาจักรพรรดิพ่อคุณอรรณพ ทำสงครามชนะ มหาจักรพรรดิพ่อศรีพาลบุตร และ ได้ทำการรวบรวมดินแดนสุวรรณภูมิ และ ดินแดนเกษียรสมุทร ที่เคยแตกแยกให้รวมตัวเป็นปึกแผ่นอีกครั้งหนึ่ง อีกทั้งได้มีการอภิเษกสมรสระหว่างกษัตริย์ราชวงศ์เชิงภูเขา กับ กษัตริย์ราชวงศ์ศรีลังกา จึงเกิดรัฐทางพุทธศาสนา ขึ้นมาใหม่สามรัฐใหญ่ เรียกว่า สหราชอาณาจักรสามโพธิ์ มีราชธานีอยู่ที่ กรุงสานโพธิ์(ไชยา) ประกอบด้วย สหราชอาณาจักรเสียม กรุงสานโพธิ์(ไชยา) ทำหน้าที่ปกครองดินแดนสุวรรณภูมิ สหราช อาณาจักรโพธิกลิงค์บัง กรุงโพธิกลิงค์บัง(ปาเล็มบัง) ทำหน้าที่ปกครองดินแดนเกษียรสมุทร และ สหราช อาณาจักรศรีลังกา ทำหน้าที่ปกครองดินแดนเกาะศรีลังกา

          ต่อมาในรัชสมัย มหาจักรพรรดิพ่อศรีจุฬา ขึ้นครองราชย์สมบัติ ข้าศึกได้เข้ายึดครองราชอาณาจักรละโว้ และประกาศแยกตัวไม่ขึ้นต่อ สหราชอาณาจักรเสียม เป็นที่มาให้ มหาจักรพรรดิพ่อศรีจุฬา ได้ส่งกองทัพเข้าปราบปรามยึดครองราชอาณาจักรละโว้ กลับคืนมาเป็นผลสำเร็จ พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อ สหราชอาณาจักรเสียม ผู้ปกครองดินแดนสุวรรณภูมิเป็น สหราชอาณาจักรเสียม-ละโว้ซึ่งประเทศจีนเรียกเทียน เป็น เสียม-หลอฮู และต่อมาชาวจีนนิยมเรียกสั้นๆ ว่า เสียม-หลอ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๑๕๐๔ เป็นต้นมา

          สหราชอาณาจักรสามโพธิ์ กรุงสานโพธิ์ มีมหาจักรพรรดิ ปกครองที่กรุงสานโพธิ์(ไชยา) สืบทอด กันมาถึงปี พ.ศ.๑๗๕๘ ก็ถูกกองทัพมุสลิม ของ เจงกิสข่าน ร่วมกับ กองทัพของพระเจ้าชัยวรมันที่-๗ ทำ สงครามเข้ายึดครองกรุงสานโพธิ์(ไชยา) พร้อมกับได้ทำการเผาพระราชวังหลวง บริเวณภูเขาสุวรรณคีรี (ภูเขาน้ำร้อน) เหลือแต่เศษซากอิฐโบราณเท่านั้น ราชอาณาจักรละโว้ ก็เสียเอกราชให้กับพระเจ้าชัยวรมันที่- ๗ ในช่วงเวลาดังกล่าวเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นไม่นาน สหราชอาณาจักรสามโพธิ์ กรุงสานโพธิ์ ก็ล่มสลาย เมืองสานโพธิ์ ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น เมืองศรีโพธิ์(ไชยา) อีกครั้งหนึ่ง

(๖) สมัย สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ

           เป็นสมัยที่เหลือเฉพาะดินแดนสุวรรณภูมิ เป็นสมัยที่เกิดการสับเปลี่ยนที่ตั้งราชธานี ไม่ตั้งอยู่ประจำที่ เนื่องจากผลของสงคราม โดยราชธานี จะเปลี่ยนไปมา ระหว่าง กรุงศรีโพธิ์(ไชยา), กรุงสุโขทัย, กรุงศรีอยุธยา, กรุงละโว้, กรุงสุพรรณบุรี และ กรุงคันธุลี สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๑๗๗๘ เป็นต้นมา โดยที่พระยามาฆะชวากะ พยายามฟื้นกรุงศรีโพธิ์ขึ้นมาเป็นราชธานี อีกครั้งหนึ่ง พระองค์ขึ้นครองราชย์ได้เพียง ๑ ปี ก็ไปสวรรคตในสงครามที่เกาะศรีลังกา

          ต่อมา พระยาร่วง ซึ่งเป็นพี่น้องต่างมารดา เป็นผู้สืบทอดราชย์สมบัติต่อมา มีมหาจักรพรรดิ อีก หลายพระองค์ ขึ้นครองราชย์สมบัติ โดยมีราชธานีเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากสภาวะของสงครามที่ข้าศึก พยายามยึดครองดินแดนสุวรรณภูมิ ต่อมา สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ ได้ล่มสลายลงในปี พ.ศ.๑๙๕๕ โดย ที่เจ้านครอินทร์ ทรยศต่อชนชาติไทย ด้วยการนำกองทัพมุสลิม ของ นายพลเจิ้งหัว เข้ายึดครองกรุงศรีโพธิ์ (ไชยา)เป็นผลสำเร็จ และได้นำมหาจักรพรรดิพระองค์สุดท้ายคือ สมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์ ไปสำเร็จ โทษที่ กรุงนานกิง ประเทศจีน เมื่อปี พ.ศ.๑๙๕๕*"

          หลังจาก สหราชอาณาจักรเสียม-หลอ ล่มสลายลงเมื่อปี พ.ศ.๑๙๕๕ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กลายเป็นราชอาณาจักรเล็กๆ ในดินแดนสุวรรณภูมิ ราชอาณาจักรของชนชาติไทย อื่นๆ ที่ตั้งอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิ ได้ประกาศแยกตัวออกไปปกครองอิสระ บางราชอาณาจักร และบางแว่นแคว้น ก็ถูกข้าศึกชนชาติอื่นๆ เข้าครอบครอง มีดินแดนลดลงไปเรื่อยๆ

(๗) สมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา

          เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.๑๙๕๕ เมื่อเจ้านครอินทร์ ขึ้นครองราชย์สมบัติ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา ก็สั่งรื้อกำแพงเมืองศรีโพธิ์(ไชยา) ไปใช้ที่กรุงศรีอยุธยา สั่งยกเลิกระบบการปกครองแบบ สหราชอาณาจักร สั่งเลิกสภาโพธิ สั่งเลิกกษัตริย์ที่เคยปกครอง ราชอาณาจักรเสียม ดินแดนภาคใต้มาตั้งแต่สมัยโบราณ ใช้ระบบแต่งตั้งเจ้าเมือง เข้ามาปกครองเมืองต่างๆ ในดินแดนภาคใต้แทนที่ ประชาชนชาวศรีโพธิ์ (ไชยา) ก็ถูกกวาดต้อนไปอาศัยที่บางพลัด เมืองธนบุรี ประชาชนชาวกรุงศรีโพธิ์ ที่ต้องอพยพไปอยู่ที่บางพลัด ไม่พอใจกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ในเวลาต่อมา ได้เขียนคำกลอนสาปแช่ง กษัตริย์ราชวงศ์เจ้านครอินทร์ ไปติดไว้ที่กำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยา เป็นคำกลอนสาปแช่งที่บอกเล่าสืบทอดต่อๆ กันมา จนถึงปัจจุบัน ใน สมัยนี้ดินแดนสยามปักษ์ใต้จะมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช

          ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่สมัยเจ้านครอินทร์ เป็นต้นมา จึงเต็มไปด้วยขุนนาง อำมาตย์ชั่ว ที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ทุกๆ ครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงรัชกาล ก็เต็มไปด้วยการแย่งชิงราชย์สมบัติ ระหว่างกันตามคำสาปแช่ง ของ สมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์ และชาวศรีโพธิ์(ไชยา) มีการทำตอแหล เพื่อ ใส่ความซึ่งกันและกัน ทำให้ประชาชนแตกแยกออกเป็นฝักเป็นฝ่าย ขุนนางอำมาตย์ ก็แตกแยกออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายขุนนางอำมาตย์ชั่ว และฝ่ายขุนนางอำมาตย์รักชาติ ขาดความสามัคคี ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ ซึ่งพระยาจักรีสิน เชื่อว่าต้องเสียเอกราชของ ราชอาณาจักรละโว้อีกครั้งหนึ่ง อย่างแน่นอน

 

สมเด็จพระเจ้าตากสิน ฯ วางยุทธศาสตร์ทำสงครามกอบกู้เอกราช

         พระยาจักรีสิน ต้องคิดอย่างหนักในการวางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ในการทำสงครามกอบกู้ดินแดนสุวรรณภูมิ กลับคืนจากกองทัพพม่า แนวคิดในการกำหนดยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี นั้น พระยาจักรีสิน ได้รับมาจากการสั่งสอนของ พระอาจารย์เจ้าอาวาดวัดศรีราชัน คือแนวคิดทางพระพุทธศาสนา ให้สืบค้นหาต้นเหตุ แห่งปัญหาที่เป็นจริง และให้วางแผนแก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหา

          ดังนั้นการวางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ในการทำสงครามกอบกู้เอกราชให้สำเร็จ ในอนาคตนั้น ต้อง เริ่มต้นจากความเป็นจริง ต้องหาสัจจะจากความเป็นจริง เพื่อนำมากำหนด แนวทาง นโยบาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี แผนงานและจังหวะก้าวในการปฏิบัติ จึงจะบรรลุความสำเร็จได้ ความเป็นจริงดังกล่าวคือ ความเข้าใจต่อประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย จากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน อย่างแท้จริง จึงจะสามารถนำมากำหนด ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ในการวางแผนทำสงครามกอบกู้เอกราช ราชอาณาจักรละโว้ กลับคืนให้สำเร็จ

          พระยาจักรีสิน เป็นผู้ที่เข้าใจประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยที่สร้างรัฐต่างๆ ขึ้นมาปกครองดินแดนสุวรรณภูมิ อย่างลึกซึ้ง พระยาจักรีสิน เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยในดินแดนสุวรรณภูมิก็เพื่อ นำไปกำหนดแนวทางนโยบาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และจังหวะก้าวในการทำสงครามกอบกู้เอกราช และพบความเป็นจริงว่า ราชอาณาจักรเสียม-หลอ นั้นแท้จริงประกอบด้วยสองราชอาณาจักร คือ ราชอาณาจักรเสียม และ ราชอาณาจักรละโว้

          ราชอาณาจักรเสียม คือดินแดนภาคใต้ทั้งสองฟากฝั่งชายทะเล ตั้งแต่เมืองเพชรบุรี มะริด ตะนาวสี ลงไปถึง ช่องแคบมะละกา ราชอาณาจักรเสียม ไม่เคยมีประวัติการเสียเอกราช มีเพียงข้าศึกบุกเข้ามา ปล้นสะดม แล้วเผาทำลายเมือง ในระยะเวลาสั้นๆ ก็ต้องถอยทัพกลับออกไป ราชอาณาจักรเสียม ได้เสีย ดินแดนปลายแหลมมาลายู ครั้งใหญ่ เมื่อมหาอาณาจักรจีน ต้องการเข้ามามีอิทธิพลเหนือดินแดนช่องแคบ มะละกา มหาอาณาจักรจีน ได้สมคบกับ ชนชาติทมิฬโจฬะ นับถือศาสนาอิสลาม ในดินแดนเกาะสุมาตรา สมคบกับอาณาจักรมัชฌปาหิ เกาะชวา และสมคบกับเจ้านครอินทร์ ส่งกองทัพเรือใหญ่ของนายพลเจิ้งหัว เข้ามาทำการโค่นล้มอำนาจของ มหาจักรพรรดิสมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์ ทำให้ดินแดนสุวรรณภูมิปลายแหลมมาลายู ของ ราชอาณาจักรเสียม ค่อยๆ ถูกข้าศึกยึดครองไป ศาสนาอิสลาม ก็เข้ามาแทนที่ศาสนาพุทธ พระยาจักรีสิน พิจารณาเห็นว่า สถานการณ์ในขณะนั้น ดินแดนราชอาณาจักรเสียม มิได้เสียหายจาก ข้าศึกพม่า ดังนั้นจึงควรจะเร่งฟื้นฟูระบบกษัตริย์ ของราชอาณาจักรเสียม ขึ้นมาใหม่ แล้วใช้เป็นฐานที่มั่นใน การทำสงครามยึดครอง ราชอาณาจักรละโว้ กลับคืนเช่นในอดีต

          ส่วนราชอาณาจักรละโว้นั้นเคยเสียเอกราชให้แก่ข้าศึกนับครั้งไม่ถ้วนและทุกครั้งที่เสียเอกราช กองทัพจากราชอาณาจักรเสียม เป็นผู้นำกองทัพไปขับไล่ข้าศึกออกไปทุกครั้ง การเสียเอกราชของ ราชอาณาจักรละโว้ ในประวัติศาสตร์ ล้วนเกิดจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างกัน แล้วนำข้าศึกมาครอบครอง เพื่อทำลายฝ่ายตรงกันข้าม และให้ตนเองขึ้นมามีอำนาจแทนที่ จึงมักจะมีขุนนางอำมาตย์ชั่ว ทรยศต่อชาติ ตนเองทุกครั้ง ดังนั้นในรัชสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ นั้น พระยาจักรีสิน พิจารณาเห็นว่า กองทัพพม่าคงสามารถ ยึดครอง และสามารถปล้นทรัพย์สินไปครอบครองในเวลาไม่นาน และพม่าจะนำเชื้อสายราชวงศ์ และ กลุ่มขุนนางอำมาตย์ชั่ว ที่ทรยศต่อชนชาติไทย ขึ้นรักษาดินแดนไทยให้กับพม่า ครอบครองอย่างแน่นอน

          พระยาจักรีสิน ได้ประชุมร่วมกับ พระอาจารย์เจ้าอาวาดวัดศรีราชัน ตาผ้าขาวพราหมณ์ไชยเวท พวกราชวงศ์ และขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติภายใน อุโบสถของวัคศรีราชันเพื่อร่วมกันกำหนดแนวทาง นโยบาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และจังหวะก้าว ในการทำสงครามกอบกู้เอกราช อาณาจักรละโว้ กลับคืนในอนาคต สรุปว่า ต้องให้พระยาจักรีสิน ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ ของ ราชอาณาจักรเสียม เพื่อเร่งฟื้นฟู ราชอาณาจักรเสียม ให้เข้มแข็ง โดยใช้เมืองคันธุลี เป็นราชธานี แล้วค่อยยกกองทัพเรือไปปราบปราม เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์และ เจ้าฟ้าแขกพร้อมกับขุนนางอำมาตย์ชั่ว ที่ทรยศต่อประเทศชาติหลังจากนั้น จึงจะทำสงครามขับไล่กองทัพพม่า ออกจากดินแดนราชอาณาจักรละโว้ อีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงทำพิธีมหาไชยาบรม ราชาภิเษก อีกครั้งหนึ่ง เพื่อขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นกษัตริย์ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ โดยมีเป้าหมายที่จะรื้อฟื้นระบบการปกครองแบบ สหราชอาณาจักร ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อปลดปล่อยคำสาปแช่ง ของ มหาจักรพรรดิสมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์ และ ชาวศรีโพธิ์ มิให้ให้เกิดขึ้นจริงในอนาคต

 

เกิดเหตุอัศจรรย์ ก่อนที่ พระยาจักรีสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติ

          หลังจากที่แม่ทัพพระยาจักรีสิน ได้รับพระราชสาสน์ลับ ของ ภิกษุพระเจ้าอุทุมพร แล้ว พระยาจักรีสิน ได้เดินทางไปหารือกับหม่อมนกเอี้ยง หม่อมอั๋น และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่มาร่วมกันสร้างกองทัพเรือลับ ภายในอุโบสถ์ วัดดอนชาย อีกครั้งหนึ่ง ความเห็นทั้งหมดเป็นเอกภาพที่ต้องการให้ แม่ทัพพระยาจักรีสิน ทำ พิธีมหาไชยาบรมราชาภิเษก ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นกษัตริย์ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี

          ได้เกิดเหตุอัศจรรย์อย่างหนึ่งขึ้นมาในคืนวันที่พระยาจักรีสิน ตัดสินใจยอมเป็นกษัตริย์ ของ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี คือเหตุการณ์ของคืนวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๓๐๙ เวลาประมาณ ๓ ทุ่ม ได้ เกิดจันทรคราส ขึ้นที่เมืองท่าชนะ มองเห็นที่วัดดอนชาย พร้อมๆ กับได้ยินเสียงวิญญาณเทวดา ผีป่า ผีบ้าน ส่งเสียงร้องบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ได้ยินกันทั่วหน้านกกาก็บินออกจากรังส่งเสียงร้องกันเจื้อยแจ้ว ตาผ้าขาวพราหมณ์ไชยเวท ได้จับยามสามตา แล้วเสนอให้ แม่ทัพพระยาจักรีสิน ทำพิธีมหาไชยาบรมราชาภิเษก ขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครอง ราชอาณาจักรเสียม ในอีก ๗ วันข้างหน้า คือวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๓๐๙

          เมื่อราหูคลายดวงจันทร์ ตาผ้าขาวพราหมณ์ไชยเวช ได้เสนอให้ พระยาจักรีสิน เกาะสลักป้ายหิน รูปราหูอมจันทร์ ไว้ที่ปากทางเข้าวัดดอนชาย เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้น ป้ายดังกล่าว ยังคงปรากฏสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน พวกขุนนาง ทหาร และไพร่พลของแม่ทัพพระยาจักรีสิน ได้เชิญแม่ทัพพระยาจักรีสิน ขึ้นแห่แหน แสดงความยินดีที่ยอมรับตำแหน่งกษัตริย์ แห่ง ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี จึงเป็นที่มาของการทำพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่-๑ ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๓๐๙ ก่อนที่กรุงศรีอยุธยา จะถูกกองทัพพม่า ตีเมืองแตก

 

พระยาจักรีสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นกษัตริย์ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี

          เรื่องราวการขึ้นครองราชย์สมบัติ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ครั้งแรกนั้น มีการปกปิด และมีการปรุงแต่งเนื้อหาใหม่ขึ้นมาในภายหลังซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขาฯ(หน้าที่ ๑๕๔) ได้ปรุงแต่งเรื่องนี้ว่า

         "...เมื่อเดินทัพมาทางริมชายทะเล ถึงตำบลหินโขง และนำเก่า แขวงเมืองระยอง หยุดทัพพักแรมแห่งละคืนตามระยะทางมา พระยากำแพงเพชร(สิน) จึงปรึกษากับนายทหาร และรี้พลทั้งปวงว่า กรุงเทพมหานคร คงจะเสียแก่พม่าเป็นแท้ ตัวเราคิดจะซ่องสุมประชาราษฎรในแขวงหัวเมืองตะวันออกทั้งปวงให้ได้มากแล้ว จะยกกลับไปกู้กรุงให้คงคืนเป็นราชธานีดั่งเก่า แล้วจักรทำนุบำรุง สมณพราหมณาประชาราษฎรซึ่งอนาถา หาที่พักบ่มิได้ ให้ร่มเย็นเป็นสุขานุสุข และจะยอยกพระบวร พระพุทธศาสนาให้โชตนาการไพบูลย์ขึ้นเหมือนอย่างแต่ก่อน เราจะตั้งตัวเป็นเจ้าขึ้น ให้คนทั้งหลายนับถือ ยำเกรงจงมาก การจะก่อกู้แผ่นดินจึงจะสำเร็จโดยง่าย ท่านทั้งหลายจะเห็นประการใด นายทหารและไพร่พล ทั้งปวงก็เห็นชอบด้วยพร้อมกัน จึงยกพระยากำแพงเพชร(สิน) ขึ้นเป็นเจ้าเรียกว่า เจ้าตาก ตามนามเดิม..."

          เรื่องการขึ้นครองราชย์สมบัติ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ครั้งแรกนั้น คือเรื่องราวของตำนานการ เกิดราหูอมจันทร์ หรือ จันทรคราส จนเป็นที่มาของการทำพิธีบรมราชาภิเษก ของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ครั้งแรก มิได้เป็นไปตามที่มีการปรุงแต่งขึ้น เรื่องจันทรคราส นี้เป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจว่าเกิดขึ้นจริง หรือไม่ และน่าจะตรวจสอบหลักฐานทางดาราศาสตร์ฟิสิกส์ได้เพื่อตรวจหาวันเวลาการทำพิธีมหาไชยาบรมราชาภิเษก เพื่อการขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นกษัตริย์ ของ พระยาจักรีสิน ที่แน่ชัด

          ผู้เขียนได้พยายามตรวจสอบหลักฐานดังกล่าว เพราะสงสัยว่า ได้มีการเกิดจันทร์คราส ที่สามารถ มองเห็นได้ในท้องที่ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี จริงหรือไม่ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในปี พ.ศ.๒๓๐๙ จริง หรือไม่ และได้พบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ว่า ได้เกิด จันทร์คราส ขึ้นจริง โดยสามารถมองเห็นได้ใน ท้องที่ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อเวลา ๒๑.๐๕ น. ของวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๓๐๙ แสดงว่าหลังจาก นั้น ๗ วัน ก็มีการทำพิธีมหาไชยาบรมราชาภิเษก ขึ้นเป็นกษัตริย์ครังแรก ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ นั้น เกิดขึ้นจริง เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๓๐๙ ณ ยอดภูเขาสุวรรณคีรี (ภูเขาน้ำร้อน) อย่างแน่นอน

          หลักฐานทางดาราศาสตร์ฟิสิกส์ทำให้เราทราบว่า เหตุการณ์ที่ พระยาจักรีสิน ได้เรียกประชุมไพร่พล ณ ลานวัด วัดดอนชาย หลังจากเดินทางออกจากภายในอุโบสถ วัดดอนชาย นั้น คือเหตุการณ์ของคืน วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๓๐๙ และพระยาไชยาบุญชู ได้นำพระราชสาสน์ลับ ของ ภิกษุพระเจ้าอุทุมพร มา มอบให้กับแม่ทัพพระยาจักรีสิน นั้น เกิดขึ้นจริงเมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ.๒๓๐๙ หลังจากวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๓๐๙ ไปอีก ๖ วันเป็นการเตรียมการเพื่อจัดทำพิธีมหาไชยาบรมราชาภิเษก ณ ยอดภูเขา สุวรรณคีรี (ภูเขานำร้อน)*" ท้องที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน ดังนั้นวันขึ้นครองราชย์สมบัติของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ครั้งแรกที่มีพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร นั้น ก็คือ วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๐๙ นั่นเอง

          พระยาจักรีสิน ใช้เวลาเตรียมการ ๖ วัน จนกระทั่งวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๓๐๙ ตาผ้าขาวพราหมณ์ไชยเวช และขุนนางเก่าที่มีประสบการณ์ในการร่วมทำพิธีมหาไชยาบรมราชาภิเษก มาก่อน ได้ร่วมกันทำพิธีมหาไชยาบรมราชาภิเษก เชื้อสายราชวงศ์กรุงศรีอยุธยา คือ แม่ทัพพระยาจักรีสิน ณ ยอดภูเขาสุวรรณคีรี (ภูเขาน้ำร้อน) ประกาศเป็นกษัตริย์ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี มีพระนามย่อว่า สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร*" และมีพระนามเต็มว่า "พระศรีสรรเพชร สมเด็จพระบรมธรรมิกราชาธิราชรามาธิบดี บรมจักรพรรดิศร บวรราชาธิบดินทร์ หริหรินทร์ธาดาธิบดี ศรีสุวิบูลย์ คุณรุจิตร ฤทธิราเมศวร บรมธรรมิกราชเดโชชัย พรหม เทพาดิเทพ ตรีฎวนาธิเบศร์ โลกเชษฐวิสุทธิ์ มกุฎประเทศคตา มหาพุทธังกูล บรมนาถบพิตร พระพุทธเจ้า อยู่หัว ณ กรุงเทพมหานคร บวรทวาราวดี ศรีอยุธยา มหาดิลกภพนพรัฐ ราชธานีบุรีรมย์อุดม พระราชนิเวศ มหาสถาน"

 

          ภาพที่ ๒๐ ภาพถ่ายภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน)บริเวณยอดภูเขา เป็นสถานที่เคยใช้ทำพิธีมหาไชยาบรมราชาภิเษก มาอย่างยาวนานในอดีต และ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้ใช้ยอดภูเขาสุวรรณคีรี เป็นสถานที่ ทำพิธีมหาไชยาบรมราชาภิเษก เป็นกษัตริย์ปกครองราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี มีพระนามว่า สมเด็จพระ เจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ภาพนี้ถ่ายจากท้องนา ทางทิศตะวันตก ของ ภูเขาสุวรรณคีรี

          หลังจากการทำพิธีบรมราชาภิเษกเสร็จสิ้นแล้ว สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้ทรงช้างพระที่นั่งแห่แหนจากภูเขาสุวรรณคีรี เมืองไชยา แห่แหนไปยังพลับพลาที่ว่าราชการบริเวณวัดศรีราชัน ณ บ้านดอนธูป เมืองคันธุลี ประชาชนนิยมเรียกพระนามของพระองค์ว่า "พระเจ้าตากสิน" หรือ "เจ้าตากสิน" หรือ "เจ้าตาก" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

          ที่ตั้งพลับพลาที่ว่าราชการของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ หรือ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) หลังจากการทำพิธีมหาไชยาบรมราชาภิเษก ตั้งอยู่ที่บริเวณทิศตะวันตก ของ วัดศรีราชัน ประชาชนผู้สูงอายุ ในท้องที่ดังกล่าวเล่าว่า พลับพลา ดังกล่าวในสมัยรัชกาลที่-๕ ศาลาดังกล่าว ยังไม่พุพัง มีการซ่อมแซมให้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ใช้เป็นสถานีโทรเลข ที่พระองค์เสด็จไปเพื่อทดลองโทรเลข ระหว่าง กรุงเทพมหานครฯ กับภาคใต้ ณ พลับพลาดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งด้วยส่วนวังเจ้าตากและดอนเจ้าตาก ตั้งอยู่ทางทิศใต้ ของ วัดศรีราชัน(วัดสั่งประดิษฐ์ หรือ วัดสังข์ประดิษฐ์)

 

ภาพที่-๒๑ แผนที่แสดงที่ตั้ง พลับพลาที่ว่าราชการ รวมทั้ง พระราชวัง ของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร (สิน) บริเวณวัดศรีราชัน

 

ขุนนางอำมาตย์ ฝ่ายรักชาติที่สำคัญ ร่วมทำสงครามกู้ชาติ

          การขึ้นครองราชย์สมบัติราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เมื่อ วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๓๐๙ โดยใช้เมืองคันธุลี เป็นที่ตั้ง เมืองราชธานี อย่างลับๆ นั้น มีเรื่องเล่าสืบทอดต่อๆ กันมาว่าในการขึ้นครองราชย์สมบัติครั้งนั้น สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้โปรดเกล้าแต่งตั้ง ขุนนางอำมาตย์ที่สำคัญเพื่อทำราชการของ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลีเพื่อร่วมกันทำสงครามกู้ชาติในเวลา ต่อมา สามารถแบ่งออกเป็นสองสมัย ดังต่อไปนี้

          สมัยแรก เรียกว่า สมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี เป็นช่วงเวลาที่ พระยาจักรีสิน ขึ้นครองราชย์ สมบัติเป็นกษัตริย์ปกครองราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี มีพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เป็น ช่วงเวลาประมาณ ๑ ปีเศษ เป็นช่วงเวลาของการสร้างกองทัพ และช่วงเวลาการส่งกองทัพเข้าทำสงครามยึด ครองดินแดน ราชอาณาจักรละโว้ กลับคืนเป็นผลสำเร็จ

 

 

ภาพที่-๒๒ ภาพถ่ายเงินพดด้วงที่ ผลิตขึ้นใช้สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เงินพดด้วงรุ่นนี้ มีรูปจักร และรูปกรี (สามง่าม) สันนิษฐานว่าผลิตขึ้นใช้เมื่อ พระยาจักรีสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็น พระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เพื่อสื่อ ความหมายว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เคยดำรงตำแหน่งเป็นพระยาจักรี มาก่อน เงินพดด้วงรุ่นนี้ พบกันมากใน ท้องที่คันธุลี พบมากบริเวณวัดศรีราชัน ดอนเจ้าตาก วังเจ้าตาก บ้านใหญ่ บ้านหน้าสวน และอีกหลายท้องที่ใน อ.ท่า ชนะ และ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ใน ปัจจุบัน

          สมัยที่สองเรียกว่า สมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี เป็นช่วงเวลาที่ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นกษัตริย์ปกครอง ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี มีพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่-๔ เป็นช่วงเวลาประมาณ ๑๔ ปีเศษ เป็นช่วงเวลาที่ต้องต่อสู้กับ ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายเจ้าฟ้าจุ้ย และการรุกรานของกองทัพพม่า และการรวบรวมดินแดนราชอาณาจักรบริวาร ของชนชาติไทย เข้าด้วยกัน ให้รวมกันเป็นปึกแผ่น

          การทำสงครามกู้ชาติ ราชอาณาจักรละโว้ กรุงศรีอยุธยา ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทั้งสองสมัย ได้เกิดขุนนางอำมาตย์ ในสายตระกูลต่างๆ ที่ได้มาร่วมทำสงครามกู้ชาติ และเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ขึ้นมาในดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งจะต้องนำมาสร้างความเข้าใจ เพื่อทำความเข้าใจการทำสงครามกู้ชาติ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ต่อไป

 

ขุนนางอำมาตย์ ที่สำคัญ สายราชสกุล สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน)

 

 ภาพที่-๒๓ เป็นภาพวาด สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) โดยจิตกรไทย เป็นจินตนาการ เมื่อขึ้น ครองราชย์สมบัติปกครอง ราชอาณาจักรเสียม กรงคันธุลี

 

          ขุนนางอำมาตย์รักชาติ สายราชสกุล สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) มีดังต่อไปนี้  

          หม่อมนกเอี้ยง เป็นพระราชมารดาของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ โปรดเกล้าให้เป็น กรมหลวงเทพามาศประทับอยู่ที่วัดดอนชายอยู่ร่วมกับหม่อมอั๋นทำหน้าที่ ฝึกช่างทอผ้าและร่วมกันควบคุมการผลิต เสบียงอาหาร ทำการถนอมอาหาร เพื่อจัดส่งให้กับกองทัพกู้ชาติ

          นายประหยัด เป็นพระอนุชาของ สมเด็จพระเจ้าตากสิน ประชาชนนิยมเรียกชื่อว่า เจ้าหยัด เคยรับ ราชการเป็นมหาดเล็กที่กรุงศรีอยุธยา เคยเป็น พระยานครสวรรค์ เมื่อเกิดสงครามกับพม่า เมืองนครสวรรค์ ถูกกองทัพพม่ายึดครอง จึงหลบหนีมาตั้งรกรากอยู่ที่ บ้านหน้าสวน หมู่บ้านดอนธูป เมืองคันธุลี ได้เปลี่ยน ชื่อใหม่ว่าอนุรักษ์ได้เป็นครูฝึกวิชาทหารอยู่ที่ดอนเจ้าตากทำให้ประชาชนนิยมเรียกชื่อว่า ครู ในสมัย ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) โปรดเกล้าให้เป็น สมุหนายก ต่อมาเป็น รักษาการ พระยาจักรี(ครู) และต่อมามีตำแหน่งเป็น เจ้าพระยาอนุรักษ์ภูธร(ครู) ปกครองเมืองนครสวรรค์ ของ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี

          ต่อมาในสมัย ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี ได้รับโปรดเกล้าเป็น กรมหมื่นสมเด็จเจ้าพระยาอนุรักษ์ภูธร ตำแหน่ง สมุหนายก ในขณะที่มีการเกิดการรัฐประหาร คือกบฏพระยาสรรค์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๔ บุคคลผู้นี้เป็นผู้นำไพร่พลไปช่วยกันลักลอบขุดอุโมงค์เข้าไปช่วยเหลือสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ออกมาจากคุกที่คุมขังที่วัดบางยี่เรือ จนสามารถหลบหนีออกมาได้สำเร็จ เชื้อสายตระกูลนี้ในปัจจุบัน คือ สกุล ชัยดิษฐ์อดุล นาคเปลี่ยว ใจเย็น คงนคร เป็นต้น เจ้าพระยาอนุรักษ์ภูธร มีบุตรที่สำคัญสองคน ดังนี้

          นายบุญมี เป็นบุตรของ พระยาอนุรักษ์ภูธร(ครู)กับ ธิดาเมืองละโว้ในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ยังอยู่ในวัยเด็ก ฝึกทหารอยู่กับบิดา จนกระทั่งสมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี ได้รับโปรดเกล้าให้เป็น พระเจ้าหลานเธอกรมขุนอนุรักษ์ราชสงคราม (บุญมี) ผู้ปกครองเมืองเพชรบุรี ต่อมาได้รับ โปรดเกล้าให้เป็นกษัตริย์ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี เมื่อเกิดการรัฐประหาร เกิดการเปลี่ยนราชวงศ์ ถูก ประหารชีวิต ลูกหลานได้หลบหนีไปตั้งรกรากอยู่ที่เมืองเพชรบุรี เมืองกำเนิดนพคุณ (บางสะพาน) และ บริเวณบ้านหน้าสวน ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน

          นายบุญจันทร์ เป็นบุตรของ พระยาอนุรักษ์ภูธร(ครู) กับ ธิดาเมืองละโว้ ในสมัยราชอาณาจักร เสียม กรุงคันธุลี ยังอยู่ในวัยเด็ก ฝึกทหารอยู่กับบิดาที่ดอนเจ้าตาก จนกระทั่งในสมัย ราชอาณาจักรเสียม- หลอ กรุงธนบุรี ได้รับโปรดเกล้าให้เป็น พระเจ้าหลานเธอกรมขุนรามภูเบศร์ (บุญจันทร์) เมื่อเกิดการ รัฐประหาร ได้เดินทางกลับมาอาศัยอยู่ที่ บ้านบ่อโว้ ตั้งอยู่ระหว่าง วัดดอนชาย กับ ชายทะเลหาดเจ้าสำเร็จ อ. ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน

          หม่อมประยงค์ เป็นพระขนิษฐา ของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้สมรสกับ หลวงอินทร์รักษา(บุญรอด) ซึ่งเป็นบุตรชายคนหนึ่งของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา สมัยพระเจ้าบรมโกศ เคยได้รับการโปรด เกล้าจากพระเจ้าบรมโกศ ให้เป็นปลัดเมืองไชยา จึงถูกเรียกชื่อว่า หลวงอินทร์รักษารองเมือง ต่อมาได้เป็น พระยาไชยาบุญรอด และได้เลื่อนตำแหน่งเป็น พระยาตะกั่วป่า และเป็น พระยาราชบังสันบุญรอด เป็นได้ไม่นานก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง จึงได้มาร่วมสร้างกองทัพเรือลับกับแม่ทัพพระยาจักรีสิน ในสมัย ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี หม่อมประยงค์ทำหน้าที่ฝึกช่างทอผ้าและร่วมผลิตเสบียงอาหาร เพื่อจัดส่ง ให้กับกองทัพกู้ชาติ มีบุตรที่สำคัญกับ นายบุญรอด ๒ ท่าน คือ พระเจ้าหลานเธอเจ้านราสุริยวงศ์ และ พระเจ้าหลานเธอสุรินทร์สงคราม

          นายบุญรอด สามีของ หม่อมประยงค์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเคยเป็นปลัดเมืองไชยา พระยาไชยา พระยาราชบังสัน ในช่วงเวลาสั้นๆ ต่อมาในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี พระยาราชบังสันบุญรอด นอกราชการ ได้รับความไว้วางใจจาก สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) มาก จึงได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้ง ให้เป็น เจ้าพระยาอินทร์วงศา ดำรงตำแหน่งสูง เป็น พระยากลาโหม

          ในสมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี ได้รับโปรดเกล้าให้เป็น เจ้าพระยาอินทร์วงสา ผู้ดูแล เมืองต่างๆ ตามชายฝั่งทะเลตะวันตก เมื่อเกิดการรัฐประหาร เจ้าพระยาอินทร์วงสาบุญรอด ได้ทราบข่าวลือ ว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ถูกปลงพระชนม์ และถูกเรียกกลับกรุงธนบุรี จึงหลบหนีไปอยู่ที่เมืองถลาง แล้ว ปลิดชีวิตตนเอง ในเวลาต่อมา สายราชวงศ์เจ้าพระยาอินทร์วงศา มีบุตรชายกับหม่อมประยงค์ที่สำคัญ ๒ ท่านซึ่งได้กลายเป็นพระเจ้าหลานเธอของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช คือ

          พระเจ้าหลานเธอเจ้านราสุริยะวงศ์ ในสมัย ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี เป็นทหารในกองทัพหลวง และในสมัย ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี ได้รับโปรดเกล้าให้เป็นกษัตริย์ผู้ปกครอง แคว้น นครศรีธรรมราช เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๓

          พระเจ้าหลานเธอกรมขุนสุรินทร์สงคราม เป็นผู้ปกครองเมืองชายทะเลฝั่งตะวันตก คือ เมือง ตะกั่วป่า ผู้เป็นสหายคนสนิทของ เจ้าชายไข่แดง พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ กับ ท่านหญิงวาโลม ผู้ปกครองเมืองถลาง ที่ได้นำกองทหารออกสู้รบกับกองทัพพม่า ที่เมืองมะริด และ เมืองตะนาวสี เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๗ ถูกกองทัพพม่าลอบซุ่มโจมตี แล้วหายสาบสูญไปทั้งสองคนในสงคราม

          พระยาอนุวงศ์ราชา เป็นพี่น้องต่างมารดา ของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เป็นพ่อค้าผู้สืบ ทอดมรดกโรงสีลมที่ทุ่งสีลม แขวงเมืองบางกอก เมืองธนบุรี หลังจากที่บิดาของสมเด็จพระเจ้าตากสิน ได้ ถูกพระเจ้าเอกทัศน์ สั่งประหารชีวิต พระยาอนุวงศ์ราชาจึงได้หลบหนีกองทัพพม่ามาอยู่ในกองพันทหารม้า พระยาตากสิน มาร่วมสร้างกองทัพเรือลับที่เมืองห้วยยอดด้วย รับผิดชอบในการสร้างโรงงานหลอมเหล็ก และโรงงานตีเหล็ก เพื่อผลิตปืนลูกซอง ต่อมาในสมัย ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ได้รับโปรดเกล้าให้ เป็น พระยาอนุวงศ์ราชา รับผิดชอบทำเหมืองแร่ทองคำ ทั้งที่เมืองคันธุลี และ เมืองกำเนิดนพคุณ

           พระยาพิชัยราชา(เดช) เป็นพี่น้องต่างมารดา ของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เดิมชื่อ ฤทธิ์เดชหรือ เดชหลังจากที่บิดาของสมเด็จพระเจ้าตากสิน ได้ถูกพระเจ้าเอกทัศน์สั่งประหารชีวิตนายฤทธิเดช ได้หลบหนีกองทัพพม่า มาร่วมสร้างกองทัพเรือลับที่เมืองคันธุลี รับผิดชอบในการผลิต ลูกปีนลูกซอง ต่อมา ในสมัย ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ได้รับโปรดเกล้าให้เป็น ขุนฤทธิเดช

         ในสมัยกรุงธนบุรี ขุนฤทธิ์เดช ได้รับโปรดเกล้าให้เป็น พระยาพิชัยราชา(เดช) ปกครองเมืองสวรรค์โลก เป็นผู้ที่ชอบกล่าวโจมตีสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ว่า เป็นต้นเหตุให้บิดา-มารดา ของตนเองถูกประหารชีวิต ต่อมาในปลายสมัยกรุงธนบุรี ได้สู่ขอ พระราชธิดาพระองค์หนึ่ง ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ไปเป็นภรรยาเป็นเหตุให้สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงกริ้วมากจึงปลดออกจากตำแหน่งเป็นเพียงขุนฤทธิเดชให้ ไปอยู่ที่เมืองคันธุลี และในปลายรัชกาล ขุนฤทธิ์เดช ได้ขอพระสนม ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็น ภรรยา อีกครั้งหนึ่ง เป็นเหตุให้ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สั่งประหารชีวิต เพราะขอเป็นลูกเขย เมื่อทำการเผาศพ จึงรับสั่งให้นำอัฐิ ไปเก็บรักษาไว้ที่โรงงานผลิตปีนลูกซอง หนองน้ำผุด บ้านร้อยเรือน เมืองคันธุลี

          ท่านหญิงวาโลม เป็นภรรยา คนแรก ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นธิดา ของ เจ้าชายอาหรับ กับ เจ้าหญิงจีน นับถือศาสนาอิสลาม ต่อมาเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา ในขณะที่สร้างกองทัพกู้ชาติ ที่ เมืองคันธุลีนั้น ได้ไปประทับอยู่ที่พระราชวังเจ้าตากทางทิศใต้ ของวัดศรีราชันในสมัยกรุงธนบุรี ได้ร่วมอยู่ในคณะราชทูต ของ หยางจิ้งจุง ด้วย มีพระราชโอรสและ พระราชธิดา ๖ พระองค์ กับ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ คือ เจ้าชายไข่แดง เจ้าหญิงโกมล เจ้าหญิงบุปผา เจ้าชายเมฆิน เจ้าหญิงสุมาลี และ เจ้าชายสิงหรา ใน สมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี เมื่อมีการรัฐประหาร ได้หลบหนีมาอาศัยที่เมืองบางสะพานใหญ่ และได้ไปใช้ชีวิตบันปลายที่ มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน มีสายราชวงศ์ที่สำคัญที่มีบทบาทต่อมา ดังนี้

         เจ้าชายไข่แดง เป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ กับ ท่านหญิงวาโลม ใน สมัยราชอาณาจักรเสียมกรุงคันธุลียังอยู่ในวัยเด็ก ฝึกทหารอยู่กับพระยาอินทร์รักษา(บุญรอด)ที่เมืองไชยา จนกระทั่งในสมัย ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี ได้รับโปรดเกล้าให้ไปช่วยราชการ เจ้าพระยาอินทร์รักษา ที่เมืองตะกั่วป่า ต่อมาได้รับโปรดเกล้าให้เป็น พระยาถลาง จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๓๑๗ พม่าได้ส่ง กองทัพมายึดครองเมืองมะริด และ เมืองตะนาวสี พระยาถลาง(เจ้าชายไข่แดง) ได้นำกองทัพออกไปทำ สงครามขับไล่กองทัพพม่า ให้ออกไปจากเมืองทั้งสอง แต่พระยาถลาง(ไข่แดง) ถูกลอบซุ่มโจมตี หายไปใน สงคราม ลูกหลานได้ปกครองเมืองถลาง สืบทอดต่อมา คือสายตระกูล ณ ถลาง ในปัจจุบัน นั่นเอง

          เจ้าฟ้าหญิงโกมล เป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ กับ ท่านหญิงวาโลม ในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ได้รับโปรดเกล้าให้เป็น สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงโกมล จนกระทั่งในสมัย ราชอาณาจักรเสียม-หลอกรุงธนบุรีได้รับโปรดเกล้าให้อภิเษกสมรสกับพระยาละโว้ผู้ปกครองเมืองละโว้ ในขณะที่ทรงพระครรภ์ ได้ออกไปช่วยสามีรบกับกองทัพพม่าเสียชีวิต ทั้งครอบครัว

         เจ้าฟ้าหญิงบุปผา เป็นพระราชธิดา องค์ที่สอง ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ กับ ท่านหญิงวาโลม ถูกเลี้ยงดูโดยหม่อมนกเอี้ยง มาตั้งแต่วัยเด็ก จึงสนิทสนมกับหม่อมนกเอี้ยง มาก ในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ได้รับโปรดเกล้าให้เป็น สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา

         ในสมัย ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา เป็นผู้ดูแลหม่อมนกเอี้ยง จนสิ้นพระชนม์ ต่อมาได้รับโปรดเกล้าให้อภิเษกสมรส กับ พระยาจักรีทองด้วง เป็นเหตุให้ พระยาจักรีทองด้วง ได้รับโปรดเกล้าให้เป็น สมเด็จเจ้าฟ้ากษัตริย์ศึก มีพระราชธิดา ๒ พระองค์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนาท (หญิงใหญ่) และ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนก(หญิงเล็ก)

         ต่อมาเมื่อเกิดวิกฤติการแย่งชิงราชสมบัติระหว่าง น้องชาย กับ ลูกชาย จึงเป็นที่มาให้สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผาต้องนำราชธิดาทั้งสองพระองค์ หลบลี้หนีภัย การแย่งชิงราชสมบัติระหว่างกัน เสด็จไปประทับอยู่ที่เมืองท่าชนะ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา เปลี่ยนพระนาม ใหม่เป็น นอบ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนาท เปลี่ยนพระนามใหม่ เป็น เครือ และ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงชมนก เปลี่ยนพระนามใหม่เป็น เฟือ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุปผา สิ้นพระชนม์ที่บ้านทุ่งนาเล เมืองท่าชนะ ด้วยโรค ภูมิแพ้ มีผู้สืบทอดสายตระกูลต่อมาคือตระถูล ถาวรเศรษฐ สุทธิสุวรรณ แย้มเนตร และ ภูมิไชยา เป็นต้น

           เจ้าชายเมฆินทร์ เป็นพระราชโอรส องค์ที่สอง ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ กับ ท่านหญิงวาโลม มี ข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าชายองค์นี้ว่า ไปสืบข่าวที่ราชอาณาจักรลาว ถูกจับได้ และถูกประหารชีวิต

           เจ้าหญิงสุมาลี เป็นพระราชธิดา องค์ที่สาม ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ กับ ท่านหญิงวาโลม ต่อมาได้ไปอภิเษกสมรสกับเจ้าชายคนหนึ่ง ของ ราชอาณาจักรศรีลังกา

          เจ้าชายสิงหรา เป็นพระราชโอรส องค์สุดน้อง ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ กับ ท่านหญิงวาโลม เมื่อเกิดการรัฐประหาร เจ้าชายสิงหรา ยังบวชเป็นสามเณร อยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง จึงมีผู้นำหลบหนีไปฝากเป็น บุตรบุญธรรม ของ พ่อค้าเรือสำเภาจีน ที่ปากแม่น้ำท่าจีน เมืองสมุทรสาคร

           หม่อมสอน เป็นธิดาของ พระยาชุมพร(มั่น) ในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ได้นำบุตรธิดา มาอาศัยอยู่ที่เมืองชุมพร เป็นผู้จัดหาเสบียงอาหารส่งให้กับกองทัพผู้หนึ่ง ต่อมาในสมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ถูกขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายกบฏเจ้าฟ้าจุ้ย สร้างข่าวโจมตีสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ว่า เป็นลูกเจ๊ก มีภรรยาเป็นลูกจีนแขก จึงไม่เหมาะสมที่จะขึ้นมาเป็นกษัตริย์ จึงเป็นที่มาให้ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ โปรดเกล้าแต่งตั้งให้ หม่อมสอน เป็น อัครมเหสี ส่วนพระยาชุมพร(มั่น) นั้นมี ลูกหลานท่านหนึ่งไปสมรสกับ หมื่นหาร ซึ่งเป็นพระราชโอรสลับของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ กับ ธิดาของ เจ้าเมืองสงขลา มีผู้สืบสายตระกูลต่อมาคือ สายตระกูลศรียาภัย ในปัจจุบันนั่นเอง ส่วนหม่อมสอน มีพระราชโอรส ๔ พระองค์ คือ เจ้าชายจุ้ย เจ้าชายธำรง เจ้าชายน้อย และ เจ้าชายบัว

          เจ้าฟ้าชายจุ้ย เป็นพระราชโอรส พระองค์ใหญ่ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ กับ หม่อมสอน ใน สมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี ได้รับโปรดเกล้าให้เป็น เจ้าฟ้าอินทร์พิทักษ์เป็นเจ้าเมืองละโว้ ต่อมามีเรื่องที่ประชาชนทำฎีกา ร้องเรียนมามาก จึงเรียกกลับมารับราชการที่กรุงธนบุรี เป็น สมเด็จเจ้าฟ้า กรมขุนอินทร์พิทักษ์เป็นทหารรักษาพระองค์ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ค่อนข้างเกเร สมเด็จพระเจ้าตาก สินฯ จึงถอดยศมาครั้งหนึ่ง ต่อมาถูกประหารชีวิตในสมัยราชวงศ์จักรี

         เจ้าฟ้าชายธำรง เป็นพระราชโอรส พระองค์ที่-๒ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ กับ หม่อมสอน ใน สมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ ไม่มีข้อมูลว่าได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งใด

          เจ้าฟ้าชายน้อย เป็นพระราชโอรส พระองค์ที่-๓ ของ สมพระเจ้าตากสินฯ กับ หม่อมสอน ในสมัย ราชอาณาจักรเสียม-หลอ ไม่มีข้อมูลว่าได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งใด

          เจ้าฟ้าชายบัว เป็นพระราชโอรส พระองค์ที่-๔ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ กับ หม่อมสอน ใน สมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ ได้รับโปรดเกล้าให้เป็น พระยาราชบุรี ปกครองเมืองราชบุรี ภายหลังการก่อ การรัฐประหาร ในสมัยราชวงศ์จักรี เมื่อเกิดสงครามเก้าทัพ ถูกนายบุญนาค ใส่ความ ได้หลบหนีออกทาง ทะเล เรือสำเภา ล่มกลางทะเล เสียชีวิตทั้งครอบครัว

 

ขุนนาง สายหม่อมอั๋น และ พระยาจักรีตาล ร่วมสร้างกองทัพ ที่เมืองท่าชนะ

          หม่อมอั๋น หรือ กรมหลวงเทพินทรสุดา คือน้องสาวของหม่อมนกเอี้ยง จึงมีความผูกพันธ์กับ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มาโดยตลอด สามีของหม่อมอั๋น คือ พระยาจักรีตาล สืบทอดสายสกุลมาจากขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในกรุงศรีอยุธยาเดิม มีสายสัมพันธ์ทางเครือญาติกับสายสกุลของ พระยาราชบุรี(ทองด้วง) ด้วย สามีหม่อมอั๋น มีตำแหน่งสุดท้ายเป็น พระยาจักรี(ตาล) ได้เพียงไม่กี่วันก็ถึงแก่อนิจกรรมในสงครามกับกองทัพพม่า มีบุตรธิดากับหม่อมอั๋นถึง ๙ คน บุตรหลานของหม่อมอั๋น จึงได้รับความไว้วางใจจากพระยาจักรีสิน เป็นอย่างมากที่ร่วมสร้างกองทัพกู้ชาติ และได้กลายเป็นขุนนางที่สำคัญทั้งในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี และในสมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี สายตระกูลหม่อมอั๋น ที่สำคัญมีดังต่อไปนี้

          หม่อมอั๋น ในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ได้รับโปรดเกล้าเป็น กรมหลวงเทพินทรสุดา ประทับอยู่ที่วัดดอนชาย กับ หม่อมนกเอี้ยง ทำหน้าที่ ฝึกช่างทอผ้า และร่วมกันผลิตเสบียงอาหาร ทำการถนอมอาหาร เพื่อจัดส่งให้กับกองทัพกู้ชาติ

          พระยาจักรีตาล เป็นสามีของ หม่อมอั๋น ได้ถึงแก่อนิจกรรมไปแล้วตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.๒๓๐๘ จาก การรบที่วัดป่าแก้ว เนื่องจากถูกกองทัพพม่าโยนหม้อกระสุนดินดำเข้าใส่เรือรบ ระเบิดเรือรบ จนเสียชีวิต

          นายรุ่ง บุตรคนโต ของ พระยาจักรีตาล กับ หม่อมอั๋น เคยเป็น ปลัดเมืองเพชรบุรี เป็น พระยาเพชรบุรี(รุ่ง) ต่อมาเมื่อกองทัพพม่าเข้ายึดครองเมืองเพชรบุรี เมื่อปลายปี พ.ศ.๒๓๐๘ ท่านเห็นว่าไม่มีทางสู้กองทัพพม่าได้ จึงนำไพร่พลพร้อมน้องชายชื่อ นายบุญมา หนีออกไปช่วยกันสร้างกองทัพเรือลับอยู่ที่ เมืองคันธุลี แล้วปล่อยข่าวว่าเสียชีวิตแล้ว พระเจ้าเอกทัศน์ จึงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้"นายเรือง" น้องชายเป็นพระยาเพชรบุรี แทนที่ ต่อมา สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) โปรดเกล้าให้เป็น พระยายมราช(รุ่ง)

           นายเรือง เป็น บุตรคนรอง ของ พระยาจักรีตาล กับ หม่อมอั๋น เคยเป็น ปลัดเมืองเพชรบุรี พระยาเพชรบุรี(เรือง) ได้เสียชีวิตจากการทำสงครามกับพม่า ที่กรุงศรีอยุธยา ณ สมรภูมิ วัดป่าแก้ว พ.ศ.๒๓๐๙

          นายบุญชัย เคยเป็น หลวงพิชัยราชา(บุญชัย) และ พระยาพิชัยราชา สมัยกรุงศรีอยุธยา ได้มาร่วม สร้างกองทัพ และเคยเป็นทหารในกองพันทหารม้าพระยาตาก เมื่อสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชรสิน ขึ้น ครองราชย์สมบัติ ได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็น เจ้าพระยาพิชัยราชา (บุญชัย) ครองเมืองสวรรค์โลก

          นายบุญมา ได้เคยมาร่วมสร้างกองทัพ และเคยเป็นทหารในกองพันทหารม้าพระยาตาก เมื่อสมเด็จ พระเจ้าศรีสรรเพชรสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติ ได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็น พระยาเพชรบุรี(บุญมา) โดยมี นายบุญมาก น้องชาย เป็นปลัดเมือง ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี ได้เสียชีวิตในสงครามปราบปราม เมือง นครศรีธรรมราช เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๑

          นายบุญมาก ได้เคยมาร่วมสร้างกองทัพ และเป็นทหารในกองพันทหารม้าพระยาตากสิน เมื่อ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชรสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติ ได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็น พระยามะริด ปกครอง เมืองมะริด ต่อมาเมื่อ พระยาเพชรบุรี(บุญมา) เสียชีวิต ในสงคราม นายบุญมาก จึงได้รับโปรดเกล้าให้เป็น พระยาเพชรบุรี(บุญมาก) และได้เสียชีวิตในสงครามรักษาเมืองมะริด พร้อมกับเจ้าชายไข่แดง ในเวลาต่อมา

          นายบุญเจริญ ได้มาร่วมสร้างกองทัพ และเป็นทหารในกองพันทหารม้าพระยาตากสิน เมื่อสมเด็จ พระเจ้าศรีสรรเพชรสินฯ ขึ้นครองราชย์สมบัติ ได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็น พระยาตะนาวสี ปกครอง เมืองตะนาวสี ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๑๗ พม่าส่งกองทัพเข้ายึดครองเมืองมะริด และ เมืองตะนาวสี สำเร็จ พระยาตะนาวสี(บุญเจริญ) ได้หลบหนีมารับราชการที่ เมืองเพชรบุรี และได้รับโปรดเกล้าให้เป็นพระยาเพชรบุรี (บุญเจริญ) ต่อเนื่องจากนายบุญมาก ในเวลาต่อมา

          หม่อมแอ๋ว สมรสกับ นายเฉินเหลียง(นายเหลียง แซ่เฉิน) เคยเป็นกัปตันเรือสำเภาค้าขายของ พระเจ้ากรุงจีน เคยได้อุปถัมภ์ค้ำจุน สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มาตั้งแต่มีพระชนมายุ ๓ พรรษา ต่อมาได้ขอลาออกจากการมีอาชีพกัปตันเรือสำเภาค้าขายจีน ซึ่งเป็นขุนนางของพระเจ้ากรุงจีน และได้มารับราชการที่ กรุงศรีอยุธยาในกรมท่า เรียกกันว่า หลวงพิพิธวาที เป็นบุตรเขย ของ หม่อมอั๋น เพราะได้สมรสกับธิดาคน หนึ่งของหม่อมอั๋นที่มีชื่อว่า "แอ๋ว" มีบุตรธิดาหลายคน ต่อมาได้เป็นเจ้าเมืองพุทไธมาศ

          เมื่อกองทัพพม่ายกทัพมายึดครอง ราชอาณาจักรละโว้ กรุงศรีอยุธยา หลวงพิพิธได้เป็นทหารร่วมรบ อยู่ในกองพันทหารม้าพระยาตากสิน จนกระทั่งได้ยกกองทัพออกจากค่ายวัดพิชัยมาด้วยกัน แต่ต้องไปทำ หน้าที่ค้าขาย และสร้างกองทัพ อยู่ที่เมืองพุทไธมาศ(เมืองตาแก้ว เดิม) เพื่อจัดหาทุนส่งให้กับ แม่ทัพพระยาจักรีสิน เพื่อใช้ในการสร้างกองทัพที่เมืองคันธุลี อีกด้วย ในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ได้รับโปรด เกล้าให้เป็น เจ้าพระยาโกษาธิบดี(เฉินเหลียง)

          ในสมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี ได้รับโปรดเกล้าให้เป็น เจ้าพระยาราชาเศรษฐี (เฉินเหลียง) ผู้ปกครองเมืองบันทายมาศ (เมืองออกแก้ว หรือเมืองฮาเตียน ในปัจจุบัน) นั่นเอง ชีวิตบั้นปลาย เมื่อเกิดการรัฐประหาร ได้กลับมาอยู่ที่ปากนำท่ากระจาย เมืองท่าชนะ ด้วยเหตุผลทางการเมือง จนถึงแก่อนิจกรรม

          หม่อมเอียง , หม่อมอิง สมรสกับ นายหยางจิ้งจุง หรือ นายจิ้งจุง แซ่หยาง เคยเป็นรองกัปตัน เรือสำเภาค้าขายของพระเจ้ากรุงจีน เคยอุปถัมภ์ค้ำจุน สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มาตั้งแต่มีพระชนมายุ ๓ พรรษา ต่อมาได้ออกจากราชการของจีน มารับราชการเป็น เจ้าเมืองเบตุง เรียกชื่อว่า หลวงพิชัย เป็นบุตรเขย ของ หม่อมอั๋น อีกคนหนึ่ง เพราะได้สมรสกับธิดาสองท่านของหม่อมอั๋น ท่านแรกมีชื่อว่า เอียง มีบุตรธิดา หลายคนแต่มีคนหนึ่งซึ่งไม่ทราบนามได้ไปสมรสกับ "หยังหวู่" หรือ "เฮาเยี่ยง" ซึ่งได้มาเป็นผู้ปกครองเมือง สงขลา ในสมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรงธนบรี คือต้นตระกูล ณ สงขลา ในปัจจุบัน ต่อมา ท่านเอียงเสียชีวิตเมือปี พ.ศ.๒๓๐๙ หม่อมอัน จึงมอบธิดาอีกท่านหนึ่ง มีชื่อว่า หม่อมอิง ไปเป็นภรรยา มีบุตรธิดา ๔ ท่าน คือ บุญรอด(ญ) หยางยี่ หยางฮุ่งเชี่ยน และ หยางซา ซึ่งมีเรื่องราวเกี่ยวโยงมาถึงสมัยราชวงศ์จักรี

 

ภาพที่-๒๔ ภาพวาดของท่านหญิงวาโลม มเหสีพระองค์แรก ของ สมเด็จพระเจ้าตากสิน (ภาพซ้ายมือ) และ เจ้าพระยาพิไชยไอยสวรรค์ (หยางจิ้งจุง) ซึ่งฮ่องเต้เฉียนหลง ให้จิตกรจีน วาดขึ้นในขณะที่ หยางจิ้งจุง(ภาพขวามือ) เป็น หัวหน้าคณะราชทูต เดินทางไปสร้าง ความสัมพันธ์ทางการทูต กับประเทศจีน

 

          หลวงพิชัย(หยางจิ้งจุง) เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในการสร้างเรือสำเภา จึงได้รับการ มอบหมายให้เป็นผู้สร้างอู่ต่อเรือสำเภาที่เมือง คันธุลี มาโดยตลอด และได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ชื่อ "โกมุด" ฝึกทหารอยู่ที่ "ดอนโกมุด" ใน สมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ได้รับโปรดเกล้าให้มีตำแหน่งเป็น พระยาพิชัยไอยสวรรค์ (หยางจิ้งจุง) เป็นผู้สร้างอู่ต่อเรือสำเภาลับที่เมืองโกลี- โกลก(สุไหงโกลก) ได้นำกองทัพเรือ เข้าตีกองทัพพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้น สำเร็จ

          ต่อมาในสมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี ได้รับโปรดเกล้าให้เป็นหัวหน้าคณะราชทูต เดินทางไปสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศจีน หลายครั้ง และต่อมาได้เป็น เจ้าพระยาโกษาธิบดี (หยางจิ้งจุง) รับผิดชอบ กรมคลัง สายตระกูลดังกล่าว ยังคงตั้งรกรากอยู่ในท้องที่ จ.สุราษฎร์ธานี เป็น จำนวนมาก ส่วนใหญ่ คือสายตระกูล ถาวรเศรษฐ สุทธิสุวรรณ ใหม่ซ้อน สร้างสาม แซ่ยิค พรหมทุ่งค้อ จันทร์ดำ จันทร์ประดิษฐ์ เทพประดิษฐ์ พิทักษ์ธรรม พันธุวานิช นาคเปลี่ยว บัวทอง สำเภา ฯลฯ เป็นต้น

          เจ้าพระยาโกษาธิบดี(หยางจิงจุง) มีน้องชาย คนหนึ่งชื่อ หลวงพรหมเสนา หรือ พระยาพิพัฒน์โกษา ต่อมาได้เป็นราชทูตแทนที่ คือ พระยาสุนทรไมตรี ด้วย และถูกฆ่าตายเมื่อมีการก่อการรัฐประหาร บุตรชาย ของ พระยาสุนทรไมตรี คนหนึ่งชื่อ ขุนฤกษ์ หรือ ขุนท่องสื่อ ได้เป็นเจ้าพระยาไกรโกษา ในราชวงศ์จักรี

          สายสกุลหม่อมอั๋น ภรรยาของ พระยาจักรีตาล เป็นสายตระกูลที่สำคัญมากที่เข้ามามีบทบาทตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยา มาถึงสมัยธนบุรี เนื่องจาก พระยาจักรีตาล เป็นบุตรของ เจ้าพระยาอภัยราชา(บุญรอด) ซึ่ง มีน้องชายเป็นขุนนางสำคัญอีก ๒ คน คือ เจ้าพระยาราชสุภาวดี(บ้านประตูจีน) และ พระยาคลัง(บน) ทั้งสามคนเป็นบุตรของ สมุหนายก ประชาชนเรียกกันโดยทั่วไปว่า สายสกุลท่านสมุหนายก

          เจ้าพระยาราชสุภาวดี(บ้านประตูจีน) มีบุตรธิดาที่สำคัญ ๓ คน คือ เจ้าพระยาสุรบดินทร์ฤาไชย(บุญมี) พระยาศรีพิพัฒน์ นางดาวเรืองและ นางน้อยเป็นต้น โดยเฉพาะ นางดาวเรือง เคยมีสามีมาก่อนมีบุตร ๒ คน คือ พระยาสรรค์ ต่อมาสามีได้เสียชีวิต นางดาวเรือง ได้สามีใหม่ชื่อ นายทองดี(หลวงพินิจอักษร) มีบุตรธิดาที่สำคัญ ๕ คน คือ สา(ญ.) ขุนรามณรงค์ แก้ว(ญ.) คุ(ญ.) ทองด้วง บุญมา เป็นต้น

          พระยาศรีพิพัฒน์ เป็นบุตรชายคนหนึ่ง ของ เจ้าพระยาราชสุภาวดี (บ้านประตูจีน) และเป็นญาติ ลูกพี่ลูกน้อง กับ พระยาจักรี (ตาล) เคยร่วมอยู่ในกองพันทหารม้าพระยาตาก มาก่อน ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี ได้เป็นจางวาง กรมพระคลังสินค้า ต่อมาในสมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี ได้ร่วมยก กองทัพไปปราบปราม เจ้านครศรีธรรมราช เมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๑ และได้เสียชีวิตในสงคราม

          สายตระกูล ท่านสมุหนายก นี้ ได้เกิดขัดแย้งกันเองในภายหลัง จึงเป็นที่มาของการก่อรัฐประหาร ของพระยาสรรค์ โดยการวางแผนของพระยาสรวิชิต(หน) หรือ เจ้าพระยาคลัง(หน) ซึ่งเป็นบุตรของ พระยาคลัง(บน) โดยเฉพาะ พระยาคลัง(หน) เป็นผู้เชี่ยวชาญในการศึกษาวรรณคดีจีนเรื่องสามก๊ก เป็นที่มาของ การก่อการรัฐประหาร และเกิดการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ ในเวลาต่อมา

          พระยาสรวิชิต(หน) หรือ เจ้าพระยาคลัง (หน) มีศักดิ์เป็นอา ของบุตร-ธิดา หม่อมอั๋นด้วย และมีศักดิ์เป็นน้า ของพระยาราชบุรี (ทองด้วง) เนื่องจาก พระยาสรวิชิต (หน) เคยสนับสนุนเจ้าฟ้าจุ้ย จึงไม่ได้รับ ความไว้วางพระทัยจากสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มากนัก เพราะในสมัยกรุงธนบุรี นั้น มีตำแหน่งเป็นเพียง "พระยา" เท่านั้น

          ก่อนการรัฐประหารโค่นล้มอำนาจสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ นั้น พระยาสรวิชิต(หน) ได้มอบธิดาคน หนึ่งให้กับ สมเด็จเจ้าฟ้ากษัตริย์ศึก และได้รับมอบหมายให้ไปถ่ายทอดวรรณคดีประวัติศาสตร์จีน เรื่องสามก๊ก ที่เมืองท่าชนะ จึงเป็นผู้ยุยงให้ สมเด็จเจ้าฟ้ากษัตริย์ศึก ก่อการรัฐประหาร การสร้างความเข้าใจถึงสายตระกูลดังกล่าวจะทำให้เข้าใจเหตุการณ์ในการสิ้นสุดของราชวงศ์กรุงธนบุรี ในสมัยต่อมาด้วย

 

ขุนนางอำมาตย์ จากสายสกุลเจ้าพระยาจักรีมุกดา ร่วมสร้างกองทัพที่ เมืองท่าชนะ

          ขุนนางอำมาตย์ สายสกุลเจ้าพระยาจักรีมุกดา ซึ่งเคยรับนายพ่วง ไปเป็นบุตรบุญธรรม และเปลี่ยนชื่อเป็น นายสิน ได้รับโปรดเกล้าจากสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชรสิน ให้เป็น ขุนนางสำคัญ ของ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ในครั้งนั้นเป็นจำนวนมาก ขุนนางดังกล่าวแบ่งออกเป็น ๔ สาย ตามสาย ภรรยาสี่คนของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา สายแรกคือภรรยาหลวง สายหม่อมดาว ขุนนางที่สำคัญได้แก่

(๑)    ขุนนางอำมาตย์ สายสกุลเจ้าพระยาจักรีมุกดา กับ ภรรยาคนที่-๑ หม่อมดาว

           นางบุญนอบ เป็นบุตรสาวคนโต ของ หม่อมดาว กับ เจ้าพระยาจักรีมุกดา ได้สมรสกับ พระยาจันทบูรณ์(บุญหลาน) ในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี นางบุญนอบ และ พระยาจันทบูรณ์(บุญหลาน) ได้หันไปสนับสนุนขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายเจ้าฟ้าจุ้ย และพวก ซึ่งเป็นกบฏ เป็นที่มาให้ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชรสิน ต้องยกกองทัพจากราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี เข้ายึดครองเมืองจันทร์บูรณ์ เพื่อ ทำลายอำนาจ ของ เจ้าฟ้าจุ้ย และพวก ผู้ยอมรับการเป็นประเทศเมืองขึ้น ของ ราชอาณาจักรพม่า

          นายบุญชู เป็นสหายรุ่นพี่ ของ พระยาจักรีสิน ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เคยดำรงตำแหน่งเป็น มหาดเล็กหลวงศักดิ์นายเวร ปลัดเมืองไชยา พระยาไชยาบุญชู พระยาราชบังสันบุญชู พระยายมราชบุญชู และ พระยาจักรีบุญชู ตามลำดับ และถูกลดตำแหน่งเป็น พระยาไชยา เนื่องจากถูกร้องเรียน ในสมัย ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ได้รับโปรดเกล้าให้เป็น พระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู

          ในสมัย ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี ได้รับโปรดเกล้าให้เป็น เจ้าพระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู ได้เสียชีวิตในปี พ.ศ.๒๓๑๗ มีบุตรธิดา ๔ คน คือ นายจุ้ย นายบุญยัง นายหวัง และ ชื่น(ญ) ล้วนเป็นขุนนางอำมาทที่สำคัญที่ได้ร่วมสร้างกองทัพกู้ชาติ ที่เมืองไชยา มาโดยตลอด

          นายบุญเมือง เป็นน้องชายของ พระยาจักรี(บุญชู) เคยเป็นปลัดเมืองไชยา พระยาไชยา พระยาบางละมุง ต่อมาในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ได้รับโปรดเกล้าให้เป็น พระยาระยอง(บุญเมือง) เป็นการขยายอาณาเขตของ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี เข้าสู่ดินแดนฝั่งทะเลภาคตะวันออก

          นายจุ้ย เป็นบุตรชายคนโต ของ เจ้าพระยาจักรีศรีองค์รักษ์(บุญชู) กับ หม่อมสุณี ในสมัย ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ได้รับพระราชทานชื่อใหม่ว่าศรีราทิตย์ มีตำแหน่งเป็น ขุนหลวงสาครราชานนท์(จุ้ย) ต่อมาได้เป็นเจ้าเมืองไชยา ตำแหน่ง พระยาวิชิตภักดีศรีพิชัยสงคราม(จุ้ย) ปกครองเมืองไชยา

          ในสมัย ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี ได้รับโปรดเกล้าให้เป็น พระยาราชบังสัน(จุ้ย) และ พระยายมราช(จุ้ย) เมื่อมีการรัฐประหาร ถูกจับประหารชีวิต บุคคลผู้นี้นับถือศาสนาอิสลาม ผู้สืบสายสกุลที่สำคัญต่อมากับธิดาของพระยาสงขลา คือสายสกุล มานะจิตร ชลายนเดชะ เป็นต้น

          นายบุญยัง เป็นบุตรชายคนที่สอง ของ พระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู กับ หม่อมสุณี เคยเป็น มหาดเล็กที่กรุงศรีอยุธยาเรียกชื่อว่า หลวงลักษมาณา(บุญยัง) ในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ได้รับ พระราชทานชื่อใหม่ว่า หงส์ราชคฤห์ เคยดำรงตำแหน่งเป็น พระยาวิสูตรสงครามรามภักดี(บุญยัง) ปกครอง เมืองท่าทอง ต่อมาได้เสียชีวิตในสงครามเก้าทัพ ผู้สืบสายตระกุลต่อมาที่สำคัญ คือ ตระกูล วิชัยดิษฐ์

          นายหวัง บุตรชายคนที่สาม ของ พระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู กับ หม่อมสุณี ในสมัยราชอาณาจักร เสียม กรุงคันธุลี นับถือศาสนาพุทธ ได้รับพระราชทานชื่อใหม่ว่า ศรีสุราษฎร์ มีตำแหน่งเป็น หลวงอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง(หวัง) ตำแหน่งปลัดเมืองไชยา

          ต่อมาในสมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี ได้เป็น พระยาวิชิตภักดีศรีพิชัยณรงค์(หวัง) เป็น พระยาราชบังสัน(หวัง) มีภรรยาหลายคน

          ในสมัยราชวงศ์จักรี พระยาราชบังสัน(หวัง) มีตำแหน่งเป็น พระยายมราช(หวัง) ผู้สืบสายตระกูลที่ สำคัญ เช่น ตระกูล ถึงแก้ว มีแก้ว ปิ่นแก้ว นาคเวียง รอดเกิด ชุมภูพล สาเมืองวิศรุตพิชญ์ เวชสุวรรณ แสงสุวรรณ เชิงสมอ ไทยปาน มาฆทาน ศิโรมาศกุล แสงเดช รองศรีแย้ม วิชิตเชื้อ และ ถาวรเศรษฐ เป็นต้น

          ด.ญ.ชื่น เป็นบุตรสาวคนเล็ก ของ พระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู กับ หม่อมสุณี สมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ได้รับพระราชทานชื่อใหม่ว่า สาระพี

          ในสมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี ได้สมรสกับ พระยาจักรี(ทองด้วง) มีพระราชธิดาองค์หนึ่ง มีพระนามว่า เจ้าหญิงพะนอศรี ได้อพยพมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่เมืองไชยา เจ้าหญิงพะนอศรี เป็นผู้นำ สมบัติของ หม่อมสาระพี ไปสร้างโรงเรียนขึ้นแห่งแรกในท้องที่ จ.สุราษฎร์ธานี คือ โรงเรียนสาระพีอุทิศ ตั้งอยู่ใน อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน นั่นเอง สายนี้ไม่มีผู้สืบสายตระกูล

           (๒)    ขุนนางอำมาตย์ สายสกุลเจ้าพระยาจักรีมุกดา กับ ภรรยาคนที่-๒

          นายรุก เป็นบุตรชายคนโต ของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา กับ ภรรยาคนที่-๒ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เคยเป็น ปลัดเมืองไชยา พระยาไชยา(รุก) ต่อมาได้ตกเป็นเชลยศึกของพม่า และกลายเป็นผู้ทรยศต่อแผ่นดินสยาม ในขณะนั้น ต่อมาในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี พระยาไชยารุก นอกราชการ เป็นกบฏ ได้เข้า ร่วมกับ เจ้าฟ้าจุ้ย ต่อสู้กับ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) มาอย่างต่อเนื่อง

          ในสมัย ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี นายรุก เป็นผู้ติดต่อกับคนไทย เพื่อส่งข้อมูลให้กับพม่า นายรุก มีความสนิทสนม กับ นายบุนนาค และเจ้าฟ้าจุ้ย จึงเป็นศัตรู กับ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เมื่อเกิด สงครามเก้าทัพ สมัยราชวงศ์จักรี นายรุกนำกองทัพพม่าเข้ายึดครองเมืองต่างๆ ในภาคใต้และเสียชีวิตใน สงคราม ณ สมรภูมิ บริเวณแม่น้ำตาปี ใกล้สะพานพระจุลจอมเกล้าฯ ในปัจจุบัน

          นายบุญรอด(ดำ) เป็นบุตรชายคนรอง ของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา กับ ภรรยาคนที่สอง สมัยกรุงศรีอยุธยา เคยเป็นพระยาระยอง(บุญรอด) เป็นผู้วางแผนจับกุม พระยาจักรีสิน เพื่อส่งให้กับพระเจ้าเอกทัศน์ แต่ พระยาจักรีสิน ก็ไม่ถือโทษ เสนอให้กลับเนื้อกลับตัว และถูกย้ายไปปกครองเมืองบางละมุง แทนที่

          นายเริ่ม หรือ นายเสม เป็นบุตรชายคนที่สาม ของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา กับ ภรรยาคนที่สอง นายเริ่ม เป็นสามีของ พี่สาวพระยาราชบุรี(ทองด้วง) ที่ชื่อว่า นางสา ในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี พระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) โปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็น พระยาอินทร์รักษา(เสม) เป็นผู้ปกครองเมืองตะกั่วป่า

         ต่อมาในสมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี พระยาอินทร์รักษา ได้มีตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

         นายหมวก เป็นบุตรชายคนสุดท้องของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา กับ ภรรยาคนที่สอง เป็นน้องชายคน สุดท้องของ พระยาไชยารุก นอกราชการ ในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ได้โปรดเกล้าให้เป็น พระยาอินทร์วิเศษ(หมวก) ปกครองเมืองท่าขนอน ปัจจุบันคือสายสกุล อินทร์วิเศษ และ มีขนอน เป็นต้น

           (๓) ขุนนางอำมาตย์ สายสกุลเจ้าพระยาจักรึมุกดา กับ ภรรยาคนที่สาม

          นายบุญรอด(ขาว) เป็นบุตรชายคนโต ของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา กับ ภรรยาคนที่สาม ได้สมรสกับ นางประยงค์ น้องสาวของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ได้รับโปรดเกล้า ให้เป็น เจ้าพระยาอินทร์วงศา(บุญรอด) ตำแหน่ง พระยากลาโหม เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญมาก ในสมัย ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี ปัจจุบันคือสายตระกูล ณ ตะกั่วป่า

          นายบุญมา เป็นน้องชายของ นายบุญรอด(ขาว) ในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี โปรดเกล้า ให้เป็น พระยาอินทร์รักษา(บุญมา) ตำแหน่งเจ้าเมืองตะกั่วป่า แล้วมีตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ผู้สืบสายตระกูล ในปัจจุบัน คือตระกูล อินทร์รักษา ฯลฯ

          นายบุญมี เป็นน้องชายอีกคนหนึ่งของ นายบุญรอด ในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) โปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็น พระยาอินทร์อภัย ปกครองเมืองชายฝั่งทะเลตะวันตก ปัจจุบันคือสายตระกูล อินทร์อภัย

          นายบุญจันทร์ เป็นน้องชายอีกคนหนึ่งของ นายบุญรอด ในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี พระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) โปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็น พระยาอินทร์อัครราช ปกครองเมืองชายฝั่งตะวันทะเลตก

          (๔) ขุนนางอำมาตย์ สายสกุลเจ้าพระยาจักรีมุกดา กับ ภรรยาคนที่-๔(นางบุญศรี)

          นายบุญนาค เป็นบุตรคนโต ของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา กับ นางบุญศรี ในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) มิได้โปรดเกล้าแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอันใด เนื่องมาจาก เจ้าพระยาจักรีมุกดา ได้เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ.๒๓๐๗ ทำให้นางบุญศรี ไปได้ พระยาจ่าแสนยากร เป็นสามีใหม่ และอพยพไปอาศัยอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา ไปเป็นขุนนางอำมาตย์ ของ เจ้าฟ้าจุ้ย สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จึงไม่ไว้วางพระทัย แต่เมื่อเจ้าฟ้าจุ้ย ถูกปราบปราม และสวรรคต ก็ได้ขอมารับราชการอยู่อย่างลับๆ กับ พระยาจักรีทองด้วง และเป็นผู้ร่วมก่อการรัฐประหาร ในเวลาต่อมา ปัจจุบันคือ สายตระกูล บุนนาค นั่นเอง

          (๕) ขุนนางอำมาตย์ สายสกุลญาติใกล้ชิด ของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา

          นายขุน คางเหล็ก เป็นบุตรชายของ มหาทุมตะตา หรือ พระยาราชบังสัน(ตะตา) เป็นญาติ ลูกพี่ลูกน้องกับ พระยาไชยา(บุญชู) เคยอยู่ในกองพันทหารม้าพระยาตาก ตั้งแต่สมัยที่สมเด็จพระเจ้าตากสิน ฯ ดำรงตำแหน่งเป็น พระยาราชบังสัน(สิน) ปกครองเมืองธนบุรี ต่อมาได้ไปช่วยราชการบิดาที่เมืองพัทลุง เมื่อทราบข่าวว่า แม่ทัพพระยาจักรีสิน มาสร้างกองทัพลับที่ เมืองคันธุลี จึงได้มาร่วมงานกันอีกครั้งหนึ่ง ใน สมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ครั้งแรกสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชรสิน ได้แต่งตั้ง นายบุญจันทร์ เป็น พระยาพัทลุง ส่วนนายขุนคางเหล็ก ได้มาช่วยราชการที่กรุงคันธุลี แต่ต่อมานายบุญจันทร์ ถูกโยกย้ายไปว่า ราชการที่อื่น จึงโปรดเกล้าให้ นายขุน คางเหล็ก เป็น พระยาแก้วโกรพ ปกครอง เมืองพัทลุง ผู้สืบสาย ตระกูลในปัจจุบัน คือสายตระกูล ณ พัทลุง

 

ขุนนาง จากกองพันทหารม้าพระยาตากสิน ที่ร่วมสร้างกองทัพ ณ เมืองท่าชนะ

          กองพันทหารม้าพระยาตากสิน ก่อกำเนิดขึ้นมาจากหน่วยทหารม้าที่ทำหน้าที่ควบคุมกองคาราวาร เกวียนค้าขายระหว่างเมือง ของ พระยาตากสิน ที่ปลอมตัวเป็นพ่อค้าเกวียนเพื่อสืบหาข้อมูลขุนนางอำมาตย์ชั่ว ที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ต่อมาหน่วยทหารม้าพระยาตาก ค่อยๆพัฒนาเป็น กองพันทหารม้าที่เข้มแข็ง สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว และรบด้วยอาวุธปืนที่ทันสมัย ในสมัยนั้น ประชาชนเรียกว่า กองพันทหารม้าพระยาตากสิน ต่อมา ทหารม้าหลายท่านได้มาร่วมกันสร้างกองทัพ เพื่อการเตรียมทำสงครามกอบกู้เอกราชและกลายเป็นขุนนางอำมาตย์ ที่สำคัญ กลายเป็นผู้ปกครองเมืองต่างๆ เป็นจำนวนมากในเวลาต่อมา ใน ที่นี้จะนำบุคคลบางส่วน มากล่าวไว้โดยสังเขป ดังนี้

          พระเชียงเงิน เป็นทหารในกองพันทหารม้าพระยาตากสิน มาตั้งแต่สมัยที่ พระยาตากสิน ปลอมตัวเป็นพ่อค้าเกวียน ได้มาร่วมสร้างกองทัพ ที่เมืองคันธุลี ต่อมาในสมัยราชอาณาจักรเสืยม กรุงคันธุลี สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) แห่ง ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี โปรดเกล้าให้ พระเชียงเงิน เป็นทหารอยู่ใน กองทัพหลวง และได้รับโปรดเกล้าให้เป็น พระเชียงเงินท้ายน้ำ

          ต่อมาในสมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี พระเชียงเงินท้ายน้ำ ได้รับโปรดเกล้าให้เป็น พระยาสุโขทัย ปกครองเมืองสุโขทัย

          หลวงพรหมเสนา เป็นน้องชายคนหนึ่งของ หลวงพิชัย (หยางจิ้งจุง) เป็นผู้ช่วยทำงานร่วมกับพระยาตากสิน มาโดยตลอด ในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา มีตำแหน่งเป็น พระยาพิพัฒน์โกษา ว่าราชการในกรมคลัง ต่อมาในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี สมเด็จพระศรีสรรเพชร(สิน) โปรดเกล้าให้เป็น พระยาพิพัฒน์โกษา ทำหน้าที่ควบคุมท้องพระคลังหลวง และให้รับผิดชอบจัดหา รวบรวมเสบียงกรังส่งให้กับทหารแนวหน้า อีกด้วย

         ในสมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี ได้รับโปรดเกล้าให้เป็นราชทูต ต่อจาก ราชทูตหยางจิ้งจุง เรียกชื่อว่า พระยาสุนทรไมตรี ต่อมาถูกขุนนางอีกกลุ่มหนึ่งวางแผนวางยาพิษ เสียชีวิตในประเทศจีน เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๔ ขณะเดินทางจากประเทศจีน กลับสู่ราชอาณาจักรเสียม-หลอ

          หลวงพรหมเสนามีบุตรชายที่สำคัญคนหนึ่งชื่อ ฤกษ์ ประชาชนมักจะเรียกชื่อว่าขุนฤกษ์ หรือ ขุนท่องสื่อ บุคคลผู้นี้ต่อมาในสมัยราชวงศ์จักรี ก็คือ เจ้าพระยาไกรโกษา(ฤกษ์) ในกรมพระราชวังบวรฯ(บุญมา) นั่นเอง เมื่อกรมพระราชวังบวรฯ สวรรคต เจ้าพระยาไกรโกษา(ฤกษ์) ได้อพยพครอบครัวมาอาศัยอยู่ใน ท้องที่ ต.วัง อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน ผู้สืบสายสกุล คือตระกูล ชัยฤกษ์ พรหมหิตาทร และ ถาวรเศรษฐ เป็นต้น ส่วนใหญ่ตั้งรกรากอยู่ในท้องที่ ต.วัง อ.ท่าชนะ ในปัจจุบัน

         ขุนชำนาญไพรสณฑ์ เป็นชาวไชยาโดยกำเนิด เคยเป็นพระสหายของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มา ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ จึงได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ทำการคล้องช้างมาขังไว้ที่คอกช้าง เมืองท่าชนะ และนำช้าง มาฝึกที่ ทุ่งหลักช้าง บริเวณทุ่งลานช้าง เมืองท่าชนะ ครั้งแรกเป็นผู้ควบคุมช้างเพื่อการนำไปชักลากไม้มา มอบให้ อู่ต่อเรือสำเภา เมื่อภารกิจ ดังกล่าวเสร็จสิ้น ก็ได้นำช้างไปฝึกที่ ทุ่งพระยาชนช้าง เพื่อนำช้างมาใช้ประโยชน์ในการทำสงคราม จนกระทั่งสามารถสร้างกองร้อยทหารช้าง ขึ้นมาสำเร็จ เคยนำกองร้อยทหาร ช้างเข้าบดขยี้กองทัพพม่าที่ วัดศรีราชัน และที่เมืองเพชรบุรี มาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๐๗

          ต่อมาในสมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี มีหลักฐานว่าได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็น สมุบัญชีช้างขวา ในกรมพระคชบาลซ้าย

          หลวงพิชัยอาสา เดิมมีชื่อว่า นายจ้อย หรือ นายทองดี มีความสามารถในการต่อยมวย มาก ต่อมา ได้มารู้จักกับพระยาตากสิน ในสมัยที่พระยาตากสิน ปลอมตัวเป็นพ่อค้าเกวียน จึงได้ขออาสา มาอยู่ใน หน่วยทหารม้าพระยาตากสิน จนกระทั่งกลายเป็น กองพันทหารม้าพระยาตากสิน มีตำแหน่งเป็น หลวงพิชัยอาสา ในกรมการเมืองตาก เป็นทหารองค์รักษ์พระยาตากสิน มาโดยตลอด ในสมัย ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ได้รับโปรดเกล้าให้เป็นทหารองค์รักษ์ ในกองทัพหลวง เป็น เจ้าหมื่นไวยวรนาถ

          ในสมัย ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี มีตำแหน่งเป็น พระยาพิชัยอาสา ครั้นทำสงครามปราบปราม เจ้าพิมาย ได้แล้ว ได้รับโปรดเกล้า เป็นพระยาสีหนาทเดโช ผู้รั้งเมืองพิชัย ต่อมาได้เป็น เจ้าพระยาพิชัยสงคราม(ดาบหัก) ครองเมืองพิชัย เมื่อมีการรัฐประหาร ถูกประหารชีวิต

           นักองค์ราม เป็นเชื้อสายราชวงศ์ของ ประเทศเขมร ได้หลบภัยการเมืองมาอยู่ที่ กรุงศรีอยุธยา ต่อมาได้มาเป็นทหารร่วมอยู่ใน กองพันทหารม้าพระยาตากสิน และในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ได้ไปเป็นทหารอยู่กับ หลวงพิพิธ(เฉินเหลียง) ที่เมืองพุทไธมาศ

ในสมัย ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้โปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็น กษัตริย์ปกครองประเทศเขมร

 

ขุนนางผู้มีพระคุณ ของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ร่วมสร้างกองทัพกู้เอกราช

          ขุนนางอำมาตย์ ผู้ที่มิได้เป็นเครือญาติ แต่มีพระคุณต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มีอยู่สองท่าน คือ เจ้าพระยาสรประสิทธิ์ (ไชยเวช) และสมเด็จพระสังฆราช พระองค์แรก สมัยกรุงธนบุรี ขุนนางเหล่านีล้วน เป็นผู้มีพระคุณ คอยให้การศึกษา อุปถัมภ์ค้ำจุน สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ มาตั้งแต่วัยเด็ก และได้ร่วม สนับสนุนสร้างกองทัพเพื่อกอบกู้เอกราชร่วมกับแม่ทัพพระยาจักรีสิน มาโดยตลอด จึงได้รับโปรดเกล้าให้ เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในเวลาต่อมา

         ตาผ้าขาวพราหมณ์ไชยเวช เป็นพระอาจารย์ท่านหนึ่งของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เป็นผู้สอน วิชาป้องกันตัว ท่านผู้นี้ต่อมาได้มาร่วมสร้างกองทัพลับที่เมืองคันธุลี ด้วย โดยเป็นผู้ฝึกวิชาป้องกันตัว และ วิธีการบวงสรวงเซ่นไหว้ดวงวิญญาณบรรพชนผู้ล่วงลับไปแล้วให้กับทหาร ในสมัยราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชรสิน โปรดเกล้าให้เป็น พระยาสรประสิทธิ์ (ไชยเวช) ผู้ทำพิธีกรรมต่างๆ

          ในสมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี ได้เป็น เจ้าพระยาสรประสิทธิ์ เมื่อเกิดการรัฐประหาร ท่านได้มาอยู่อาศัยที่บ้านเชิงหาร ต.ป่าเว อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน และเสียชีวิตที่นั่น สายตระกูล พราหมณ์ ในท้องที่ จ.สุราษฎร์ธานี มักจะสืบสายตระกูลมาจาก เจ้าพระยาสรประสิทธิ์ เป็นส่วนใหญ่เช่น ตระกูล ศิวายพราหมณ์ พราหมณ์ชูเอม และ ไชยพราหมณ์ เป็นต้น

          เจ้าอาวาดวัดศรีราชัน เป็นผู้มีพระคุณอีกท่านหนึ่งของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ท่านผู้นี้คือพระอาจารย์ที่พระภิกษุในวัดต่างๆ ของสยามปักษ์ใต้ให้ความเคารพในฐานะพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ผู้ปกครองวัด เก่าแก่ในดินแดนสยามปักษ์ใต้ท่านได้นำพระภิกษุของวัดต่างๆ ในสยามปักษ์ใต้ให้เข้าร่วมมือกับแม่ทัพพระยาจักรีสิน เพื่อการสร้างกองทัพลับเพื่อการกอบกู้เอกราช มาอย่างต่อเนื่อง พระอาจารย์ท่านนี้ในสมัย ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี เป็น สังฆราช และเป็น ประธานสภาโพธิ

          ในสมัยราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี พระอาจารย์ท่านนี้ก็คือ สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ แรก สมัยกรุงธนบุรี นั่นเอง เป็นผู้บันทึกพระราชพงศาวดารสมัยกรุงธนบุรี ต่อมาในสมัยราชวงศ์จักรี ถูก ถอดถอนออกจากตำแหน่ง

 

สถานการณ์ที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ขึ้นครองราชย์สมบัติ

          ก่อนที่ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จะขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นกษัตริย์ ของ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี นั้น พระเจ้ามังระ เคยส่งพระราชสาสน์ ผ่านมาทาง พระยาไชยารุก นอกราชการ เพื่อให้พระยาราชบุรีทองด้วงส่งมอบให้กับพระเจ้าเอกทัศน์เนื้อหาในพระราชสาสน์ ของพระเจ้ามังระได้เสนอให้กรุงศรีอยุธยา ยอมรับการเป็นเมืองขึ้นของ ราชอาณาจักรพม่า แต่โดยดี และทางกองทัพพม่าจะถอนทัพกลับ แต่ พระเจ้าเอกทัศน์ ปฏิเสธข้อเสนอมาโดยตลอด แม้จะลูกกดดันจากขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง อย่างมากก็ตาม

          เมื่อกองทัพพม่าได้สร้างป้อมค่ายเสร็จสิ้น จำนวน ๒๗ ป้อมค่าย เพื่อปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา พระเจ้ามังระ ก็มอบให้พระยาไชยารุกนอกราชการเชลยศึกพม่านำพระราชสาสน์ของพระเจ้ามังระ ส่งผ่าน ให้กับนายเริ่ม หรือ นายเสม บุตรชายคนหนึ่งของ เจ้าพระยาจักรีมุกดา ผู้เป็นน้องชายของพระยาไชยารุก นอกราชการ เพื่อส่งผ่านไปยังพระยาราชบุรีทองด้วงมอบให้ไปถวายให้กับพระเจ้าเอกทัศ อีกครั้งหนึ่ง โดย เสนอให้ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ ยอมเป็นประเทศเมืองขึ้น ของ ราชอาณาจักรพม่า แต่พระเจ้าเอกทัศ ปฏิเสธข้อเสนออีกครั้งหนึ่ง แม้จะถูกกดดันจากขุนนางกังฉินก็ตาม ต่อมาเมื่อแม่ทัพมังมหานรธา ถึงแก่ อนิจกรรมเมื่อประมาณเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๓๐๙ พระเจ้ามังระ ก็มอบอำนาจการเจรจาให้กับ แม่ทัพเนเมียวสีหบดี แต่เพียงผู้เดียว และแม่ทัพเนเมียวสีหบดี ก็ใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่อง ให้กรุงศรีอยุธยา ยอมรับ การเป็นเมืองขึ้นของราชอาณาจักรพม่า

          เหตุการณ์ก่อนที่ พระยาจักรีสิน จะทำพิธีมหาไชยาบรมราชาภิเษก ขึ้นครองราชย์สมบัติ เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๓๐๙ นั้น อำนาจในการบัญชาการรบตกแก่ แม่ทัพเนเมียวสีหบดี แต่เพียงผู้เดียว พระเจ้าเอกทัศน์ ได้รับสั่งอย่างลับๆ ให้ พระยาราชบุรีทองด้วง เป็นราชทูตลับ ในการติดต่อเจรจากับพม่า โดยการติดต่อ ผ่าน พระยาไชยารุก นอกราชการ ซึ่งเป็นเชลยศึกของพม่า

          การที่พระเจ้าเอกทัศน์ รับสั่งให้ พระยาราชบุรีทองด้วง เป็นราชทูตลับ ติดต่อกับ พระยาไชยารุกนอก ราชการ นั้นเพราะ นายทองด้วง มีสายสัมพันธ์ทางเครือญาติอยู่กับ พระยาไชยารุก นอกราชการ ด้วย เนื่องจาก น้องชายคนหนึ่งของ นายรุก มีชื่อว่า นายเริ่ม ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น นายเสม ได้ไปสมรสกับ พี่สาวคนหนึ่งของ พระยาราชบุรีทองด้วง ซึ่งมีชื่อว่า นางสา(กรมพระยาเทพสุภาวดี)

พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา ได้กล่าวถึงสารของ แม่ทัพเนเมียวสีหบดี ตอนหนึ่งว่า

          "... เนเมียวมหาเสนาบดี จึงตอบความตามโวหารพาลอาสัจอธรรมกล่าวว่า แต่ก่อนพระนครศรีอยุธยาเคยถวาย สุวรรณหิรัญบุปผาบรรณาการแก่กรุงหงสาวดีมาดราบเท่ากรุงอังวะได้เป็นใหญ่ บัดนี้กรุงไทยตั้งแข็งเมือง มิได้ไปอ่อนน้อมยอมออกแก่กรุงอังวะ ละขนบธรรมเนียมบูรพประเพณีเสีย พระเจ้ากรุงอังวะจึงให้ยก กองทัพมาตีเอาเป็นเมือง(ทิศตะวัน)ออก เหมือนอย่างแต่ก่อน ล่ามบอกความตามถ้อยคำพม่าแก่เสนาบดีไทย ๆ ก็เอาจดหมายเอาคำพม่ากลับเข้ามากราบทูลพระกรุณาให้ทราบ พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงดำรัสว่า อ้ายพม่าเจรจาโกหกเอาเปล่าๆ ความหาจริงไม่..."*'

          เหตุการณ์หลังจากนั้น นายเริ่ม หรือ นายเสม ไม่เห็นความคืบหน้าในการเจรจา ก็ต้องตัดสินใจนำ ครอบครัวหลบหนีไปสวามิภักดิ์ต่อ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อใหม่จากชื่อ นายเริ่ม เป็น นายเสม ทั้งนี้เพราะนายเริ่ม อับอายขายหน้าที่พี่ชาย พระยาไชยารุก นอกราชการ เป็นผู้ทรยศ ต่อ ชนชาติไทยสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จึงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้นายเสม เป็น พระยาอินทร์รักษา(เสม) ปกครองเมืองตะกั่วป่า และได้รับสั่งให้เป็นหัวหน้าคณะราชทูต ไปเจรจาความเมืองกับ พระยานคร(หนู) ให้ ยอมสวามิภักดิ์กับ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ผู้ปกครอง ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี

 

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ส่ง นายเสมไปเจรจากับ เจ้าพระยานครหนู

          เมื่อสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นกษัตริย์ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี นั้น พระองค์ได้พยายามปฏิบัติตามแนวทางนโยบาย ยุทธศาสตร์ ที่ได้กำหนดไว้ คือการส่งคณะราชทูตไป เจรจากับเจ้าเมืองต่างๆ ในดินแดน ราชอาณาจักรเสียม คือดินแดนภาคใต้ตั้งแต่เมืองเพชรบุรี ลงมา ให้ยอมสวามิภักดิ์ต่อพระองค์เพื่อร่วมกันสร้าง ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ให้เข้มแข็ง เพื่อเตรียมทำสงครามขับ ไล่กองทัพพม่าที่เข้ามาครอบครองดินแดนของ ราชอาณาจักรละโว้ กรุงศรีอยุธยา จึงเป็นที่มาให้ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้ส่ง นายเสม สามีของ นางสา พี่สาวของ พระยาราชบุรีทองด้วง ให้เป็นราชทูตไป เจรจากับ พระยานครหนู(หลวงสิทธิ์นายเวร) เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช น้องชายพระยาวิชิตณรงค์

           เมื่อ พระยาอินทร์รักษา(เสม) พร้อมคณะเดินทางจากเมืองตะกั่วป่า ไปเจรจาความเมือง กับ ว่าที่พระยานคร(หนู) ผู้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ในขณะนั้น พระยานคร(หนู) ยอมรับการถวายราชย์สมบัติของ พระเจ้าอุทุมพรให้กับพระยาจักรีสิน แต่มีข้อเสนอกลับมาว่า ขอให้เมืองนครศรีธรรมราช เป็นเมืองมหาอุปราช ของ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี เป็นผู้ปกครองเมืองสงขลา ปัตตานี กะลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี เหมือนกับขนบธรรมเนียมที่เคยมีมาในอดีต ยกเว้นเมืองต่างๆ ทางชายฝั่งทะเลตะวันตก ซึ่งสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้ส่งเจ้าเมืองไปปกครองเรียบร้อยแล้ว โดยพระยานครหนู จะยอมอ่อนน้อม ขึ้นต่อ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี แต่ราชทูต ต่อรองให้เมืองปีตตานี ปกครองโดย หยางจิ้งจุง

          เหตุการณ์ต่อมาหลังจากกรุงศรีอยุธยา แตกพ่ายแก่กองทัพพม่า เมื่อ เจ้าฟ้าจุ้ย ได้ประกาศตั้งตนเป็น กษัตริย์ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ ได้เสนอตำแหน่ง มหาอุปราช ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ ให้แก่เจ้านครหนู สถานการณ์จึงได้พลิกผันไป เมื่อเจ้านครหนูประกาศไม่ยอมขึ้นต่อ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) แต่กลับยอมรับการขึ้นครองราชย์สมบัติของ เจ้าฟ้าจุ้ย แทนที่ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จึงต้องยก กองทัพไปทำสงครามปราบปราม เจ้านครหนู ในเวลาต่อมา

 

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) สร้างเหมืองแร่ทองคำ เป็นกองทุนกอบกู้เอกราช

          เส้นทางการกอบกู้เอกราชของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) มิได้โรยด้วยกลีบดอกกุหลาบ มิได้ เกิดขึ้นเพราะบุญบารมีที่เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล แต่เกิดขึ้นจริงจากพื้นฐานของความรักชาติ ที่เกิดขึ้นจากการ เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติสยาม มาอย่างลึกซึ้ง ทำให้พระองค์เกิดความจงรักษ์ภักดีต่อสถาบันชาติศาสน์ กษัตริย์ อย่างมั่นคง สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จึงเกิดความพยายามทางอัตตะวิสัย และการใช้ความพยายามในการสร้างภาวะวิสัย มาตั้งแต่ก่อนการขึ้นครองราชย์สมบัติ จนกระทั่งได้ขึ้นมาสืบทอดราชสมบัติ ล้วนมีแต่อุปสรรคและขวากหนามที่รออยู่เบื้องหน้า พระองค์ใช้ความพยายามฝ่าฟันอุปสรรคและขวากหนามตลอดเส้นทางการกอบกู้เอกราช โดยไม่ยอมพ่ายแพ้แก่อุปสรรคอันใดจนสำเร็จ

          การทำสงครามกอบกู้เอกราชของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) นั้น ล้วนต้องใช้เงินทุน เพราะ กองทัพต้องเดินทัพด้วยท้อง นอกจากอาหารการกินแล้ว ยังต้องมีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และอาวุธ ทันสมัยในการทำสงครามอีกด้วย เนื่องจากประชาชนในดินแดนสยามปักษ์ใต้ ต้องส่งข้าว และเครื่องนุ่งห่ม ไปให้กับกรุงศรีอยุธยา ต่อสู้กับกองทัพพม่า จนกระทั่งไม่มีข้าวเปลือกเหลือให้เก็บไว้ในยุ้งฉาง เสื้อผ้าก็แทบไม่มีห่อหุ้มร่างกาย เสบียงอาหารที่ส่งไปยังกรุงศรีอยุธยา มักจะถูกกองทัพพม่าแย่งยึดไปเป็นส่วนใหญ่

         เมื่อสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ขึ้นครองราชย์สมบัติ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี จึงต้องเร่ง สร้างปัจจัยสี่ เพื่อให้เพียงพอต่อการตอบสนองของกองทัพในการเตรียมการทำสงครามกอบกู้เอกราช สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ยังต้องจัดหาอาวุธที่ทันสมัยมาใช้ในกองทัพ เพื่อการสัรบกับข้าศึกด้วย เนื่องจากการรบในสมัยนั้น มิได้เป็นการรบด้วยหอกดาบ ตามที่มีผู้ปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลัง แต่ได้พัฒนา เป็นสงครามการรบด้วยอาวุธปืนที่ทันสมัยขึ้นแล้ว

         ก่อนการขึ้นครองราชย์สมบัติของสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) นั้น พระยาจักรีสินได้มอบให้ หลวงพิพิธ(เฉินเหลียง) ไปปกครองเมืองพุทไธมาศ เพื่อค้าขายจัดหาทุนรอนมาใช้ในการสร้างกองทัพเพื่อ แย่งยึดราชย์สมบัติกลับคืนให้กับพระเจ้าอุทุมพร และทำสงครามขับไล่กองทัพพม่าออกไปจากผืนแผ่นดินไทย เงินทุนที่ได้รับ เมื่อรวมกับเงินบริจาคของขุนนางผู้รักชาติ ก็เพียงพอต่อการสร้างกองทัพเรือลับ แต่เมื่อ พระองค์ต้องขึ้นมาครองราชย์สมบัติ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ขึ้นมาจริง พระองค์เริ่มขาดแคลนเงินทุน ในการจัดซื้ออาวุธปืนที่ทันสมัยเพื่อการต่อสู้กับข้าศึก สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จึงตัดสินพระทัยทำ เหมืองแร่ทองคำ ที่เมืองห้วยยอด และ เมืองบางสะพานใหญ่ เพื่อเป็นรายได้ในการจัดซื้ออาวุธปืนที่ทันสมัย มาเพิ่มเติม นอกเหนือจากการผลิตขึ้นใช้เอง

         เรื่องราวการทำเหมืองแร่ทองคำของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ไม่มีการกล่าวไว้ในหลักฐานใดๆ ที่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ มีแต่คำบอกเล่าของหลายสายตระกูล กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) มีพี่น้องต่างมารดา คนหนึ่งซึ่งไม่ทราบนามที่แท้จริง เมื่อขุนพัฒน์(นายหยุง แซ่ลิ้ม) ถูกประหารชีวิต จึงได้หนีกองทัพพม่า มาช่วยพระยาจักรีสิน ที่เมืองคันธุลี และได้มีตำแหน่งเป็นขุนนางที่เรียกชื่อว่า พระยาอนุวงศา ที่มาร่วมทำงานกอบกู้เอกราชกับสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ที่เมืองท่าชนะ ด้วยเนื่องจาก พระยาอนุวงศา เคยได้รับการถ่ายทอดการเรียนรู้การเป็นช่างทอง มาจาก ขุนพัฒน์ หรือ นายหยุง แซ่ลิ้ม ผู้เป็นพระราชบิดาของสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ก่อนที่จะไปมีอาชีพการค้าข้าวที่ทุ่งสีลม เมืองบางกอก

 

ภาพที่-๒๕ ภาพประชาชนที่เมืองคันธุลี ร่วมกันนำสิ่งของเซ่นไหว้ไปบวงสรวงเซ่นไหว้ ดวงวิญญาณพ่อตาคลองหิต และ แม่นางคลองหิต ผู้รักษาแหล่งทองคำของเมืองครหิต เป็น ประจำ และเป็นประเพณีทุกๆ ปี ศาลพ่อตาเจ้าที่ ดังกล่าว ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับ เหมืองทองเจ้าตาก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของภูเขาคันธุลี

 

          เนื่องจาก เมืองครหิต หรือ เมืองคลองหิต ดั้งเดิมที่เคยเป็นแหล่งทองคำแหล่งใหญ่ในดินแดน สุวรรณภูมิมาตั้งแต่สมัยโบราณ ที่ทองคำถูกขุดกันจนเหลือแต่ทองคำใต้พื้นดินที่ลึกมากเท่านั้น สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้รับสั่งให้พระยาอนุวงศา นำไพร่พลไปทำเหมืองทองคำ บริเวณท่าเรือคลองหิต ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของ ภูเขาคันธุลี ซึ่งเป็นเขตต่อเชื่อมกับทุ่งพระยาชนช้าง ของเมืองคันธุลี ส่วนโรงงานผลิตปืนลูกซอง นั้น ได้มอบให้ ขุนฤทธิ์เดช ผู้เป็นน้องชาย เป็นผู้รับผิดชอบ

          จากการสำรวจท้องที่เมืองคันธุลี เชื่อว่าเหมืองแร่ทองคำของสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ตั้งอยู่ บริเวณทางทิศใต้ของสวนยายหอม(มารดาบุญธรรมของพระยาพาน) ตั้งอยู่ใกล้กับที่ตั้งศาลพ่อตา-แม่ยาย คลองหิต หรือทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของ ภูเขาคันธุลี พื้นที่ดังกล่าวเป็นแอ่งลึกมาก ลึกมาจนถึงปัจจุบัน ผู้สูงอายุในท้องที่ดังกล่าวที่เป็นสายตระกุลสมเด็จพระเจ้าตากสินฯเล่าว่าพื้นที่ดังกล่าว เคยเป็นท่าเรือเมืองครหิต และเคยเป็นเหมืองแร่ทองคำเก่าของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เรียกกันว่า เหมืองทองเจ้าตากฯ

          เนื่องจากการขุดดินเพื่อขุดค้นหาแร่ทองคำในพื้นที่ดังกล่าวต้องขุดลึกมาก ในระยะแรกๆ สามารถร่อนหาทองคำ ได้มาเป็นจำนวนมาก แต่ต่อมาเมื่อถึงหน้าฝน น้ำในคลองหิต และ คลองคันธุลี ได้ซึมเข้ามาในเหมืองแร่ต้องใช้ไพร่พลวิดนำออกตลอดเวลา เหมืองแร่ทองคำของพระเจ้าตากสิน ทำมาได้จนถึงปลายปี พ.ศ.๒๓๐๙ ก็เกิดฝนตกหนักในท้องที่ภาคใต้ น้ำฝนจึงท่วมเหมืองแร่สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จึงรับสั่งให้ พระยาอนุวงศา นำไพร่พลอพยพไปทำเหมืองแร่ทองคำที่เมืองกำเนิดนพคุณ(บางสะพานใหญ่) แทนที่ โดยให้มีตำแหน่งเป็น เจ้าเมืองกำเนิดนพคุณ ด้วย

          เมื่อพระยาอนุวงศา ได้นำไพร่พลไปทำเหมืองแร่ทองคำที่บางสะพานใหญ่ ทองคำที่ได้รับมา และ เงินทุนที่หลวงพิพิธ(เฉินเหลียง) ส่งมาให้ ได้กลายเป็นกองทุนในการใช้ซื้ออาวุธ หรือซื้อวัตถุดิบสร้างอาวุธ ปืนที่ทันสมัย เป็นพื้นฐานในการกอบกู้เอกราชของสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ในเวลาต่อมาสมเด็จพระเจ้าศรสรรเพชร(สิน) ส่งกองทัพเข้ายึดครอง เมืองเพชรบุรี กลับคืน

         เนื่องจาก พระยาเพชรบุรีตาล เป็นบุตรชาย ของ เจ้าพระยาอภัยราชา(รอด) ซึ่งเป็นพี่ชาย ของ เจ้าพระยาราชสุภาวดี(บ้านประตูจีน) ซึ่งเป็นบุตรชายของ สมุหนายก ตั้งแต่สมัยพระเจ้าบรมโกศ เนื่องจาก พระยาเพชรบุรีตาล เป็นขุนนางฝ่ายรักชาติ เป็นผู้ปกครอง เมืองเพชรบุรี มาตั้งแต่สมัยพระเจ้าบรมโกศ แต่ขัดแย้งกับ พระเจ้าเอกทัศน์ ดังนั้นเมื่อพระเจ้าเอกทัศน์ขึ้นครองราชย์สมบัติเมื่อปี พ.ศ.๒๓๐๑ นั้น พระยาเพชรบุรีตาล ก็ถูกปลดออกจากราชการ พร้อมกับติดคุก ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ก็ขึ้นปกครองเมืองเพชรบุรี แทนที่ หม่อมอั๋น ภรรยา ของ พระยาเพชรบุรีตาล ต้องนำบุตรธิดา หลบหนีไปอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๓๐๒ กองทัพพม่า สามารถยึดครองเมืองเพชรบุรี สำเร็จ

          เมื่อ พระเจ้าอุทมพร ขึ้นครองราชย์สมบัติ ก็รับสั่งให้ปล่อยพระยาเพชรบุรีตาล ออกมาจากคุก ขณะนั้น พระยาตากสิน ได้นำกองพันทหารม้าพระยาตากสิน เข้าทำสงครามขับไล่กองทัพพม่า ออกจาก เมืองเพชรบุรี เป็นที่มาให้ พระยาเพชรบุรีตาล เข้าปกครองเมืองเพชรบุรี อีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับได้นำหม่อม อั๋น พร้อมบุตรธิดา กลับคืนเมืองเพชรบุรี อีกครังหนึ่ง

         พระยาเพชรบุรีตาล มีบุตรธิดา กับ หม่อมอั๋น ถึง ๙ คน คือ พระยาเพชรบุรี(รุ่ง) พระยาเพชรบุรี (เรือง) พระยาเพชรบุรี(บุญมี) พระยาเพชรบุรี(บุญมา) บุญเจริญ นางแอ๋ว นางเอียง และ นางอิง บุตรธิดา ทั้ง ๙ ท่านนี้ มีบทบาทสำคัญในการทำสงครามกับกองทัพพม่า มาโดยตลอด

         ในปี พ.ศ.๒๓๐๗ พม่าส่งกองทัพเข้ายึดครองเมืองเพชรบุรี อีกครั้งหนึ่ง แต่ต้องพ่ายแพ้ต่อกองทัพ ของ พระยาเพชรบุรีตาล อย่างยับเยิน เพราะมีกองทัพของสามสหาย ได้มาหนุนช่วยทำลายข้าศึกพม่า ด้วย จนกระทั่งต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๐๘ พระยาเพชรบุรีตาล มีตำแหน่งสูงขึ้น และถูกพระเจ้าเอกทัศ รับสั่งให้นำกองทัพ ไปรับราชการป้องกันกรุงศรีอยุธยา โดยตั้งทัพที่ "ค่ายวัดพิชัย" โดยมอบให้ นายรุ่ง เป็น พระยาเพชรบุรีรุ่ง ปกครองเมืองเพชรบุรี แทนที่

          ต่อมากลางเดือน พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๐๘ กองทัพพม่า ยกกองทัพผ่านด่านสิงขร มุ่งหน้าเข้าล้อม เมืองเพชรบุรี อีกครั้งหนึ่ง พระยาราชบังสันสิน ทราบข่าวว่า เมืองเพชรบุรี อยู่ในภาวะวิกฤต ใกล้จะถูก กองทัพพม่ายึดครอง จึงได้ส่งกองพันทหารม้าพระยาตากสิน เข้าช่วยเหลือบุตรชายของ หม่อมอัน คือ พระยาเพชรบุรี(รุ่ง) และปลัดเมืองเพชรบุรี(มา) ที่กำลังถูกล้อมเมืองให้สามารถหลบหนี ออกจากเมืองเพชรบุรี และเดินทางไปอาศัยอยู่ที่ เมืองท่าชนะ เมืองเพชรบุรี จึงถูกพม่ายึดครองตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๐๘ เป็นต้นมา

          เมืองเพชรบุรี ถูกพม่ายึดครองประมาณหนึ่งปี เมื่อพระยาจักรีสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็น สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ปกครองราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี พระองค์พิจารณาเห็นว่า เมืองเพชรบุรี เคย เป็นเมืองภายใต้การปกครอง ของ ราชอาณาจักรเสียม มาตั้งแต่สมัยโบราณ ดังนั้นเมื่อพระองค์ได้ทำการรื้อฟื้นราชอาณาจักรเสียม ขึ้นมาใหม่ จึงให้นำเมืองเพชรบุรี มาขึ้นต่อราชอาณาจักรเสียม ดังเดิม

        ดังนั้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๐๙ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จึงได้มอบหมายให้ พระยายมราช(รุ่ง) นำกองทัพเข้ายึดเมืองเพชรบุรี กลับคืนเป็นผลสำเร็จ พร้อมกับโปรดเกล้าให้บุตรชายของหม่อม อั๋น ชื่อ บุญมา เป็น พระยาเพชรบุรี(มา) ตั้งแต่นั้นมา

 

พระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ส่งกองทัพเข้ายึดครอง เมืองมะริด และ ตะนาวสี กลับคืน

         เนื่องจากในเดือนเมษายน พ.ศ.๒๓๐๗ แม่ทัพ มังมหานรธา สามารถยกทัพเข้ายึด เมืองมะริด และ เมืองตะนาวสี เมืองท่าสำคัญของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ ทางชายฝั่งทะเลตะวันตก ได้สำเร็จ แต่เมื่อ กองทัพพม่า พ่ายแพ้สงครามในดินแดนสยามภาคใต้ตอนบน จนต้องถอยทัพกลับ และยังพ่ายแพ้กองทัพ ไทยที่เมืองเพชรบุรี อีกด้วย เป็นที่มาให้ เจ้าพระยาราชสุภาวดี เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ในขณะนัน ถือ โอกาสส่งกองทัพเข้ายึดครอง เมืองมะริด และ เมืองตะนาวสี กลับคืนสำเร็จ แต่ไม่นาน พม่าก็ยึดกลับคืน

         ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๓๐๗ พระยาอินทร์รักษา(บุญรอด) น้องเขยของ พระยาราชบังสันสิน ได้นำกองทัพเรือจากเมืองชายฝั่งทะเลตะวันตก เข้ายึดเมือง ตะนาวสี และ เมืองมะริด กลับคืน กองทหารพม่า พ่ายแพ้สงคราม ต้องล่าถอยไปรวมตัวกันที่เมืองทวาย พระยาอินทร์รักษา(บุญรอด) จึงได้แต่งตังผู้รักษา การเมืองชั่วคราว ของทั้งสองเมืองไว้

         ต่อมาขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง พยายามเข้าไปมีบทบาทปกครอง เมืองมะริด และ เมืองตะนาวสี อีกครั้งหนึ่ง ดั้งนั้นในเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๓๐๘ เจ้าเมืองมะริด และ เจ้าเมืองตะนาวสี คนเดิม ได้ขอมาเป็นผู้ปกครองเมืองดังกล่าวอีก แต่เจ้าเมืองคนใหม่ที่ พระยาอินทร์รักษา แต่งตังขึ้น แจ้งว่า เจ้าพระยาราชสุภาวดี เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ไม่ยอมให้ขึ้นปกครอง เป็นที่มาให้เจ้าเมืองมะริด และ ตะนาววะสี คนเดิมซึ่งเป็นพรรคพวกของพระเจ้าเอกทัศน์ เข้าฟ้องร้องต่อพระเจ้าเอกทัศน์

         เรื่องราวที่เจ้าพระยานครศรีธรรมราช(ราชสุภาวดี) ไม่ยอมให้ขุนนางอำมาตย์ชั่ว เข้าปกครองเมือง มะริด และ เมืองตะนาวสี นั้น เป็นเหตุให้ พระยาราชสุภาวดี ถูกสอบสวน และถูกถอดออกตำแหน่ง เพราะ ต้องคดี เป็นที่มาให้พระยานครหนู ปลัดเมือง ได้รับโปรดเกล้าให้เป็นผู้ปกครอง เมืองนครศรีธรรมราช ในที่สุด ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ได้ไปเป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองมะริด และเมืองตะนาวสี ตามที่ปรารถนา

          จนกระทั่ง เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๐๘ กองทัพพม่า ได้เข้ายึดเมืองมะริด และ เมืองตะนาววะสี ได้สำเร็จอีกครังหนึ่งเจ้าเมืองฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวงต้องหลบหนีไปอยู่ที่เมืองจันทร์บุรณ์กับ กรมหมื่นเทพพิพิธ เมืองมะริด และ เมืองตะนาวสี จึงตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า ประมาณปีเศษ เมื่อพระยาจักรีสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็น สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ปลายปี พ.ศ.๒๓๐๙ ได้พิจารณาเห็นว่า เมืองมะริด และ เมืองตะนาวสี นั้นเป็นเมืองภายใต้การปกครองของราชอาณาจักรเสียม มาตั้งแต่สมัยโบราณ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จึงรับสั่งให้ พระยาอินทร์รักษา ผู้รับผิดชอบในการรักษาดินแดนชายฝั่งทะเลตะวันตก นำกองทัพราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี เข้ายึดครอง เมืองมะริด และเมืองตะนาวสี กลับคืนเป็นผลสำเร็จอีก ครั้งหนึ่งเมื่อปลายปี พ.ศ.๒๓๐๙ และได้โปรดเกล้าแต่งตั้งให้ นายบุญมาก บุตรชายของ หม่อมอั๋น กับ พระยาจักรีตาล เป็นพระยามะริด ส่วนนายบุญเจริญ น้องชาย เป็นพระยาตะนาวสี ตังแต่นั้นเป็นต้นมา

 

 

ภาพที่-๒๖  แผนที่แสดงอาณาเขตของ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี คือดินแดนภาคใต้ ตั้งแต่เมือง เพชรบุรี มะริด ตะนาวสี มาจนถึงเมืองไทรบุรี และ กลันตัน ซึ่งปกครองโดยสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี กลายเป็นฐานที่มั่นในการทำสงครามปราบปรามกบฏเจ้าฟ้าจุ้ย และ ทำสงครามขับไล่กองทัพพม่า ออกจากราชอาณาจักรละโว้ กรุงศรีอยุธยา เป็นผลสำเร็จ ในเวลาต่อมา

 

เจ้าฟ้าจุ้ย ประกาศขี้นครองราชย์สมบัติ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงจันทบูรณ์

         เรื่องราวที่ เจ้าฟ้าจุ้ย ประกาศเป็นกษัตริย์ครองราชย์สมบัติ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงจันทบูรณ์ นั้น ไม่ปรากฎในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ใดๆ ของชนชาติไทย แต่การขึ้นครองราชย์สมบัติ ของ เจ้าฟ้าจุ้ย นั้นกลับปรากฎหลักฐานในจดหมายเหตุของจีน ในพงศาวดารเขมร และญวน เจ้าฟ้าจุ้ย จึงกลายเป็นศัตรู ที่สำคัญของสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ที่ต้องทำให้คนไทยต้องรบราฆ่าฟันกันเอง ก่อนที่ผืนแผ่นดินไทย จะเป็นปึกแผ่นดังเช่นในปัจจุบัน

         พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา มิได้กล่าวถึงการขึ้นครองราชย์สมบัติของ เจ้าฟ้าจุ้ย โดยตรง แต่กลับพาดพิงถึงกรมหมื่นเทพพิพิธ(เจ้าแขก) ซึ่งเป็นพี่น้องต่างมารดา กับ เจ้าฟ้ากุ้ง และเป็นพรรคพวกบริวาร ของ เจ้าฟ้าจุ้ย มาก่อนที่กรุงศรีอยุธยา แตกพ่ายแก่กองทัพพม่า กล่าวว่า

         "...ฝ่ายเจ้ากรมหมื่นเทพพิพิธ ซึ่งไปอยู่ ณ เมืองจันทบูรณ์นั้น บรรดาคนชาวหัวเมืองทั้งหลายฝ่าย ตะวันออกชวนกันนับถือ พาพวกกันมาสวามิภักดิ์พึ่งพระบารมีอยู่เป็นอันมาก กรมหมื่นเทพพิพิธ จึงพาคน ทั้งนั้นเข้ามาอยู่ ณ เมืองปราจีนบุรี และคนชาวหัวเมืองปราจีน เมืองนครนายก เมืองฉะเชิงเทรา เมืองชลบุรี เมืองบางละบุง เลื่องลือกันไปว่า เจ้าจะเข้ามารบพม่าช่วยกรุงเทพมหานคร จึงพากันมาเป็นพวก มาเข้าด้วย เป็นหลายพัน ทูลรับอาสาจะเข้ารบพม่า กรมหมื่นเทพพิพิธ จึงให้ตั้งค่ายอยู่ ณ เมืองปราจีนบุรี จึงแต่งตังให้ หมื่นเก้า หมื่นศรีนาวา ชาวเมืองปราจีนบุรี และนายทองอยู่น้อย ชาวเมืองชลบุรี คนทั้งสามนี้เป็นนายซ่อง เมื่อเข้มแข็ง ให้เป็นนายทัพหน้า คุมพลชาวเมืองต่างๆ สองพันเศษ ยกมาตั้งค่ายอยู่ ณ ปากน้ำโยธิกา และคนทั้งหลายต่างๆ ส่งหนังสือลับเข้ามาถึงพรรคพวกญาติซึ่งอยู่ในกรุงเทพมหานคร คนในกรุงเทพมหานคร ก็ยินดี คิดกันพาครอบครัวหนีออกจากพระนคร ออกไปเข้าด้วยกรมหมื่นเทพพิพิธ เป็นอันมาก บรรดาหม่อม เจ้าชายหญิงซึ่งเป็นพระหน่อในกรมหมื่นเทพพิพิธ กับทั้งหม่อมห้ามและข้าไทก็หนีออกไปหาเจ้า และ พระยารัตนาธิเบศ นั้นก็พาพรรคพวกหนีออกไปเข้าด้วย*" ..."

          กรมหมื่นเทพพิพิธนั้น เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าบรมโกศ กับพระสนมนางหนึ่ง ส่วนเจ้าฟ้าจุ้ย และ เจ้าฟ้าสังข์ นั้นเป็นพระราชโอรส ของ กรมพระราชวังบวรเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศ(เจ้าฟ้ากุ้ง) ความชอบธรรมในการขึ้นครองราชย์สมบัติจึงน่าจะมีแก่ เจ้าฟ้าจุ้ย และ เจ้าฟ้าสังข์ มากกว่าผู้อื่น หลักฐานจดหมายเหตุ ของจีน ยืนยันชัดแจ้งว่า พระเจ้ากรุงจีน รับรองทางการทูตให้กับ เจ้าฟ้าจุ้ย เป็นกษัตริย์ของ ราชอาณาจักร เสียม-หลอ หลังจากที่กรุงศรีอยุธยา แตกพ่ายแก่กองทัพพม่า พงศาวดารของเขมร และญวน ได้กล่าวถึงการ สนับสนุนเจ้าฟ้าจุ้ย ให้เป็นกษัตริย์ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงจันทบูรณ์ ด้วย เรื่องดังกล่าวจึงมีที่มา ที่ไปที่จะต้องนำมากล่าวถึง ต่อไป

         เมื่อย้อนเหตุการณ์กลับไปในแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ กรมหมื่นเทพพิพิธ เคยวางแผนแย่งชิงราชย์สมบัติจากพระเจ้าบรมโกศมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ถูกจับได้ จึงถูกเนรเทศต้องหนีไปบวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่ ประเทศศรีลังกาแต่ก็ยังคงลักลอบสะสมกำลังอยู่อย่างลับๆจึงถูกกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรศรีลังกา เนรเทศออกจากศรีลังกา เมื่อปี พ.ศ.๒๓๐๓ จึงได้เดินทางมาอยู่ที่เมืองมะริด โดยได้กำลังทหารจากพวกขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง มาเป็นพวกประมาณ ๕๐๐ คน

         ต่อมาเมื่อเมืองมะริด และ ตะนาวสี ถูกกองทัพพม่าตีแตก กรมหมื่นเทพพิพิธ ก็หลบหนีไปอาศัยอยู่ ที่ เมืองปราจีนบุรี และ เมืองจันทบูรณ์ โดยลักลอบสะสมกำลังอย่างลับๆเรื่อยมา โดยอ้างว่าเพื่อการ สนับสนุนพระเจ้าอุทุมพร ให้ขึ้นครองราชย์สมบัติ ประชาชนจึงเข้าร่วมด้วย แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นการวางแผนขึ้นมาเป็นกษัตริย์เสียเอง

         หลังจากที่พระเจ้าเอกทัศน์ ปฏิเสธข้อเสนอของ พระเจ้ามังระ หลายครั้งหลายคราวในการยอมเป็น ประเทศเมืองขึ้นของพม่า นั้น พระยาไชยารุก นอกราชการ ก็ได้ติดต่อกับ เจ้าฟ้าจุ้ย และ กรมหมื่นเทพพิพิธ เพื่อให้ตั้งตัวขึ้นเป็นกษัตริย์ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ เจ้าฟ้าจุ้ย และ กรมหมื่นเทพพิพิธ จึงรับข้อเสนอ และวางแผนใช้เมืองจันทบูรณ์ เป็นเมืองนครหลวง ภายใต้การสนับสนุน ของ พระยาจันทบูรณ์

         ต่อมา สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) สามารถจับพระราชสาสน์ลับในการติดต่อระหว่าง พระยาไชยารุก นอกราชการ กับ เจ้าฟ้าจุ้ย และ กรมหมื่นเทพพิพิธ ได้หลายครั้ง และได้ติดตามการเคลื่อนไหวของ เจ้าฟ้าจุ้ย และ กรมหมื่นเทพพิพิธ มาอย่างต่อเนื่อง จึงทราบข้อเท็จจริงในเวลาต่อมาว่า แท้ที่จริงแล้ว กรมหมื่นเทพพิพิธ ทำงานอย่างลับๆ สนับสนุนให้ เจ้าฟ้าจุ้ย ขึ้นเป็นกษัตริย์ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ นั่นเอง

          ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะเสียแก่กองทัพพม่า นั้น กรมหมื่นเทพพิพิธ ทราบแล้วว่า พระยาจักรี(สิน) ได้ ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ของราชอาณาจักรเสียมกรุงคันธุลีปกครองดินแดนสยามปักษ์ใต้กรมหมื่นเทพพิพิธ จึงทำการปล่อยข่าวลวง ทำตอแหล แสร้งประกาศตั้งตนเองเป็นกษัตริย์ปกครอง ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงจันทบูรณ์ หมายถึงดินแดนทั่วทั้งหมด รวมถึงราชอาณาจักรละโว้ ด้วยเพื่อข่มขวัญ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ในระยะแรกๆ ไม่มีผู้ใดสนับสนุน เพราะทราบว่า สมคบกับ นายรุก จะนำประเทศไปเป็นเมืองขึ้นของประเทศพม่า ทำให้กรมหมื่นเทพพิพิธ ต้องปรับตัว ประกาศว่าจะนำกองทัพออกช่วย พระเจ้าเอกทัศน์ เพื่อทำสงครามต่อสู้ขับไล่กองทัพพม่า ประชาชนจึงเริ่มให้การสนับสนุน แต่เมื่อพม่า ทราบเรื่องก็ไม่ พอใจ จึงส่งแม่ทัพเรือเมขะระโบ เข้าตีค่ายทหารของกรมหมื่นเทพพิพิธ ที่ปากน้ำโยธิกา จนแตกพ่าย ต้องหลบหนีไปอาศัยอยู่ที่เมืองจันทบูรณ์

        ขณะนั้นเจ้าฟ้าจุ้ย พระราชโอรสของเจ้าฟ้ากุ้ง เพิ่งเข้ามาร่วมมือด้วยใหม่ๆ ส่วนเจ้าฟ้าสังข์ เพิ่ง หลบหนีมาสมทบ ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาแตกพ่ายแก่พม่า สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เห็นว่า การประกาศ ตัวขึ้นเป็นกษัตริย์ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ ของ เจ้าฟ้าจุ้ย นั้นเป็นอันตรายต่อการทำสงครามกอบกู้เอกราช เป็นอย่างยิ่ง จึงได้ส่ง พระยาจักรีศรีองครักษ์บุญชู ไปเจรจากับ กรมหมื่นเทพพิพิธ ที่เมืองจันทบูรณ์เมื่อต้น ปี พ.ศ.๒๓๑๐ ณ เมืองจันทบูรณ์ โดยอาศัยนางบุญนอบ พี่สาว เป็นผู้เชื่อมประสาน

 

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ส่ง นายบุญชู เป็นราชทูต ไปเจรจาลับ กับ เจ้าฟ้าจุ้ย

         เมื่อสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ทราบข่าวว่า เจ้าฟ้าจุ้ย จะตั้งตัวเป็นกษัตริย์ ของ ราชอาณาจักร เสียม-หลอ โดยใช้เมืองจันทบูรณ์ เป็นราชธานี นั้น พระองค์ได้ใช้ความพยายามเป็นอย่างสูง เพื่อมิให้คนไทยต้องรบราฆ่าฟันกันเอง ทั้งนี้เพื่อรักษากำลังทหารไทยไว้ต่อสู้กับกองทัพข้าศึกพม่า จึงพยายามใช้วิถีทาง การทูต ไปเจรจากับฝ่ายต่างๆ เพื่อให้ร่วมมือกันทำสงครามขับไล่กองทัพพม่า ทำการกอบกู้เอกราชชาติสยาม ในอนาคต เพื่อรักษาแผ่นดินสุวรรณภูมิ มาโดยตลอด

         แผนการทำพิธีบรมราชาภิเษกของ เจ้าฟ้าจุ้ยขึ้นเป็นกษัตริย์ของ ราชอาณาจักรละโว้กรุงจันทบูรณ์ นั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นผลจากการติดต่อ ของ พระยาไชยารุก นอกราชการ ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา ยังไม่ถูก พม่าตีแตก เป็นเหตุให้ เจ้าฟ้าจุ้ย ได้หลบหนีออกจากกรุงศรีอยุธยา เพื่อทำการรวบรวมขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง ให้มีอำนาจในดินแดนสุวรรณภูมิต่อไป

       เจ้าฟ้าจุ้ย มีความใฝ่ฝันที่จะเป็นกษัตริย์อย่างยาวนานมาแล้ว เมื่อมีโอกาสตั้งตัวเป็นกษัตริย์จากการสนับสนุนของเจ้าฟ้าสังข์ กรมหมื่นเทพพิพิธ และ พระยาไชยานอกราชการ(รุก) จึงได้ตัดสินใจใช้เมืองจันทบูรณ์ เป็นเมืองนครหลวง

         หลังจากการประกาศขึ้นครองราชย์สมบัติของ เจ้าฟ้าจุ้ย แล้วไม่นาน เจ้าฟ้าจุ้ย ได้ส่งหนังสือไปยัง เจ้าเมืองต่างๆ ให้ขึ้นตรงต่อพระองค์ พระราชสาสน์ ดังกล่าว ได้ส่งมาถึงนายบุญชูที่เมืองไชยา ด้วย สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จึงได้รับทราบเรื่องราวดังกล่าว จึงได้รับสั่งให้ พระยาจักรีศรีองค์รักษ์(บุญชู) ถือ พระราชสารของพระองค์ พร้อมกับหลักฐานการถวายราชย์สมบัติของพระเจ้าอุทุมพร ไปเจรจากับ เจ้าฟ้าจุ้ย และ กรมหมื่นเทพพิพิธที่เมืองจันทร์บูรณ์ ทันที

         การที่สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) แต่งตั้งให้พระยาจักรี(บุญชู) ไปเป็นราชทูต เพื่อเจรจากับ เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์ และ กรมหมื่นเทพพิพิธ นั้น เพราะ พระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู มีสายสัมพันธ์ทางเครือญาติที่ใกล้ชิดกับ กรมหมื่นเทพพิพิธ และ นางบุญนอบ ภรรยาเจ้าเมืองจันทร์บูรณ์(บุญหลง) ซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ ของ นายบุญชู ขณะเดียวกันมารดาของ กรมหมื่นเทพพิพิธ ซึ่งเป็นพระสนมของพระเจ้าบรมโกศ นัน คือสายสกุลของ เจ้าพระยาจักรีบุกดา กรมหมื่นเทพพิพิธ จึงถูกเรียกชื่อว่า เจ้าฟ้าแขก มาตังแต่ทรงพระเยาว์

         เมื่อพระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู ทำหน้าที่เป็นราชทูต เดินทางไปเจรจาความเมืองกับ เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์ และ กรมหมื่นเทพพิพิธ ที่เมืองจันทบูรณ์ นั้น สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จึงโปรดเกล้าแต่งตั้ง ให้พระอนุชา คือ พระยาอนุรักษ์ภูธร(ครู) สมุหนายก เป็นว่าที่ พระยาจักรี(ครู) อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย

         ผลการเจรจาทางการทูตของ พระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู ไม่เป็นผล นายบุญชู กลับถูกเจ้าฟ้าจุ้ย สั่ง ให้ควบคุมตัวไว้ที่เมืองจันทบูรณ์ เจ้าฟ้าจุ้ยและ กรมหมื่นเทพพิพิธ กลับวางแผนย้อนศร ส่งพระราชสาสน์ กลับไปให้สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ให้ยอมอ่อนน้อมแต่โดยดี และอ้างว่า สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร (สิน) ไม่มีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะขึ้นมาเป็นกษัตริย์ เพราะเป็นลูกหลานของเจ้าฟ้าแก้ว ที่มาสมรสกับเชื้อสายเจ๊ก แต่เพื่อเห็นแก่คุณงามความดีในการทำสงครามมาก่อน จึงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ ของ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี โดยต้องขึ้นต่อ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงจันทบูรณ์พร้อมกับมอบให้ นายบุญรอด เจ้าเมืองบางละมุง น้องชายนายรุก เดินทางไปส่งสารให้กับสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ณ เมืองคันธุลี เพื่อสืบความลับต่างๆ ด้วย

         เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์ และ กรมหมื่นเทพพิพิธ ยังได้ส่งราชทูตไปยังเมืองต่างๆเพื่อปล่อยข่าวทำตอแหล โจมตีสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน)ว่ามิได้เป็นเชื้อสายราชวงศ์ แต่เป็นเชื้อสายเจ๊ก สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จึงเป็นกบฏต่อแผ่นดิน ที่ไม่ควรค่าต่อการขึ้นครองราชย์สมบัติ เพราะเป็นกบฏ ที่เผาบ้านเรือน ในกรุงศรีอยุธยา ที่ยังถูกประกาศให้จับตาย และยังปล่อยข่าวว่า สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ยังปลอมพระราชสาสน์ของ พระเจ้าอุทุมพร มาแอบอ้าง เพื่อสร้างความชอบธรรมในการขึ้นครองราชย์ สมบัติเป็นกษัตริย์ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี อีกด้วย

          เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์ และ กรมหมื่นเทพพิพิธ ได้ส่งราชทูตไปพบกับเจ้านครหนู เจ้าเมือง นครศรีธรรมราช เพื่อให้เจ้านครหนู ส่งกองทัพเข้าโจมตีเมืองคันธุลี ของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) อีกด้วย เป็นที่มาให้เจ้านครหนู เริ่มคลางแคลงใจต่อสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

         ฝ่ายพระยาระยอง(บุญเมือง) น้องชายพระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู เมื่อทราบข่าวว่าพี่ชายถูกควบคุม ตัวอยู่ที่เมืองจันทบูรณ์ จึงพยายามติดต่อพี่ชายที่เมืองจันทบูรณ์ พระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู ได้ฝากเรื่อง ให้พระยาระยอง(บุญเมือง) ผู้เป็นน้องชายเดินทางไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ที่เมืองคันธุลี เพื่อให้สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ตัดสินพระทัยยกกองทัพเข้าตีเมืองจันทบูรณ์ เพราะทราบว่า เจ้านครหนู กำลังคิดร่วมมือกับ เจ้าฟ้าจุ้ย และพวก เพื่อยกกองทัพเข้าโจมตี เมืองคันธุลี อีกด้วย

         การขึ้นครองราชย์สมบัติของ เจ้าฟ้าจุ้ย โดยใช้เมืองจันทบูรณ์เป็นเมืองนครหลวง นั้น กรมหมื่นเทพพิพิธ มีเจตนาที่จะนำเอา ราชอาณาจักรเสียม-หลอ ไปเป็นเมืองขึ้นของประเทศพม่า แต่ศัตรูผู้ขัดขวาง ความสำเร็จนั้นที่สำคัญคือ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เป็นเหตุให้ เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์ และ กรมหมื่นเทพพิพิธ พยายามสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง ด้วยการใส่ความเท็จต่อสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร (สิน)ว่าเป็นลูกเจ๊ก ย่อมไม่มีสิทธิ์ในการขึ้นครองราชย์สมบัติ

         เมื่อพระยาระยอง(บุญเมือง) น้องชายนายบุญชู เดินทางไปเป็นราชทูตขอเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ที่เมืองคันธุลี นั้น สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ทราบว่า พระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู ถูกควบคุมตัวไว้ที่เมืองจันทร์บูรณ์ จึงรับสั่งให้ประชุมคณะมนตรี และ ขุนนางอำมาตย์ สั่งการเตรียมยกกองทัพ เข้ายึดครองเมืองจันทบูรณ์ เพื่อปราบปรามเจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์ และ กรมหมื่นเทพพิพิธ ทันที....

 

 

 

  

เชิงอรรถ

 


 

*๑   สืบแสง พรหมบุญ ความสัมพันธ์ในระบบบรรณาการ ระหว่างจีนกับไทย หน้าที่ ๑๐๑ และ คาร์ริงตัน กูดริช ประวัติศาสตร์จีน สำนักพิมพ์เคล็ดไทย หน้าที่ ๑๗๖

*๒   ภูเขาสุวรรณคีรี ตั้งอยู่ในพื้นที่เกาะดอนขวาง ปัจจุบันเรียกชื่อใหม่ว่า ภูเขาน้ำร้อน เพราะมีน้ำพุร้อน ผุดออกมาข้างภูเขาตลอดทั้งปี ตั้งอยู่หมู่ที่ ๒ ต.เลม็ด อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ชื่อภูเขาสุวรรณคีรี ปรากฎชื่อในเพลงชาติไทยโบราณ คือเพลงกลอนลายลักษณ์ เชื่อกันว่า เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่พระพุทธเจ้า เสด็จมาประทับ ต่อมา ภูเขาสุวรรณคีรี ถือว่าเป็นศูนย์กลางอำนาจรัฐ ของ สหราชอาณาจักรเสียม กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ซึ่งบริเวณยอดเขาจะถูกใช้ทำพิธีมหาไชยาบรมราชาภิเษก ของ มหาจักรพรรดิไทยทุกพระองค์ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ จึงใช้ภูเขาแห่งนี้ในการทำพิธีมหาไชยาบรมราชาภิเษก ในการขึ้นครองราชย์สมบัติ ครั้งแรก เพราะยึดถือกันว่า ดวงวิญญาณ ของ มหาจักรพรรดิ และเทพเทวดาต่าง ๆ ของ สยามประเทศ จะสิงสถิตอยู่ ณ ภูเขาสุวรรณคีรี แห่งนี้

*๒   พระนามของ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่ใช้พระนามในการขึ้นครองราชย์สมบัติครั้งแรกว่า สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร นั้น พบหลักฐานในพงศาวดารของประเทศลาว และ พม่า เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้มีพระราชสาสน์ ไปถึงกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรลาว ขอให้ร่วมมือกับราชอาณาจักรเสียม ทำสงครามขับไล่พม่า ออกไป พระราชสาสน์ดังกล่าวลงพระนาม สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร เนื่องจากขณะนั้น ลาวยอมเป็นเมืองขึ้น ของ พม่า กษัตริย์ลาว จึงต้องแจ้งข่าวให้พม่ารับทราบ

*๓    กรมศิลปากร พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่มที่ ๒ จัดพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๕๑

*๔    กรมศิลปากร พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่มที่ ๒ จัดพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๔๖

 

 


 

 

 

 

                                            บทที่-๑๐

         สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ปราบปราม เจ้าฟ้าจุ้ย

 

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) นำกองทัพหลวง ไปตั้งทัพที่เมืองระยอง

         ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะถูกกองทัพพม่าตีจนแตกพ่ายนั้นสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน)เร่งรัดสร้าง กองทัพ และ ทำการสะสมอาวุธที่ทันสมัย เพื่อทำสงครามจรยุทธ์ และเตรียมตีโอบล้อมกองทัพพม่า ที่กำลัง ปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาให้เสียหายและต้องถอยทัพกลับไป แต่เกิดปัญหาขึ้นมาเสียก่อนเมื่อ เจ้าฟ้าจุ้ย และพวก ประกาศตั้งตัวเป็นกษัตริย์ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงจันทร์บูรณ์ โดยพยายามร่วมมือกับขุนนาง อำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง มุ้งเน้นที่จะพยายามรักษาอำนาจของตนเองไว้ โดยยอมเป็นเมืองขึ้นของ ประเทศพม่า จึงเป็นที่มาให้ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) พยายามขยายอิทธิพลเข้าสู่ดินแดนเมือง ยุทธศาสตร์ต่างๆ ทางชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก เพราะเมืองต่างๆ ดังกล่าว กลายเป็นหอกข้างแคร่ของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ในการทำสงครามกอบกู้เอกราชในอนาคต ทังนี้เพราะ จะต้องมีศึกสองด้าน ต่อไป คือศึกกับกองทัพพม่า และ ศึกกับเจ้าฟ้าจุ้ยเชื้อสายราชวงศ์ขุนนางอำมาตย์ของ กรุงศรีอยุธยา

        สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้พยายามประสานงานกับ พระยาราชบุรีทองด้วง นอกราชการ อย่างลับๆ ให้เร่งรีบสะสมกำลังเพื่อส่งกองทัพเข้ายึดเมืองราชบุรี และเมืองสุพรรณบุรี กลับคืน เพื่อปิด เส้นทางการเดินทัพของกองทัพพม่า ที่จะเดินทัพกลับประเทศพม่า และพยายามผลักดันให้ พระยาราชบุรีทองด้วง นอกราชการ ให้ความร่วมมือกับ พระยาอนุรักษ์ภูธร(ครู) ในการรวบรวมไพร่พลที่เมือง นครสวรรค์ เพื่อปิดล้อมการถอนทัพของกองทัพพม่า ที่จะถอนทัพกลับไปทางภาคเหนือ และภาคตะวันตก

        เหตุการณ์เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๑๐ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้ตัดสินพระทัยนำกองทัพ เข้ายึดครองเมืองตามชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก จึงได้รับสั่งให้กองทัพของพวกพระยาต่างๆ แห่ง ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ให้นำกองทัพเรือมารวมกันที่ชายทะเล หาดนาจอมเทียน เมืองบางละมุง

        สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้วางแผนให้กองทัพ ของ พระยาต่างๆ สร้างกองทหารหน่วย กองโจรทหารม้า และสร้างกองโจรกองทัพเรือตังเก ขนาดเล็ก สามารถเคลื่อนที่เร็ว เข้าขับไล่กองทัพเรือของ แม่ทัพเรือเมขะระโบ ให้ต้องล่าถอยไปรวมกันอยู่ที่ แม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนกองทัพหลวงของสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) นั้น ได้ไปตั้งกองทัพหลวงอยู่ที่เมืองระยอง เพื่อทำลายอิทธิพลของ เจ้าฟ้าจุ้ยที่ประกาศตัว เป็นกษัตริย์ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงจันทบูรณ์

        เหตุการณ์ในขณะนั้น กองทัพหลวงของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ถูกก่อกวนด้วยกองทัพขายชาติของ พรรคพวกเจ้าฟ้าจุ้ย คือ กรมหมื่นเทพพิพิธ ผู้เลี้ยงขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง เพียงเพื่อรักษาอำนาจของตนเอง ทำให้แผนการต่างๆ ของสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ที่จะร่วมมือกับ คนไทยผู้รักชาติ ในการทำสงครามบดขยี้กองทัพพม่า จึงล่าช้ากว่ากำหนด ที่ควรจะเป็น

 

 

 ภาพที่-๒๗ แสดงรูปแผนที่เส้นทางเดินทัพของ กองทัพหลวง ของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ซึ่ง ได้นำกองทัพจาก ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี เดินทางไปยังฐานที่มั่นเมืองระยอง เป็นเส้นทางการเดินทัพ ๙ เส้นทาง เรียงตามลำดับ เพื่อยึดครองเมืองต่างๆ ทางชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก เพื่อทำสงครามปราบปราม กบฏเจ้าฟ้าจุ้ย และพวก ก่อนการนำกองทัพเข้าทำสงครามขับไล่กองทัพพม่าที่ เมืองธนบุรี และ กรุงศรีอยุธยา เป็นผลสำเร็จในเวลาต่อมา

 

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เคลื่อนทัพใหญ่ เข้ายึดชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก

        สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) สั่งเคลื่อนทัพเข้ายึดเมืองชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก เพื่อเข้ายึดครองเส้นทางเดินทัพทางน้ำ และเพื่อขัดขวางการขึ้นครองราชย์สมบัติของ เจ้าฟ้าจุ้ย และ กรมหมื่นเทพพิพิธ ที่วางแผนใช้เมืองจันทบูรณ์เป็นเมืองราชธานีใหม่ ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ จึงนัดหมายสำแดงกำลัง โดยรับสั่งให้กองทัพของพระยาต่างๆ รวมกันประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน เคลื่อนกองทัพเรือ นัดพบกันที่ชายทะเล นาจอมเทียน เป็นที่มาของคำว่า เมืองทัพพระยา หรือ เมืองพัทยา ในปัจจุบัน หวังที่จะสร้างพื้นฐานของ กองทัพในการเตรียมทำสงครามกอบกู้ดินแดน ราชอาณาจักรละโว้ กรุงศรีอยุธยา กลับคืนในอนาคต

        สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เคยเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยมาอย่างลึกซึ้ง จากการถ่ายทอด ของหม่อมนกเอี้ยง และ พระอาจารย์เจ้าอาวาดวัดศรีราชัน พระองค์ทราบว่า ในปลายสมัยที่ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐของ ชนชาติไทยล่มสลายลงนั้น ชนชาติไทยเคยเสียดินแดน ราชอาณาจักรละโว้ให้กับ กองทัพมอญ มาก่อน จนกระทั่ง พระนางจันทร์เทวี ต้องอพยพไพร่พล ออกไปสร้างแคว้นหริภุญชัย ที่ เมืองลำพูน ต่อมาในปี พ.ศ.๑๒๐๒ ได้มีกษัตริย์สองพี่น้อง คือ มหาราชาหะนิมิต และ มหาอุปราชศรีไชยนาท พระราชโอรส ของ มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ได้ประกาศตั้ง ราชอาณาจักรศรีโพธิ์ กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) หรือที่ชาวจีน เรียกเพี้ยนในเวลาต่อมาว่า ราชอาณาจักรเสียม เพื่อสะสมกำลังทหาร เตรียมทำ สงครามกอบกู้ดินแดน ราชอาณาจักรละโว้ กลับคืนเป็นผลสำเร็จ ในเวลาต่อมา

        ในปี พ.ศ.๑๒๐๒ นั้น มหาราชาหะนิมิต และ มหาอุปราชศรีไชยนาท กษัตริย์สองพี่น้องได้ส่ง กองทัพเข้ายึดครองเมืองตามชายฝั่งทะเลตะวันออกและทะเลตะวันตกของภาคใต้กลับคืนรวมทั้งเมือง เพชรบุรี เมืองมะริด และเมืองตะนาวสี ด้วย หลังจากนั้น กษัตริย์สองพี่น้อง ได้เคลื่อนกองทัพเรือใหญ่ จาก ราชอาณาจักรเสียม กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) เข้ายึดครองดินแดนชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก กลับคืน แล้วเข้าตั้ง ฐานที่มั่นทางการทหารที่เมืองธนบุรี หลังจากนั้นก็ทำการเคลื่อนกองทัพเข้าทำสงครามขับไล่กองทัพมอญ ให้ออกไปจากดินแดน ราชอาณาจักรละโว้ เป็นผลสำเร็จ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้ใช้แนวทาง เดียวกันในการทำสงครามกอบกู้เอกราช ราชอาณาจักรละโว้ กลับคืนเช่นเดียวกันกับที่ มหาอุปราชศรีไชยนาท เคยทำสำเร็จมาแล้วในอดีต

        ดังนั้น ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๑๐ คือเวลา ๑ ปีที่ขาดหายไปจากพระราชพงศาวดาร สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้สร้างกองทัพใหม่ขึ้นมาในดินแดนราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี จนสำเร็จ พระองค์จึงได้นำกองทัพทัพหลวง เดินทางล่วงหน้าไปตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่ เมืองระยอง ซึ่งได้ยึดครอง และมอบให้ นายบุญเมือง เป็นผู้ปกครองเมืองระยอง มาก่อนหน้านั้นแล้ว ต่อมา สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร (สิน) จึงได้นัดหมายให้กองทัพของพระยาต่างๆ ผู้ปกครองเมืองต่างๆ ในดินแดนของ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี นำกองทัพใหญ่มาพบกันที่จุดนัดพบ ที่ชายหาดนาจอมเทียน ท้องที่ดังกล่าวจึงถูกเรียกว่า "จุดนัดพบ ทัพพระยาตาก" หรือ พัทยา ในเวลาต่อมา

 

 

ภาพที่-๒๘ แผนที่การเดินทัพทางเรือ ของ กองทัพราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี เดินทัพนัดพบกันที จุดนัดพบของทัพพระยาต่างๆ คือเมืองพัทยา ในปัจจุบัน

 

        เจตนาของการส่งกองทัพใหญ่ประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน ซึ่งเป็นกองทัพเรือของพระยาต่างๆ เพื่อมุ่งสู่ เมืองชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ในครั้งนั้น สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) มีเจตนาต้องการยึดครองเมืองต่างๆ ทางชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก มิให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือของ เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์ และ กรมหมื่นเทพพิพิธ ที่ตั้งตนเป็นกษัตริย์ของราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงจันทบูรณ์ และยังสามารถใช้เป็นฐานที่มั่นทางการทหารในการทำสงครามพร่ากำลังข้าศึกพม่า สามารถเข้าควบคุมเส้นทางเดินทัพทังโดยทางเรือ ทางบก โดยสะดวก เพื่อเตรียมทำสงครามเข้ายึดครองกรุงศรีอยุธยา กลับคืนจากกองทัพพม่า ในอนาคต และยังเป็นการตัดปัญหามิให้เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์ และ กรมหมื่นเทพพิพิธ ประกาศให้ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงจันทบูรณ์ ตกไปเป็นประเทศเมืองขึ้นของ ราชอาณาจักรพม่า ในอนาคต อีกด้วย

        เรื่องราวในพระราชพงศาวดารของไทยที่ปรุงแต่งขึ้นมาภายหลัง จะบิดเบือนเรื่องราวดังกล่าวว่า "นายกลม" ได้นำกำลังทหารที่อยู่ในภาคตะวันออก มอบให้สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ จำนวน ๑๐,๐๐๐ คน*" ซึ่งเป็นการเสกสรร ปั้นแต่งเรื่องที่ขัดแย้งกันเองในพงศาวดารฉบับต่างๆ แทบทังสิ้น เรื่องราวความเป็นจริง ในการกอบกู้เอกราชของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ นั้น จึงถูกปกปิดบิดเบือน มาจนถึงปัจจุบัน แท้ที่จริงแล้ว ถ้าพิจารณาจากหลักฐานจดหมายเหตุรายวันทัพ หลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ และตำนานท้องที่คันธุลี ก็ จะพบว่า กองทัพ ๑๐,๐๐๐ คน นั้นสันนิษฐานได้ว่า น่าจะยกกองทัพมาจากเมืองต่างๆ ประกอบด้วยกองทัพ ของ แม่ทัพตำแหน่งพระยาต่างๆ ดังนี้คือ

        กองทัพ ของ พระยาจักรี(ครู) ซึ่งเป็นพระอนุชา ของ พระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เป็น สมุหนายก และ ช่วยว่าราชการแทน พระยาจักรี ได้นำกองทัพมาจาก กรุงคันธุลี มีกำลังพล ประมาณ ๒,๐๐๐ คน

        กองทัพ ของ พระยาเพชรบุรี(บุญมา) บุตรชายพระยาจักรีตาล กับ หม่อมอั๋น ได้นำกองทัพเรือมา จาก เมืองเพชรบุรี มีกำลังพลประมาณ ๒,๐๐๐ คน

        กองทัพ ของ พระยาพิชัยไอยสวรรค์(หยางจิ้งจุง) เป็นบุตรเขยคนหนึ่ง ของ หม่อมอั๋น ได้นำ กองทัพเรือมาจาก เมืองโกลี-โกลก(สุไหงโกลก) และ เมืองเบตุง มีกำลังพลประมาณ ๑,๕๐๐ คน

        กองทัพ ของ พระยาโกษาธิบดี(เฉินเหลียง) บุตรเขยคนหนึ่ง ของ หม่อมอั๋น นำกองทัพเรือมาจาก เมืองพุทไธมาศ(ตาแก้ว) มีกำลังพล ประมาณ ๑,๕๐๐ คน

        กองทัพ ของ พระยาพิชัยอาสา(จ้อย) หรือ พระยาพิชัยดาบหัก นำกองทัพมาจาก ค่ายทหารทุ่งลานช้าง ภูเขาแม่นางส่ง เมืองท่าชนะ มีกำลังพล ประมาณ ๑,๐๐๐ คน

        กองทัพ ของ พระยาวิชิตภักดีศรีพิชัยสงคราม(จุ้ย) บุตรชายคนโต ของ พระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู เจ้าเมืองไชยา ได้นำกองทัพมาจาก เมืองไชยา มีกำลังพล ประมาณ ๑,๐๐๐ คน

        กองทัพ ของ พระยาชุมพร(มั่น) บิดาของหม่อมสอน(กรมหลวงบาทบริจา) ได้นำกองทัพเรือมาจาก เมืองชุมพร มีกำลังพลประมาณ ๑,๐๐๐ คน

 

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เข้ายึดครอง เมืองชลบุรี

        เมื่อกองทัพหลวงของสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เดินทางจากฐานที่มั่นเมืองระยอง มาถึง ชายทะเลหาดนาจอมเทียน แขวงเมืองบางละมุง พระองค์ก็ทรงวางแผน รับสั่งให้นำกองทัพเข้ายึดครองเมือง ชลบุรี ซึ่งเปีนเมืองบริวารของ เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์ และ กรมหมื่นเทพพิพิธ เพื่อทำลายอำนาจของเจ้าฟ้าจุ้ย และพวก พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา กล่าวว่า

        "...จึงเสด็จดำเนินทัพมายังแขวงเมืองชลบุรี ตั้งประทับอยู่ที่บ้านหนองมน ให้ทหารไปสอดแนมดู ได้เนื้อความว่า นายทองอยู่(นกเล็ก) เตรียมพลจะคอยต่อรบ จึงเสด็จยาตราทัพเจ้าไปหยุดประทับ ณ วัดหลวง ใกล้เมืองชล ทางประมาณ ๑๐๐ เส้น แล้วตรัสใช้ นายบุญรอดแขนอ่อน กับ นายชื่น บ้านท่าไข่ ซึ่งเป็น มิตรสหายกับ นายทองอยู่ ให้เข้าไปเจรจาเกลี้ยกล่อมโดยดี นายทองอยู่ ก็อ่อนน้อมยอมเข้าด้วยมิได้ขัดแข็ง นายบุญรอด นายชื่น จึงพา นายทองอยู่ ออกมาเฝ้า ณ วัดหลวง ขอสวามิภักดิ์กระทำความสัตย์สาบานถวาย แล้วเชิญเสด็จเข้าไป ณ เมืองชล ประทับอยู่ ณ เก๋งจีนแห่งหนึ่ง จึงเสด็จทรงช้างที่นั่ง นายบุญมี มหาดเล็ก เป็นควาญท้าย นายทองอยู่ ก็นำเสด็จไปเลียบเมือง ทอดพระเนตรเมืองชล ทั่วแล้ว ก็เสด็จกลับมายังที่ประทับ นายทองอยู่ จึงพากรมการเมืองทั้งปวงมาถวายบังคมพร้อมกัน จึงโปรดตั้ง นายทองอยู่ นกเล็ก ให้เป็น พระยาอนุราฐบุรีศรีมหาสมุทร ครองเมืองชล *"..."

        หลังจากการเข้ายึดครองเมืองชลบุรีอย่างสงบสันติได้แล้ว สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ก็เสด็จ กลับไปที่ชายหาดนาจอมเทียน เพื่อนัดพบกับกองทัพ ๑๐,๐๐๐ คน ของทัพพระยาต่างๆ เพื่อร่วมวางแผนกับ แม่ทัพนายกอง ที่จุดนัดพบทัพพระยา(พัทยา) ตามแผนงานที่กำหนด

        เมื่อเสร็จภารกิจ ที่ชายหาดนาจอมเทียน สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้นำทัพหลวง เดินทัพ ต่อไปยังเมืองระยอง ซึ่งพระยาระยอง(บุญเมือง) น้องชายพระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู เป็นผู้ปกครองเมืองอยู่ เพื่อวางแผนเข้าตีเมืองจันทร์บูรณ์ เมืองนครหลวง ของเจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์ และ กรมหมื่นเทพพิพิธซึ่งเป็น พรรคพวกใกล้ชิด ของ พระยาไชยารุก นอกราชการ ผู้ทรยศต่อผืนแผ่นดินชนชาติไทย ต่อไป

 

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ส่งกองทัพเข้าทำลาย กองทัพเรือพม่า

        สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) พิจารณาเห็นว่า กองทัพพม่า มีจำนวนมาก แต่อาวุธไม่ทันสมัย กองทัพพม่า ยังคงรบด้วยดาบ หรือปืนนกสับ ส่วนกองทัพของราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี นัน มีกำลังน้อยกว่าพม่ามาก แต่มีอาวุธที่ทันสมัยกว่ากองทัพพม่ามาก มีปืนลูกซอง ปืนกลลูกซองตับ ที่ผลิตขึ้นใช้เอง และยังมีปืนไรเฟิล ที่จัดซื้อมาจากฝรั่งต่างชาติ อีกด้วย

        เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ต้องการที่จะส่งกองทัพเข้าโจมตีโอบล้อมกองทัพพม่า ที่ กำลังปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา เพื่อใช้อาวุธที่เหนือกว่า ทำการรบแบบสงครามกองโจร เพื่อทำการพร่ากำลังข้าศึกพม่า ไปเรื่อยๆ ทำให้เกิดขวัญเสีย แล้วใช้วิธีรวมศูนย์กำลัง เข้าทำลายข้าศึกที่ละจุด เพื่อทะลายทั้งแนว ซึ่งจะทำให้กองทัพพม่า เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ และจะไม่กล้าเข้ามารุกรานกรุงศรีอยุธยา อีกในอนาคต

        แต่เนื่องจาก กองทัพเรือพม่า ซึ่งมีแม่ทัพเมขะระโบ เป็นแม่ทัพเรือ ได้เข้าควบคุมเส้นทางเดินเรือ ตามลำน้ำต่างๆ จนกระทั่งกองทัพเรือไทย ไม่สามารถเคลื่อนกองทัพผ่านทางแม่น้ำ ลำคลองได้ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จึงต้องการทำลายกองทัพเรือ ของ แม่ทัพเรือเมขะระโบ มิให้มีอิทธิพล ควบคุมเส้นทาง เดินทัพตามแม่น้ำ ลำคลองต่างๆ ได้อีกต่อไป จึงได้ประชุมกับ แม่ทัพพระยาต่างๆ ที่ชายทะเลหาดจอมเทียน ให้กระจายกำลังของกองทัพพระยาต่างๆ ออกไปตามแม่น้ำ ลำคลอง กระจายกำลังออกเป็นกองโจรทหารม้า กองโจรเรือเล็ก กองโจรเรือตังเก ใช้อาวุธปืนที่เหนือกว่า ออกซุ่มยิง ทหารเรือพม่า เพื่อพร่ากำลัง แล้วทำการรวมศูนย์กำลังเข้ายึดค่ายทหารพม่า ที่ปากแม่น้ำต่างๆ เพื่อให้กำลังทหาร ของ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี สามารถใช้เส้นทางเดินทัพทางเรือได้ และกลายเป็นผู้ควบคุมเส้นทางเดินทัพทางเรือ แทนที่กองทัพพม่า จึง เป็นที่มาให้ กองทัพเรือของพระยาต่างๆ ได้แบ่งงานกัน ขับไล่ทหารพม่า ออกจาก แม่น้ำโยธิกา แม่น้ำบางปะกง แม่น้ำท่าจีน และ แม่น้ำแม่กลอง คงยกเว้นแม่น้ำเจ้าพระยา ไว้เพียงแม่น้ำเดียว เพื่อรวมศูนย์กำลังไป ร่วมปฏิบัติการร่วมกัน อีกครั้งหนึ่ง เมื่อปฏิบัติการตามแผนสำเร็จ ให้กองทัพพระยา ทุกกองทัพมาพบกันที่ ชายหาดจอมเทียน อีกครั้งหนึ่ง เพื่อวางแผนเข้ายึดครองเส้นทางตามลำแม่น้ำเจ้าพระยาอีกครั้งหนึ่ง

        เมื่อสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้ร่วมทำการประชุมวางแผนกับแม่ทัพพระยาต่างๆ เสร็จสิน แล้ว สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ก็นำทัพหลวง เดินทางกลับไปยังฐานที่มั่นเมืองระยอง และจะเสด็จมา รับฟังผลการปฏิบัติงาน และวางแผนขั้นต่อไป อีกครั้งหนึ่ง

        ผลของการปฏิบัติการของทัพพระยาต่างๆ ตามแผนการที่สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ร่วม วางแผนเพื่อทำลายกองทัพเรือ ของ แม่ทัพเมขะระโบ นั้น ผลปรากฏว่า สามารถส่งหน่วยกองโจรทหารม้า และกองโจรทัพเรือ ออกชุ่มยิงทหารพม่า ตายและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก สามารถขับไล่ทหารกองทัพเรือ ของแม่ทัพเรือเมขะระโบ จนต้องล่าถอยไปรวมกันอยู่ที่ ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ตามแผนที่กำหนด ผลของการ ปฏิบัติการครั้งนั้น มีประชาชนได้มาอาสา ขอร่วมเป็นทหารเพิ่มขึ้นในกองทัพอีกเป็นจำนวนมาก ประชาชน ได้ร่วมกันนำเสบียงอาหาร มามอบให้กับทหาร ได้เสบียงกรังเพิ่มขึ้นมาก ทหารแห่งราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี จึงมีกำลังใจในการสู้รบเพิ่มขึ้นมาก

        สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้มาเข้าร่วมประชุมกับ แม่ทัพพระยาต่างๆ ที่หาดนาจอมเทียน อีกครั้งหนึ่ง เพื่อร่วมกันวางแผนเข้ายึดเส้นทางตามลำน้ำเจ้าพระยา ตามแผนการนั้น ได้กำหนดให้แบ่งกองทัพ ออกเป็น ๓ กองทัพ ให้กองทัพของ พระยาโกษาธิบดี(เฉินเหลียง) กองทัพพระยาพิชัยอาสา และ กองทัพ พระยาวิชิตภักดีศรีพิชัยสงคราม(จุ้ย) รับผิดชอบฝั่งซ้าย ของ แม่น้ำเจ้าพระยา

        กองทัพ ของ พระยาพิชัยไอยสวรรค์(หยางจิ้งจุง) และ พระยาเพชรบุรี(บุญมา) รับผิดชอบฝั่งขวา ของ แม่น้ำเจ้าพระยา ให้กองทัพของ พระยาจักรี(ครู) รับผิดชอบปากแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งนี้ให้ทำสงคราม กองโจร ขับไล่ทหารพม่า ตั้งแต่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ถึง เมืองธนบุรี โดยยังไม่เข้ายึดป้อมวิชัยประสิทธิ์ ผลการปฏิบัติงาน เป็นไปตามแผนที่กำหนด พร้อมๆ กับ กรุงศรีอยุธยา ถูกกองทัพพม่ายึดครอง

 

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ส่งพระยาอนุรักษ์ภูธร ปกครองเมืองนครสวรรค์

        เรื่องราวที่ นายประหยัด สมุหนายก รักษาการ พระยาจักรี(ครู) ซึ่งเป็นพระอนุชาของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ต้องเดินทางไปปกครองเมืองนครสวรรค์ นั้นมีเรื่องสืบเนื่องมาจากสายตระกูลมารดา ของ หม่อมนกเอี้ยง เพราะว่า พระนางเจิ้งติ่ง หรือ นางติ่ง แซ่แต้ ได้นำสายตระกูลแซ่แต้ ซึ่งตั้งรกรากอยู่ที่บ้านท่าดินแดง กรุงศรีอยุธยา ได้อพยพหนีกองทัพพม่า ไปอาศัยอยู่ที่เมืองนครสวรรค์ ซึ่งไม่มีผู้ปกครอง

        เครือญาติหม่อมนกเอี้ยง ได้ส่งข่าวมาถึง สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) สรุปว่า กองทัพพม่า ได้ใช้ เส้นทางแม่น้ำเจ้าพระยา ส่งเสบียงกรัง ไปให้กองทัพพม่าที่กรุงศรีอยุธยา จึงต้องการให้ส่งกำลังทหาร เพื่อ ไปลอบซุ่มโจมตี ตัดกำลังเส้นทางการส่งเสบียงอาหาร ต่อมา สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) พิจารณาแล้ว จึงโปรดเกล้าให้ รักษาการ พระยาจักรี(ครู) เป็น พระยาอนุรักษ์ภูธร(ประหยัด) ไปเป็นเจ้าเมืองนครสวรรค์ เพื่อคุ้มครองญาติพี่น้อง และเพื่อทำการตัดเส้นทางการส่งเสบียง และเพื่อตัดเส้นทางถอยทัพ ของ กองทัพพม่า ที่จะเดินทางถอยทัพขึ้นไปทางภาคเหนือ ด้วย

        เนื่องจากผลของการทำสงครามกองโจร เข้ายึดครองเส้นทางเดินทัพทางแม่น้ำลำคลอง เพื่อปิด เส้นทางเดินทัพทางน้ำ ของ กองทัพพม่า เป็นไปตามแผนการที่ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ต้องการส่งกองทัพเข้าตีโอบล้อม กองทัพพม่า ที่กรุงศรีอยุธยา และต้องการปิดเส้นทางถอยทัพของพม่า ที่จะเดินทาง ออกจากดินแดนราชอาณาจักรละโว้ จึงเป็นที่มาให้ รักษาการ พระยาจักรี(ครู) ต้องเดินทางไปปกครองเมือง นครสวรรค์ เพื่อปิดเส้นทางเดินทัพของพม่า ที่จะต้องเดินทางผ่านปากน้ำโพธิ์ เพราะขณะนั้น รักษาการ พระยาจักรี(ครู) สามารถควบคุมเส้นทางเดินทัพทางน้ำ ของ แม่น้ำท่าจีน ให้สามารถเดินทางไปถึงเมือง นครสวรรค์ ได้แล้ว ทำให้พระยาจักรี(ครู) สามารถเดินทัพเข้าสู่เมืองนครสวรรค์ ได้อย่างปลอดภัย

        สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้พยายามติดต่อประสานงานกับ พระยาราชบุรี(ทองด้วง) นอกราชการ ซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ที่ปากแม่น้ำแม่กลอง อย่างลับๆ ให้เร่งรีบสะสมกำลังทหารเข้าควบคุมเส้นทาง แม่น้ำแม่กลอง และทำการยึดเมืองราชบุรี และเมืองสุพรรณบุรี กลับคืน เพื่อปิดเส้นทางการเดินทัพของ กองทัพพม่า ที่จะเดินทัพกลับประเทศพม่า ผลของการขอความร่วมมือในฐานะสหายร่วมนำสาบาน ครั้งนั้น ไม่ได้รับการตอบสนอง เพราะ พระยาราชบุรี(ทองด้วง)ถูกพระเจ้าเอกทัศน์ เรียกไปเป็นราชทูต ให้ทำการ ติดต่อกับ พระยาไชยารุก นอกราชการ อย่างไรก็ตาม พระยาราชบุรี(ทองด้วง) นอกราชการ ได้ให้ความ ร่วมมือกับ พระยาอนุรักษ์ภูธร(ครู) โดยได้ช่วยรวบรวมไพร่พลที่เมืองราชบุรี ให้ไปเป็นทหารของ พระยาอนุรักษ์ภูธร เพื่อสนับสนุนการปิดล้อมการถอนทัพของกองทัพพม่า ที่จะถอนทัพกลับไปทางภาคเหนือ

        การที่นายทองด้วง ไม่ยอมให้ความร่วมมือ กับ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ตามที่ได้เองขอนั้น ทั้งๆ ที่เคยกรีดเลือดดื่มน้ำสาบานด้วยกัน เพราะทราบข่าวภายหลังว่า พี่สาว ของ นายทองด้วง ได้ห้ามปราม ไว้ทั้งนี้เพราะทราบข่าวว่าเจ้าฟ้าจุ้ยและพวกได้ตั้งตัวเป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรเสียม-หลอเรียบร้อย แล้ว จึงไม่ควรฝักใฝ่ข้างหนึ่งข้างใด ให้รอดูสถานการณ์อีกระยะหนึ่ง

 

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ส่งกองทัพ ปราบขุนรามหมื่นซ่อง

        ขุนรามหมื่นซ่อง ก็คือกองโจรของขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง เคยเป็นลูกน้อง ของ พระเจ้าเอกทัศน์ กรมหมื่นเทพพิพิธ เจ้าฟ้าจุ้ย และ เจ้าฟ้าสังข์ มาก่อน ขุนรามหมื่นซ่อง เคยเป็นขุนนางโจร ชอบท่องเที่ยวออกปล้นสะดม ไปทั่วดินแดนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ จึงได้รับสมญานามว่ามีซ่องโจร มากถึง หมื่นซ่องโจร กองโจรของขุนราม ผู้นี้เคยปะทะกับกองร้อยทหารม้าพระยาตากสิน ตั้งแต่สมัย ที่ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ปลอมตัวเป็นพ่อค้าเกวียน เพื่อปราบโจร ในสมัยแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ ต่อมา กรมหมื่นเทพพิพิธ เจ้านายของ ขุนรามหมื่นซ่อง ถูกจับคุม และถูกเนรเทศไปอยู่ที่เกาะศรีลังกา ขุนรามหมื่นซ่อง จึงต้องหลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่ เมืองมะริด และเมืองตะนาวสี ได้ออกไปปล้นสะดม เมืองต่างๆ ในดินแดนราชอาณาจักรพม่า จนเป็นต้นเหตุของสงครามระหว่าง ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กับ ราชอาณาจักรพม่า เพราะพระเจ้าอลองพญา นำมาแสร้งใช้อ้างสร้างความชอบธรรมในการยกกองทัพเข้า โจมตี เมืองมะริด และ เมืองตะนาวสี มาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๐๒ ขุนรามหมื่นซ่อง ก็หลบหนีออกไปจากเมือง แต่ต่อมา เมื่อพระยาอินทร์รักษา เจ้าเมืองตะกั่วป่า ได้ส่งกองทัพเข้ายึดครอง เมืองมะริด และ เมืองตะนาวสี กลับคืนสำเร็จ ขุนรามหมื่นซ่อง ก็กลับมาใช้เมืองมะริด และ เมืองตะนาวสี เป็นซ่องโจร อีก

        เมื่อเมืองมะริด และเมืองตะนาวสี ถูกกองทัพพม่า ตีแตกพ่ายเป็นครั้งที่สอง ขุนรามหมื่นซ่อง ก็ต้องหลบหนีมาอาศัยอยู่ที่เมืองปราจีนบุรี และ เมืองจันทร์บูรณ์ ได้มาเป็นไพร่พลของ กรมหมื่นเทพพิพิธ เจ้าฟ้าจุ้ย และ เจ้าฟ้าสังข์ จนกระทั่งต่อมาได้ถูกผลักดันให้ไปเป็นกรมการเมืองอยู่ที่เมืองระยอง โดยทำงานอยู่กับ พระยาระยอง(บุญรอด) ซึ่งเป็นน้องชายของ พระยาไชยารุก นอกราชการ เชลยศึกพม่า ซึ่งเป็นผู้ทรยศต่อ แผ่นดินชนชาติไทย ในขณะที่ขุนรามหมื่นซ่อง มาเป็นกรมการเมืองระยอง อยู่นั้น ได้ลักลอบออกไปเป็น กองโจร ออกปล้นไปทั่ว ประชาชน ได้รับความเดือดร้อนไปทั่ว ทั้งนี้เบื้องหลังการออกปล้น ก็เพื่อจัดหาทุน ให้กับ เจ้าจุ้ย เจ้าสังข์ และ กรมหมื่นเทพพิพิธ นั่นเอง

        จนกระทั่งเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๓๐๙ เมื่อพระยาจักรีสิน ได้นำกองพันทหารม้าพระยาตากสิน หลบหนี ออกจากค่ายพิชัย มุ่งหน้ามายังเมืองบางละบุง ซึ่งนายบุญเมือง น้องชายพระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชุ ปกครอง อยู่นั้น เพื่อจัดหาเรือสำเภาเดินทางไปยังเมืองท่าชนะ นั้น พระยาจักรีสิน สามารถจับจดหมายลับที่มีการ ติดต่อระหว่าง พระยาไชยารุก นอกราชการ กับ กรมหมื่นเทพพิพิธ จึงทราบว่า ขุนรามหมื่นซ่อง เป็น กรมการเมืองอยู่ที่เมืองระยอง พระยาจักรีสิน จึงต้องตัดสินใจนำกองพันทหารม้าพระยาตากสิน เข้ายึดเมือง ระยอง และได้มอบให้นายบุญเมือง ไปปกครองเมืองระยอง แทนที่ เป็นที่มาให้ ขุนรามหมื่นซ่อง ต้อง หลบหนีไปอาศัยอยู่กับ กรมหมื่นเทพพิพิธ ที่เมืองจันทร์บูรณ์ กรมหมื่นเทพพิพิธ จึงแต่งตั้งให้ขุนรามหมื่น ซ่องไปปกครอง เมืองแกลง

        เมื่อพระยาจักรีสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็น สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) และได้นำกองทัพใหญ่ของ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี เข้าสู่ดินแดนชายฝั่งทะเลตะวันออก สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร (สิน) ได้ทราบข่าวจากพระยาระยอง(บุญเมือง) ว่า ขุนรามหมื่นซ่อง ยังคงทำงานปล้นสะดมประชาชน สร้างกองทุนให้กับ เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์ และ กรมหมื่นเทพพิพิธ ทำให้ประชาชนที่เดือดร้อนจากภัยสงครามอยู่ แล้ว ถูกซ้ำเติมเพิ่มขึ้น สภาพความเดือดร้อนของประชาชนขยายออกไปทั่วทุกมุมเมือง ทั้งนี้เพราะ ขุนรามหมื่นซ่อง ออกปล้นสะดม นำทรัพย์สินไปถวายให้กับ กรมหมื่นเทพพิพิธ และพวก เพื่อหวังที่จะเป็นใหญ่

        ดังนั้นเมื่อกองทัพใหญ่ของพระยาต่างๆ เดินทัพตามนัดหมายเข้าสู่ภาคตะวันออก และสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้นำกองทัพหลวง เดินทางไปตั้งฐานที่มั่น ที่เมืองระยองอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเจรจาความเมืองกับ เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์ และ กรมหมื่นเทพพิพิธ ให้ยอมอ่อนน้อมต่อพระองค์โดยดี เพื่อร่วมมือกันทำ สงครามขับไล่กองทัพพม่าออกจากผืนแผ่นดินไทย แต่ เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์ และ กรมหมื่นเทพพิพิธ กลับ ออกไปปล่อยข่าวโจมตี สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ต่างๆ นาๆ กล่าวหาว่ามีเชื้อสายเจ๊ก ไม่มีความชอบ ธรรมในการขึ้นครองราชย์สมบัติ และยังมอบให้ ขุนรามหมื่นซ่อง ส่งกองโจรออกไปปล้นสะดม โค กระบือ ช้าง ม้า ของ กองทัพหลวงสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เป็นประจำ เป็นที่มาให้สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ต้องเร่งรัดปราบปรามชุนรามหมื่นซ่อง หลักฐานพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา กล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า

        "...ฝ่ายขุนรามหมื่นซ่อง พวกอ้ายเหล่าร้ายซึ่งแตกหนีไปจากเมืองระยอง นั้น คุมสมัครพรรคพวกไปตั้งอยู่ ณ บ้านกระแสแขวงเมืองจันทร์บูรณ์ให้ไพร่พลเข้ามาลักโค กระบือ ช้างม้า ณ กองทัพหลวง ซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองระยอง นั้น เนื่องๆ ครั้นได้ทรงทราบ จึงตรัสว่า อ้ายเหล่านี้ยังคิดประทุษร้ายอยู่จะละมันไว้มิได้ จำจะต้องยกกองทัพไปปราบปรามให้สิ้นเสี้ยนหนาม จึงเสด็จกรีธาทัพจากเมืองระยอง ไปถึงบ้านประแส บ้านไร่ บ้านตร่ำ เมืองแกลง ซึ่งเหล่าร้ายตั้งสำนักอยู่นั้น ให้พลทหารยิงปืนใหญ่น้อย แล้วเข้าโจมตีไล่ตะลุมบอน ฟันแทง พวกอ้ายเหล่าร้ายก็แตกตื่นหนีไป และอ้ายขุนรามหมื่นซ่อง ตัวนายนั้น หนีไปอยู่ด้วยกับ พระยาจันทร์บุรณ*"..."

        บันทึกในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา มีเนื้อหาใกล้เคียงกับ เรื่องราวที่สายตระกูล พระเจ้าหลานเธอของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้ถ่ายทอดไว้ แต่มีเรื่องราวแตกต่างกันที่ การหลบหนีของ ขุนรามหมื่นซ่องนั้น เป็นการหลบหนีไปหา เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์และ กรมหมื่นเทพพิพิธ เพราะเหตุการณ์ใน ขณะนัน เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์ และ กรมหมื่นเทพพิพิธ ยังมิได้หลบหนีไปยังเมืองนครราชสีมา สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จึงพยายามใช้ความพยายามในการเจรจาทางการทูต ให้เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์และ กรมหมื่นเทพพิพิธ และ พระยาจันทร์บุรณ์(บุญหลง) ให้มาร่วมมือกัน เพื่อการทำสงครามขับไล่กองทัพพม่า ออกไปจากผืนแผ่นดินไทย จึงยังมิไม่คิดที่จะใช้กำลังเข้าตีเมืองจันทร์บุรณ์ ในระยะแรกๆ แต่อย่างใด

 

กรุงศรีอยุธยา ถูกกองทัพพม่า ยึดครองสำเร็จ

        ก่อนที่กรุงศรีอยุธยา จะถูกกองทัพพม่าตีจนแตกพ่ายนั้น สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เร่งรัด สร้างกองทัพ และเร่งสะสมอาวุธที่ทันสมัย เพื่อเตรียมเข้าโจมตีโอบล้อมกองทัพพม่าที่กำลังปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา ด้วยอาวุธที่ทันสมัย หวังให้ทหารพม่าตายบาดเจ็บ จำนวนมาก แต่เกิดปัญหาขึ้นมาเสียก่อน เมื่อ เจ้าฟ้าจุ้ยได้ตั้งตัวเป็นกษัตริย์โดยพยายามร่วมมือกับขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง เพื่อรักษา อำนาจของตนเองไว้ แม้จะต้องยอมเป็นเมืองขึ้นของประเทศพม่า ก็ตาม แผนการที่กำหนดยังไม่สำเร็จตามแผน ก็มีทหารมาแจ้งข่าวว่า กรุงศรีอยุธยา แตกแล้ว

        พระเจ้ามังระ ทราบดีว่า ถ้าการรบยืดเยือ กองทัพพม่ามีโอกาสที่จะถูกกองทัพของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เข้าตีโอบหลังเพื่อลอบยิงบดขยี้ด้วยอาวุธที่ทันสมัยกว่า และจะเกิดความเสียหายกับกองทัพพม่าอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ จึงพยายามเร่งรัดให้แม่ทัพเนเมียวสีหบดี เร่งรัดให้พระยาไชยารุกนอกราชการเร่งรัดการเจรจากับขุนนางอำมาตย์ ของกรุงศรีอยุธยาเพื่อเข้าตีกรุงศรีอยุธยาให้แตกพ่าย ก่อนที่กองทัพของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จะทำสงครามกองโจรเข้าก่อกวน และตีโอบด้านหลัง และสั่งให้เร่งรัดเก็บกวาดทรัพย์สิน เร่งถอยทัพกลับสู่กรุงอังวะ โดยด่วนที่สุด

        พระเจ้ามังระ ยังมอบหมายให้ พระยาไชยารุก นอกราชการ เร่งรัดจัดตั้งเมืองประเทศราช เพื่อให้เจ้า เมืองต่างๆ ขึ้นเป็นกษัตริย์เมืองประเทศราชของพม่า เพื่อแยกสลายขุนนางอำมาตย์สยาม มิให้ร่วมมือกับ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เป็นการดึงเวลามิให้กองทัพพม่าถูกบดขยี้จากการถูกโจมตีโอบด้านหลัง โดยกองทัพของสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน)อีกด้วย

        ขณะที่สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้ตั้งทัพหลวงอยู่ที่เมืองระยอง นั้น พระองค์ได้มีพระราชสาสน์ลับ ส่งไปถึงพระเจ้าเอกทัศ เพื่อร่วมมือกันขับไล่กองทัพพม่า ออกจากกรุงศรีอยุธยา และมอบหมายให้กองทัพพระยาต่างๆ ทำสงครามกองโจร ใช้อาวุธที่ทันสมัยกว่า ยิงขับไล่ทหารกองทัพเรือของแม่ทัพเรือเมขะระโบ ออกไปจากการครอบครองเส้นทางเดินทัพทางแม่น้ำลำคลอง เป็นผลสำเร็จ กองทัพเรือพม่าเริ่มเสียขวัญ จนกระทั่งมีข่าวออกไปถึง พระเจ้ามังระ ต่อมา สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้สั่งถอนทัพ เพื่อ ส่งหลวงพิพิธ(เฉินเหลียง) ให้ไปขอความร่วมมือจากพระยาราชาเศรษฐี เมืองบันทายมาศ และพยายามเจรจา กับเจ้าเมืองจันทร์บูรณ์มาโดยตลอดให้ร่วมกันทำสงครขับไล่กองทัพพม่า แต่ยังไม่เป็นผล

        หลักฐานพงศาวดารฉบับขุนหลวงหาวัด ได้กล่าวไว้สอดคล้องกับคำบอกเล่าของสายตระกูล ลูกหลานสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สรุปว่า นอกเหนือจากที่พม่าพยายามขุดอุโมงค์ เผาฐานรากกำแพงเมืองแล้ว พม่าสามารถใช้ พระยาไชยารุก นอกราชการ เข้าเกลี้ยกล่อม พระยาพลเทพ และพวก ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจ สิทธิ์ขาดในการดูแลพระนครให้ทรยศ ต่อ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา โดยลอบส่งอาวุธและ เสบียงอาหารให้กับกองทัพพม่า และวางแผนเปิดประตูเมืองให้กับกองทัพพม่า เดินทัพเข้ามาในเมือง ตามแผนการนัดหมายที่กำหนด ดังนั้นใน วันที่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๓๑๐ กล่าวได้ว่า กองทัพพม่า สามารถตีกรุงศรี อยุธยาแตกพ่าย *'' หลังจากที่เจ้านครอินทร์ ประกาศตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางอำนาจรัฐของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ รวมเวลาราชธานีได้ ๓๕๕ ปีใช้เวลาในการล้อมกรุงศรีอยุธยา๑ ปี ๒ เดือน

        ภายหลังการเข้ายึดครองพระราชวังหลวง กรุงศรีอยุธยาภิกษุพระเจ้าอุทุมพร และพวกราชวงศ์ ถูก ทหารพม่าจับกุม และถูกนำไปทรมาน จึงยอมเปิดเผยที่ซ่อนทรัพย์สิน พม่าจึงขุดทรัพย์สินต่างๆ ไปได้ จำนวนมาก จนกระทั่งวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ.๒๓๑๐ แม่ทัพเนเมียวสีหบดี ต้องรีบถอยทัพกลับไป โดย มอบหมายให้ สุกีนายกอง ควบคุมกำลังทหาร ๓,๐๐๐ คน อยู่ที่ค่ายโพธิ์สามต้น กรุงศรีอยุธยา

        พม่า มอบให้นายทองอิน ควบคุมกองทัพ อยู่ที่เมืองธนบุรี ในวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ.๒๓๑๐ กองทัพพม่าจึงเร่งรีบยกกองทัพกลับกรุงหงสาวดี เพราะกลัวกองทัพของสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ลอบซุ่มโจมตี ส่วนภิกษุพระเจ้าอุทุมพร ถูกพม่าควบคุมตัวไปพร้อมกับพวกมิสชันนารี่ เมื่อเดินทางถึง ราชอาณาจักรพม่า ก็ถูกบังคับให้ลาสิกขา และให้เขียนพงศาวดาร ฉบับขุนหลวงหาวัด ในเวลาต่อมา

        ส่วนพระเจ้าเอกทัศน์สามารถหลบหนีออกจากพระราชวังหลวงมาได้จนกระทั่งวันที่๑๐พฤษภาคม พ.ศ.๒๓๑๐ พระเจ้าเอกทัศน์ ได้อดอาหารมา ๑๐ วัน จึงป่วยอย่างหนัก ถูกพม่าจับตัวมาที่ค่ายโพธิ์สามต้น ก็ สวรรคต รวมเวลาครองราชย์สมบัติ ๙ ปี สุกี้(นายกอง) ได้เชิญพระบรมศพฝังไว้ที่โคกพระเมรุ ท้องสนามหลวงกรุงเก่า ตรงหน้าพระวิหารมงคลบพิตร

 

ภาพที่-๒๙ ภาพวาดกรุงศรีอยุธยา หลังจากกองทัพพม่า เผาพระราชวังหลวง คงเหลือแต่ซาก

 

        เมื่อขุนท่องสื่อ(ขุนฤกษ์) ได้เดินทางมารายงานต่อ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ว่า กรุงศรีอยุธยา ได้แตกพ่ายตามที่พระองค์ท่านคาดการณ์แล้ว สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้ตรัสต่อหน้าขุนนาง อำมาตย์ได้ยินกันทั่วหน้าว่า "...การเสียกรุง เป็นไปตามที่ สมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์สาปแช่งไว้..."

         หลังจากนั้นพระองค์ก็ได้รับสั่งให้กองทัพพระยาต่างๆ ที่ออกไปทำสงครามกองโจรในพื้นที่สองฝากฝั่ง ของ แม่น้ำเจ้าพระยา นั้น ให้ถอนทัพมารวมกันที่ ชายหาดนาจอมเทียน ให้คงเหลือทหารไว้เพียง บางส่วนเพื่อทำการสืบข่าวการเคลื่อนไหว ของ กองทัพพม่า เท่านั้น

 

เจ้าฟ้าจุ้ย ทำพิธีบรมราชาภิเษก เป็นมหาราชา แห่ง ราชอาณาจักรเสียม-หลอ

        เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๓๑๐ พระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู ซึ่งได้ปลอมตัวไปสืบข่าวที่เมืองจันทร์บูรณ์นั้น สามารถหลบหนีออกมาจากเมืองจันทร์บูรณ์เป็นผลสำเร็จ และได้มาขอเข้าเฝ้า สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ที่เมืองระยอง พร้อมกับได้รายงานว่า เจ้าฟ้าจุ้ย ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษก เป็นกษัตริย์ แห่ง ราชอาณาจักรเสียม-หลอ โดยใช้เมืองจันทร์บูรณ์เป็นราชธานี กำหนดให้มีเมืองมหาอุปราชและตำแหน่ง มหาอุปราชหลายตำแหน่ง โดยมี เจ้าฟ้าแขก และ เจ้าฟ้าสังข์ เป็นมหาอุปราชมีการแต่งตังกษัตริย์ปกครอง เมืองต่างๆ จำนวนมาก การดำเนินการตังกล่าวได้รับการสนับสนุนจาก พระยาไชยารุก นอกราชการ ซึ่งเป็น เชลยศึกของพม่า ติดต่อให้พระเจ้ามังระ ยอมรับรองเรียบร้อยแล้ว และยังมีการติดต่อกับ ประเทศจีน ญวน และ เขมร ให้รับรอง และสนับสนุน การขึ้นเป็นกษัตริย์ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงจันทร์บูรณ์อีกด้วย

        สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน)ซึ่งไม่พอพระทัยที่เจ้าเมืองจันทร์บูรณ์ไม่ยอมส่งตัวขุนรามหมื่นซ่อง มาให้ลงโทษแล้ว กลับสนับสนุน เจ้าฟ้าจุ้ย ขุนนางอำมาตย์ชั่ว มาเป็นกษัตริย์แห่ง ราชอาณาจักรเสียม- หลอ อีกด้วย จึงได้ส่งพระราชสาสน์ให้พระภิกษุเป็นราชทูต เดินทางนำไปส่งให้กับเจ้าเมืองจันทร์บูรณ์ (บุญหลาน) โดยมีคำสั่งให้พระยาจันทร์บูรณ์ทำการจับกุม เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์เจ้าฟ้าแขก และ ขุนรามหมื่นซ่อง มาส่งมอบให้ที่เมืองระยอง โดยด่วน มิฉะนั้นถือว่าเป็นกบฏ จะมีความผิดอาญาแผ่นดิน

         ฝ่ายพระยาจันทร์บูรณ์ เมื่อได้รับพระราชสาสน์ ของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ก็ได้นำไป หารือกับ เจ้าฟ้าจุ้ย และพวก สรุปว่าไม่ยอมตอบสนองตามคำสั่ง ให้ทำการถ่วงเวลาไว้ก่อน หลังจากนั้นไม่นาน สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ก็ได้รับทราบแต่ข่าวที่ไม่ดี

        ต่อมามีข่าวเพิ่มเติมมาอีกว่า เจ้าเมืองชลบุรี คือ นายทองอยู่ นกเล็ก ได้ก่อกบฏ กลับใจไปให้การ สนับสนุน เจ้าฟ้าจุ้ย และพวก ขึ้นเป็นกษัตริย์ ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงจันทร์บูรณ์ โดยยอมเป็น ประเทศราชของ ราชอาณาจักรพม่า สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จึงตัดสินพระทัย ส่งกองทัพหลวงจาก เมืองระยอง เดินทางกลับไปเข้ายึดครอง เมืองชลบุรี อีกครั้งหนึ่ง เพื่อตัดกำลังการสนับสนุนของ เจ้าฟ้าจุ้ย นั่นเอง ส่วนพระยาจักรีศรีองค์รักษ์บุญชู ได้เดินทางกลับไปยังเมืองจันทร์บูรณ์อีกครั้งหนึ่ง

 

สมเด็จพระเจ้าศรสรรเพชร(สิน) เกลี่ยกล่อม เจ้าเมืองชลบุรี

        ความเดิมนั้น นายทองอยู่ นกเล็ก เป็นพรรคพวกของเจ้าฟ้าจุ้ย ได้เคยเตรียมทหารจะคอยต่อรบกับ กองทัพของสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) มาก่อน จึงเป็นที่มาให้ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เสด็จ ยาตราทัพจากชายหาดนาจอมเทียน เข้าไปหยุดประทับ ณ วัดหลวง ใกล้เมืองชลบุรี แล้วตรัสใช้นายบุญรอด แขนอ่อน กับ นายชื่น บ้านท่าไข่ ซึ่งเป็นมิตรสหายกับ นายทองอยู่ นกเล็ก ผู้ปกครองเมืองชลบุรี ให้เข้าไป เจรจาเกลี้ยกล่อมให้ นายทองอยู่ นกเล็ก ยอมอ่อนน้อม ยอมเข้าด้วย โดยดี ต่อมา นายบุญรอด นายชื่น จึงได้ พา นายทองอยู่ นกเล็ก ออกมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ณ วัดหลวง เพื่อแสร้งขอสวามิภักดิ์ต่อ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน)

        นายทองอยู่ นกเล็กได้กระทำความสัตย์สาบานตน ถวายต่อพระองค์แล้วจึงแสร้งเชิญสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เสด็จเข้าไป ณ เมืองชลบุรี นายทองอยู่ นกเล็ก ก็นำเสด็จไปเลียบเมือง ทอดพระเนตร เมืองชลบุรี ทั่วแล้ว ก็เสด็จกลับมายังที่ประทับ นายทองอยู่ นกเล็ก จึงได้พาคณะกรรมการกรมการเมือง ชลบุรี มาถวายบังคมพร้อมกัน เป็นที่มาให้สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) โปรดเกล้าแต่งตังให้ นายทองอยู่ นกเล็ก เป็น พระยาอนุราฐบุรีศรีมหาสมุทร ครองเมืองชลบุรี

        แต่ต่อมาเมื่อ เจ้าฟ้าจุ้ย ประกาศขึ้นครองราชย์สมบัติ ปกครองราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงจันทร์บูรณ์ เจ้าเมืองชลบุรี คือ นายทองอยู่ นกเล็ก ได้ก่อกบฏ กลับใจไปให้การสนับสนุน เจ้าฟ้าจุ้ย ขึ้นเป็นกษัตริย์ ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงจันทร์บูรณ์ อีกครั้งหนึ่ง เป็นเหตุให้สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ตัดสินพระทัยยกกองทัพหลวง จากฐานที่มั่นเมืองระยอง ไปปราบปราม เจ้าเมืองชลบุรี นายทองอยู่ นกเล็ก ที่เมืองชลบุรี อีกครั้งหนึ่ง

       เมื่อสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) แห่ง ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ได้ยกกองทัพเข้ายึดแขวง เมืองชลบุรี เพื่อปราบปราม พระยาอนุราฐบุรี(นายทองอยู่ นกเล็ก) ซึ่งให้การสนับสนุน เจ้าฟ้าจุ้ย เป็นกษัตริย์ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงจันทร์บูรณ์ อีกครั้งหนึ่งนั้น เมื่อกองทัพหลวงเดินทางไปถึงเมืองชลบุรี ในที่สุด นายทองอยู่ นกเล็ก ได้แสร้งขออ่อนน้อมต่อ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) อีกครั้งหนึ่ง พระองค์จึงยังคง โปรดเกล้าให้เป็น พระยาอนุราฐบุรี(ทองอยู่ นกเล็ก) เป็นเจ้าเมืองชลบุรี ต่อไป แล้วเสด็จกลับไปต้อนรับ กองทัพ พระยาต่างๆ ที่ชุดนัดพบ ทัพพระยา ณ ชายหาดนาจอมเทียน เมืองบางละมุง แล้วนำกองทัพหลวง เดินทางกลับไปยัง เมืองระยอง อีกครังหนึ่ง

 

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เจรจากับ เจ้าเมืองจันทบูรณ์

        เหตุการณ์ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๓๑๐ เมื่อสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เสด็จกลับมาจาก เมืองชลบุรี ก็ได้โปรดเกล้าให้พระยาจักรีศรีองค์รักษ์(บุญชุ) จัดหาพระภิกษุสงฆ์ ให้ช่วยเป็นราชทูตไป เจรจา กับ พระยาจันทบูรณ์(บุญหลาน) เสนอให้จับเจ้าฟ้าจุ้ย และพวก ส่งมาให้ลงโทษ อีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ พระยาจักรีศรีองค์รักษ์(บุญชู) ได้ส่งจดหมายลับมายัง สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ให้ ตัดสินพระทัยนำกองทัพเข้าตี เมืองจันทบูรณ์ ทันที พร้อมกับได้ส่งแผนที่ ที่ตั้งกองกำลังต่างๆ ให้ด้วย เสนอให้สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ใช้มาตรการเด็ดขาดปราบปราม เพราะ เจ้าฟ้าจุ้ย และพวก ได้ส่ง คณะราชทูต ไปเจรจากับ เมืองต่างๆ และประเทศต่างๆ ให้สนับสนุนการขึ้นครองราชย์สมบัติ เรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์ต่อเนื่องในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๓๑๐ นั้น สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) แห่ง ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ได้นำกองทัพหลวงจากเมืองระยอง เดินทัพไปยังเมืองจันทร์บูรณ์ ผ่านมาทาง บางกระจะ ตั้งค่ายทหารอยู่ที่ วัดแก้ว เรียกร้องให้ พระยาจันทร์บูรณ์(บุญหลาน) มาเข้าเฝ้า และให้ส่งตัว เจ้า ฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์ เจ้าฟ้าแขก และ ขุนรามหมื่นซ่อง ให้มารับโทษ โดยดี แต่พระยาจันทร์บูรณ์ แสร้งถ่วงเวลา สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จึงเตรียมนำกองทัพเข้าตีเมืองจันทร์บูรณ์ รับสั่งให้ กองทัพของแม่ทัพพระยาต่างๆ ที่พักทัพอยู่ที่ฐานที่มั่นชายหาดนาจอมเทียน แบ่งกำลัง เคลื่อนทัพบางส่วน มาร่วมปิดล้อม เมืองจันทบูรณ์ทันที เมื่อเจ้าฟ้าจุ้ย และ เจ้าฟ้าสังข์ทราบข่าวจึงตัดสินใจเดินทางหลบหนีออกจากเมือง จันทบูรณ์ ไปอยู่ที่เมืองบันทายมาศไปอาศัยอยู่กับ พระยาราชาเศรษฐี(ม่อเทียนซื่อ)

        เมื่อสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ทราบข่าว จึงรับสั่งให้ พระยาพิชัยไอยสวรรค์(หยางจิ้งจุง) นำ กองทัพไปติดตามจับกุม เจ้าฟ้าจุ้ย และ เจ้าฟ้าศรีสังข์ ซึ่งหลบหนีไปยังเมืองบันทายมาศเมื่อพระยาพิชัยไอยสวรรค์(หยางจิ้งจุง) เดินทางไปถึงปากน้ำเมืองพุทไธมาศ ก็ทราบข่าวว่า เจ้าฟ้าจุ้ย และเจ้าศรีสังข์ ได้เดินทาง หลบหนีไปอยู่ในประเทศเขมร เรียบร้อยแล้ว

 

ภาพที่ ๓๐ ภาพการเคลื่อนกองทัพหลวง ของ สมเด็จพระศรีสรรเพชร(สิน)มาที่บางกระจะ และตั้งค่ายอยู่ที่ วัดแก้ว ก่อนการตัดสินพระทัยสั่งตีเมืองจันทบูรณ์ ขั้นเด็ดขาด

 

        พระยาพิชัยไอยสวรรค์(หยางจิ้งจง) จึงได้ติดต่อเจรจากับพระยาราชาเศรษฐี (ม่อเทียนซื่อ) ที่เมืองบันทายมาศ ให้ร่วมมือกันทำสงครามกอบกู้เอกราช โดยสั่งห้ามไม่ให้ร่วมมือกับ เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าศรีสังข์ และ เจ้าฟ้าแขก แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะทราบข่าวว่า เจ้าพระยาราชาเศรษฐี (ม่อเทียนซื่อ) ได้ให้การสนับสนุน เจ้าฟ้าจุ้ย ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ราชอาณาจักรเสียม-หลอ อย่างลับๆ เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการขอรับรอง ทางการทูต การขอตราหยกจากพระเจ้ากรุงจีนเท่านั้นพระยาพิชัยไอยสวรรค์ (หยางจิ้งจุง)จึงส่งพระราชสาสน์ให้ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ทรงทราบ

 

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ส่งกองทัพเข้ายึด เมืองจันทบูรณ์

        ในเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๓๑๐ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) แห่ง ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ซึ่งกำลังนำกองทัพหลวงเข้าปิดล้อมเมืองจันทบูรณ์ อยู่นั้น ก็ทราบข่าวว่า เจ้าฟ้าจุ้ย และ เจ้าฟ้าศรีสังข์ ได้หลบหนี ไปยังประเทศเขมร เรียบร้อยแล้ว คงเหลือแต่กรมหมื่นเทพพิพิธ ที่อาศัยอยู่ที่เมืองจันทบูรณ์ และเมื่อพิจารณาเห็นว่า การเจรจาจะไม่เป็นผลอย่างแน่นอน พระองค์จึงตัดสินพระทัยใช้กองทัพหลวง เขายึดเมือง จันทบูรณ์เพื่อมิให้ถูกนำไปใช้เป็นราชธานี ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ โดยเจ้าฟ้าจุ้ย และพวกอีกต่อไป สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน)สืบทราบมาแล้วว่าเมืองจันทบูรณ์ไม่มีปีนใหญ่และอาวุธที่ ทันสมัยเพราะได้ส่งไปช่วยกรุงศรีอยุธยา และลูกพม่ายึดครองไปหมดสิ้น ทหารของเมืองจันทบูรณ์ คงมี แต่ปืนนกสับ และดาบ เท่านั้น อาวุธของกองทัพหลวง เหนือกว่ามาก เพราะมีปืนลูกซองยาว ปืนกลลูกซองตับ มีปืนไรเฟิล ที่ซื้อมาจากฝรั่งอีกมากด้วย ถ้าหากว่าสามารถนำช้างพังประตูเมืองเข้าไปได้ทหารก็จะสามารถยึดครองเมืองจันทบูรณ์ได้โดยไม่ยากนัก

 

 

ภาพที่-๓๑ ภาพวาดที่ปรุงแต่งขึ้นมาภายหลัง แสดงกองทัพสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) นำกองทัพ หลวงเข้าตีเมืองจันทบูรณ์สามารถนำช้างพังประตูเมืองเป็นผลสำเร็จ

 

        สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้เรียกแม่ทัพนายกองมาประชุม และรับสั่งว่า เราตัดสินใจจะเข้าตีเมืองจันทร์ในค่ำวันนี้ เมื่อทหารกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว ให้เทอาหารที่เหลือทิ้ง และให้ทุบต่อยหม้อเสียให้หมด หมายไปกินข้าวด้วยกันที่ในเมืองพรุ่งนี้ถ้าตีเอาเมืองไม่ได้ในค่ำวันนี้ก็จะตายเสียด้วยกันให้หมดทีเดียว แม่ทัพนายกองรับทราบคำสั่ง ก็ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขืน ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง

        เมื่อถึงเวลามืดค่ำ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) สั่งให้ทหารกระจายออกตามแผนการรบ ระวังมิให้ ชาวเมืองรู้การเคลื่อนไหว สั่งให้คอยฟังสัญญาณเข้าตีเมืองให้พร้อมกัน โดยห้ามมิให้ส่งเสียง จนกว่าพวกไหนเข้าเมืองได้ จึงให้ส่งเสียงโห่ร้อง ขึ้นเป็นสำคัญ ให้พวกทางด้านอื่นรับรู้

        ครั้นเตรียมพร้อมเสร็จ พอได้ ฤกษ์เวลา ๓ นาฬิกา สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ก็ขึ้นทรงคอช้างพังคีรีบัญชร ยิงปืนเป็นสัญญาณ แจ้งให้ ทหารเข้าตีเมืองพร้อมๆ กัน ส่วนสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ก็ขับช้างพระที่นั่ง เข้าพังประตูเมือง

        ส่วนชาวเมืองเมื่อทราบว่าถูกบุก ก็ระดมยิงปืนใหญ่น้อยเข้ามา หลวงพิชัยอาสา(จ้อย) ซึ่งเป็นนายท้ายช้างพระที่นั่ง เห็นลูกปืนทหารรักษาเมืองยิงออกมาหนาแน่นนัก เกรงว่าจะยิงมาถูก สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จึงใช้ของ้าวเกี่ยวช้างพระที่นั่งให้ถอยออกมา สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ขัดพระทัย ชัก พระแสงดาบ(ขุนฤทธิ์) หันจะมาฟัน หลวงพิชัยอาสา(จ้อย) ซึ่งเป็นนายท้ายช้าง ต้องทูลขอชีวิตไว้แล้ว ใสช้างเข้าชนบานประตูเมืองพังทลายลง พวกทหารก็วิ่งกรูเข้าเมืองได้ แล้วใช้อาวุธปืนที่ทันสมัยออกยิงต่อสู้

        ทหารและชาวเมืองต่างละทิ้งหน้าที่ ต่างพากันหลบหนี ส่วนพระยาจันทบูรณ์(บุญหลาน) และนางบุญนอบ ภรรยา พร้อมบุตรธิดา ต้องหลบหนีไปอยู่ที่เมืองบันทายมาศ ส่วนกรมหมื่นเทพพิพิธ (เจ้าฟ้าแขก) ต้องหลบหนีไปอาศัยอยู่ที่ เมืองนครราชสีมา ประกาศตัวเป็น มหาอุปราช แห่งราชอาณาจักรเสียม-หลอ ยอม เป็นประเทศราช ของพม่า โดยการประสานงานของ นายรุก ส่วนสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ให้ผู้คน กลับมายังภูมิลำเนาเดิม แสดงความเมตาปราณี มิได้ถือโทษ "

 

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ส่งกองทัพเข้ายึดครองเมืองตราด และ เมืองต่างๆ

        ภายหลังการทำสงครามยึดครองเมืองจันทบูรณ์ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๓๑๐ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จึงได้สั่งให้ยกกองทัพต่างๆ เข้ายึดครองเมืองชายฝั่งทะเล ทั้งหมด จึงรับสั่ง ให้กองทหารที่มาจากฐานที่มั่นหาดนาจอมเทียน เมืองบางละมุง กลับไปยังที่มั่นเดิม รับสั่งให้เข้ายึดครอง เมืองแปดริ้ว เมืองปราจีนบุรี เมืองสมุทรปราการ เมืองสมุทรสาคร เมืองสมุทรสงคราม เมืองราชบุรี เป็นต้น พร้อมทั้งให้รับอาสาสมัครทหารใหม่ ส่งไปฝึกทหารที่กรุงคันธุลี ด้วย

        ส่วนสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้รับสั่งให้ทหารกองทัพหลวง เข้ายึดครองเมืองใกล้เคียง และ รับอาสาสมัครทหารเพิ่มเดิม มาฝึกในเมืองจันทร์บูรณ์ เพื่อเตรียมทำสงครามใหญ่ ส่วนพระองค์ ได้แบ่ง ทหารจากกองทัพหลวงประมาณ ๑,๐๐๐ คนเศษ เดินทาง ๗ วัน ๗ คืน เพื่อเข้ายึดครองเมืองตราด รับสั่งให้ กองทัพเรือ ๕๐ ลำ พร้อมกำลังทหาร ๒,๕๐๐ คน จากฐานที่มั่นชายหาดนาจอมเทียน ส่งกองทัพเรือเข้าร่วม ตีเมืองตราดด้วย นัดพบกันที่ บ้านทุ่งใหญ่ ขณะที่สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เดินทางไปยังเมืองตราด นั้น มีฝนตกทุกวัน เมื่อเดินทางมาถึงบ้านทุ่งใหญ่ ก็ได้พบกับกองุเรือ ที่เดินทางมาจากฐานที่มั่นทัพพระยา (พัทยา) จำนวน ๕๐ ลำเศษ ก็ลงเรือเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองตราด เจ้าเมืองตราด ซึ่งทราบข่าวว่าเมืองจันทบูรณ์ ถูกตีแตกแล้วนั้น ก็ยอมอ่อนน้อมแต่โดยดี

 

พระยาราชาเศรษฐี เมืองบันทายมาศ สนับสนุนเจ้าฟ้าจุ้ย เป็นกษัตริย์ องค์ใหม่

        เนื่องจากตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๓๑๐ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) โปรดเกล้าให้ส่งพระยาพิชัยไอยสวรรค์(หยางจิ้งจุง) ไปพบกับม่อเทียนซื่อ(พระยาราชาเศรษฐี) ซึ่งเป็นญาติกับภรรยาของ หยางจิ้งจุง ในประเทศจีน เพื่อเจรจากับพระยาราชาเศรษฐี (ม่อเทียนซื่อ) เจ้าเมืองบันทายมาศ (อดีตเคยชื่อว่าเมือง ออกแก้ว ปัจจุบันเรียกชื่อว่า เมืองฮาเตียน ของ ประเทศเวียตนาม) ขณะนั้นเป็นเมืองภายใต้การปกครอง ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ เพื่อขอให้ร่วมมือกันทำสงครามกอบกู้เอกราช อีกครั้งหนึ่ง โดยห้ามมิให้ช่วยเหลือ เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าศรีสังข์ และ เจ้าฟ้าแขก แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ

        พระยาพิชัยไอยสวรรค์(หยางจิ้งจุง) ทราบว่า เจ้าพระยาราชาเศรษฐี (ม่อเทียนซื่อ) ได้รับสินบน จำนวนมาก เพื่อให้การสนับสนุน เจ้าฟ้าจุ้ยขึ้นมาเป็นกษัตริย์ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ เรียบร้อยแล้วและอยู่ ระหว่างการวิ่งเต้นขอรับรองการขึ้นครองราชย์สมบัติ จากราชอาณาจักรข้างเคียง โดยได้ติดต่อไปยังประเทศจีน เพื่อขอพระราชทานตราหยก จากพระเจ้ากรุงจีน อีกด้วย

        จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๓๑๐ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ทราบข่าวการเคลื่อนไหว ของ เจ้าฟ้าศรีสังข์ จึงรับสั่งให้ส่งทหารไปจับกุม สามารถจับกุม เจ้าฟ้าศรีสังข์ ได้ที่บางปลาสร้อยแต่ต่อมา บาทหลวงของฝรั่งเศส ได้ช่วยเหลือโดยนำหลบหนีไปอาศัยอยู่ที่ เมืองพุทไธมาศ(ตาแก้ว) สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ทราบข่าว จึงส่งพระราชสาสน์ให้ พระยาราชาเศรษฐี(ม่อเทียนซื่อ) เจ้าเมืองบันทายมาศ(ออกแก้ว) ให้ช่วยจับตัวเจ้าฟ้าศรีสังข์ กลับคืนให้กับพระองค์ ที่เมืองจันทร์บูรณ์ ด้วย จึงเป็นที่มาให้ เจ้าฟ้าศรีสังข์ ร้องขอให้บาทหลวงฝรั่งเศส ช่วยนำหลบหนีไปอยู่ในประเทศเขมร อีกครั้งหนึ่ง

        ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๓๑๐ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้ส่ง พระยาพิชัยไอยสวรรค์ (หยางจิ้งจุง) ไปเจรจากับ พระยาราชาเศรษฐี(ม่อเทียนซื่อ) เจ้าเมืองบันทายมาศ(ออกแก้ว) อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจาก พระยาราชาเศรษฐี เป็นชาวจีนกวางตุ้ง เป็นญาติกับภรรยาคนแรก ของ หยางจิ้งจุง มีการเจรจา เพื่อให้ ม่อเทียนซื่อ ช่วยติดต่อกับ ฮ่องเต้เฉียนหลุง ให้ช่วยรับรองทางการทูตต่อ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี แต่ไม่สำเร็จ เพราะสถานการณ์ในขณะนั้น ม่อเทียนซื่อ ไต้ติดต่อ ข้าหลวงมณฑลกวางตุ้ง เพื่อให้การสนับสนุนต่อ เจ้าฟ้าจุ้ย เป็นกษัตริย์ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ เรียบร้อยแล้ว พระยาพิชัยไอยสวรรค์ (หยางจิ้งจุง) จึงเดินทางกลับมาพบกับ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ที่เมืองตราด

 

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เข้ายึดกองเรือสำเภาค้าขาย ของ พ่อค้าจีน

       เดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๓๑๐ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) แห่ง ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี อยู่ที่ปากน้ำเมืองตราด ได้พบเห็นกองเรือสำเภาค้าขายของพ่อค้าจีน จอดทอดสมออยู่ที่ปากน้ำเมืองตราดหลายลำ พระองค์รับสั่งให้ข้าหลวงไปเรียกนายเรือมาเข้าเฝ้า แต่พวกเรือสำเภาจีนขัดขืน แล้วกลับยิงเอา ข้าหลวงสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน)จึงลงเรือพระที่นั่ง รับสั่งให้พระยาพิชัยไอยสวรรค์(หยางจิ้งจุง) นำกองเรือสำเภารบ เข้าปิดล้อมกองเรือสำเภาจีนไว้ แล้วแจ้งให้พวกสำเภาจีน ยอมอ่อนน้อมแต่โดยดี

 

ภาพที่-๓๒ ภาพวาดแสดงกองทัพเรือ สำเภา ของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ขณะที่เข้าล้อมเรือพ่อค้าสำเภาจีน ที่เมืองตราด

 

        พวกเรือสำเภาจีนก็ไม่ยอมอีก กลับ นำเอาปืนใหญ่น้อยระดมยิง รบกันอยู่ครึ่งวัน สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ก็สามารถยึดเอา เรือสำเภาจีนได้ทั้งหมด ได้ทรัพย์สิน สิ่งของ เป็นกำลังในกองทัพจำนวนมาก เมื่อเสร็จภารกิจ เรียบร้อย ก็เสด็จกลับไปยังเมืองจันทร์บูรณ์ "

        เรื่องการเข้ายึดครองเรือสำเภาพ่อค้าจีน โดย พระยาพิชัยไอยสวรรค์(หยางจิ้งจุง) นั้น กลายเป็นปัญหาใหญ่ในเวลาต่อมา เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ขอให้ฮ่องเต้เฉียนหลุง รับรอง ทางการทูต ต่อ ราชอาณาจักรเสียมหลอ กรุงธนบุรี เพราะกลายเป็นข้อต่อรองของ ฮ่องเต้ เฉียนหลุง ในเวลาต่อมา โดยเสนอให้สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ชดใช้ค่าเสียหายให้กับ ประเทศจีน และให้ส่งตัว เจ้าพระยาโกษาธิบดี(หยางจิ้งจุง) ไปให้ประเทศจีน ลงโทษ เป็นที่มาให้สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ แสร้ง ปล่อยข่าวว่า เจ้าพระยาโกษาธิบดี(หยางจิ้งจุง) เสียชีวิตแล้ว พร้อมกับแสร้งทำพิธีเผาศพปลอม แล้วส่งตัว เจ้าพระยาโกษาธิบดี(หยางจิ้งจุง) ไปอาศัยอยู่ที่ บ้านเกาะไผ่ เมืองคันธุลี แทนที่

 

พระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ต่อเรือสำเภาเพิ่มเติม ที่เมืองจันทบูรณ์

        ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๓๑๐ ก็ย่างเข้าฤดูฝน เมื่อสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) แห่ง ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี สำเร็จภารกิจการส่งกองทัพเข้ายึดเรือสำเภาจีน ก็ยกกองทัพเรือ จากเมืองตราด เดินทางกลับสู่เมืองจันทบูรณ์ รับสั่งให้เร่งรัดฝึกทหารใหม่ และเร่งต่อเรือสำเภา เตรียมเสบียงกรัง รองรับการเพิ่มขึ้นของทหาร จนกระทั่งถึงเดือนสิงหาคม นายสุจินดาหุ้มแพร(บุญมา) ซึ่งเป็นน้องชายของ นายทองด้วง สหายร่วมน้ำสาบาน ทราบข่าวว่า เจ้าฟ้าจุ้ย และพวก ที่ตั้งตัวเป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรเสียม- หลอ อยู่ในฐานะเพลี่ยงพล้ำ จึงได้เดินทางมาขอสวามิภักดิ์ ขอเข้ารับราชการด้วย ทหารของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ทำการต่อเรือเพิ่มเติมขึ้น ที่เมืองจันทบูรณ์ และทำการฝึกทหารเพิ่มขึ้นอีก ๔,๐๐๐ คน จนกระทั่งเดือนกันยายน พ.ศ.๒๓๑๐ สามารถต่อเรือได้ประมาณ ๑๐๐ ลำ จนกระทั่งปลายเดือนกันยายน พ.ศ.๒๓๑๐ จึงเคลื่อนกองทัพหลวง ไปที่ฐานที่มั่นทัพพระยา(พัทยา) ชายหาด นาจอมเทียน เมืองบางละมุง ก็ได้รับรายงานว่า พระยาชลบุรี(นายทองอยู่ นกเล็ก) ไม่ซื่อตรง ยังติดต่อกับ เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าสังข์ และ เจ้าฟ้าแขก เพื่อให้การสนับสนุนอย่างลับๆ เช่นเดิม

 

ภาพที่ ๓๓ ภาพถ่ายซากเรือที่เมืองจันทร์บุรี ซึ่งสันนิษฐานกันว่า เป็นอู่ต่อเรือของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ขณะที่ประทับที่เมืองจันทบูรณ์

 

        ที่ฐานที่มั่นทัพพระยา(พัทยา) ชายหาดนาจอมเทียน สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้เรียกประชุม ขุนนางอำมาตย์ แม่ทัพนายกอง ร่วมกันวางแผนเข้าทำสงครามขับไล่กองทหารพม่า ที่กรุงธนบุรี และที่ กรุงศรีอยุธยา ให้ออกจากดินแดนราชอาณาจักรละโว้ หลังจากได้รับสั่ง กระจายงานให้กับแม่ทัพนายกองต่างๆ เรียบร้อยแล้ว สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ก็นำกองทัพหลวง เดินทางมุ่งหน้าสู่ กรุงธนบุรี

        เมื่อสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เดินทางโดยเรือสำเภา มาถึงเมืองชลบุรี ได้มีราษฎร์มาถวายฎีกา ร้องกล่าวโทษ พระยาอนุราฐบุรี(นายทองอยู่ นกเล็ก) เจ้าเมืองชลบุรี ตามที่ได้รับทราบเรื่องมาก่อนแล้ว และ ยังกล่าวหาว่า ประพฤติตนเป็นโจร ส่งสมุนออกปล้นเรือสินค้า เพื่อหาทุนให้กับ เจ้าฟ้าจุ้ย เมื่อชำระความ ก็ ได้ความสัตย์ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน)จึงรับสั่งให้ประหารชีวิต นายอยู่ นกเล็ก ทันที แล้วโปรดเกล้า แต่งตั้งพระยาชลบุรี คนใหม่ เข้าปกครองเมืองชลบุรี แล้วสั่งเคลื่อนทัพเรือสำเภา มุ่งหน้าสู่ปากแม่น้ำ เจ้าพระยา เพื่อมุ่งหน้าสู่ กรุงธนบุรี เข้าทำสงครามกับกองทัพพม่า อีกครั้งหนึ่ง

 

 


 

 

เชิงอรรถ

 


 

*      กรมศิลปากร พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่มที่ ๒ พิมพ์พ.ศ.๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๕๔

         เรื่องกำลังทหารที่ นายกลม นำมามอบให้กับ สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ๑๐,๐๐๐ คน ซึ่งถูกปรุงแต่งขึ้นมาในหลักฐานพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา นั้น เป็นเรื่องที่น่าตลก ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ มีคำถามของนักประวัติศาสตร์ กล่าวถึงเรื่องนี้เรื่อยมา ว่า เป็นเรื่องเหลือเชื่อ นายกลมเป็นใคร มาจากไหน ทำไมจึงมีกำลังทหารถึง ๑๐,๐๐๐ คน สันนิษฐานได้ว่า การปรุงแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาใน ภายหลัง นั้น น่าจะมีเจตนาปกปิดเรื่องราวที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เคยครองราชย์สมบัติ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ซึ่งมีพระนามว่า สมเด็จพระศรีสรรเพชร(สิน) มาก่อนที่จะทำสงครามยึดครองเมืองจันทร์บูรณ์ จะสังเกตเห็นว่า เรื่องราวที่ เจ้าฟ้าจุ้ย ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ นั้น ก็ ไม่ปรากฎในหลักฐานพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เลย แต่กลับปรากฏพบหลักฐานดังกล่าว ในหลักฐานประวัติศาสตร์ ของ ต่างประเทศ ทั้งสิ้น

*๒      กรมศิลปากร พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่มที่ ๒ พิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๕๘

         นายทองอยู่ นกเล็ก เป็นบุตรของเจ้าเมืองชลบุรี คนเดิม เป็นญาติทางมารดากับ พระยาไชยารุก นอกราชการ จึงมีความสนิทสนมกับ นายรุก มาก่อน เนื่องจากเคยรับราชการเป็นมหาดเล็ก อยู่กับ เจ้าฟ้ากุ้ง จึงสนิทสนมกับ เจ้าฟ้าจุ้ย เจ้าฟ้าแขก และ นายรุก มาโดย ตลอด นายทองอยู่ นกเล็ก เคยเป็นเจ้าเมืองชลบุรี มาก่อน และต่อมาได้ไปรับราชการที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อกองทัพพม่า เข้าปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา จึงหลบหนีกองทัพพม่า มาอยู่ที่เมืองชลบุรี ต่อมาได้รับการติดต่อประสานงานจาก พระยาไชยารุก นอกราชการ และ เจ้าฟ้าแขก ให้ ทำการสนับสนุน เจ้าฟ้าจุ้ย ขึ้นครองราชย์สมบัติ เป็นกษัตริย์ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงจันทร์บูรณ์จึงแสร้งตีสองหน้า กับ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) พร้อมกับส่งข่าวให้ เจ้าฟ้าแขก มาโดยตลอด อีกด้วย

*๓      กรมศิลปากร พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่มที่ ๒ พิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๕๗

*๔      พลตรีจรรยา ประชิตโรมรัน การเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๐ สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์ครังที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๓๗ หน้าที่ ๑๖๗-๑๖๙

          เรื่องราวการที่กองทัพพม่าสามารถยึดครองกรุงศรีอยุธยา ได้ในครั้งนั้น ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ฝ่ายฉ้อราษฎร์บังหลวง มิใช่เฉพาะ พระยาพลเทพ เท่านั้นที่ทรยศ ต่อ ชาติสยาม มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์อีกหลายอย่าง ตลอดไปจนถึง เรื่องราวที่เป็นตำนานเล่าขานกัน ต่อ ๆ มาว่า ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ส่วนใหญ่ในขณะนั้น ได้ก่อกบฏ สมคบกับพม่า ผ่านการติดต่อ ของ ขุนนางอำมาตย์ชั่ว ที่ยอมจงรักภักดี ต่อ ราชอาณาจักรพม่า ไปแล้วทั้งสิ้น แม้กระทั่ง พระยากลาโหม

ตำนานนาคุณพระ คือตำนานเรื่องราวที่ ทหารม้าพระยาตากสิน เคยร่วมทำสงครามรักษากรุงศรีอยุธยา ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี ทหารดังกล่าวได้กลายเป็นขุนนางอำมาตย์ กันทั่วหน้า แต่เมื่อเกิดกบฏพระยาสรรค์ ก็คูกจับขังคุก ต่อมาสามารถหลบหนีมารวมตัวกันที่ นาคุณพระ ท้องที่ ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน ได้ถ่ายทอดเรื่องราวให้ลูกหลานว่า สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เคยมี พระราชสาสน์ ไปถึง พระเจ้าเอกทัศน์ อธิบายความว่า พระองค์มิได้เป็นผู้เผาบ้านเผาเมือง และมิได้เป็นกบฏ พร้อมกับเสนอจะนำกองทัพ จากราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี เข้าตีโอบกองทัพพม่าที่กำลังปีดล้อมกรุงศรีอยุธยา แต่พระราชสาสน์ฉบับดังกล่าวไปไม่ถึง พระเจ้าเอกทัศ ไปตกอยู่ในมือของ ขุนนางอำมาตย์ชั่ว กล่าวว่า เป็นขี้ข้าพม่า ดีกว่าเป็นขี้ข้าพระยาตาก แล้วนำพระราชสาสน์ดังกล่าวส่งให้กับพม่า

*๕      พลตรีจรรยา ประชิตโรมรัน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๗ หน้าที่ ๓๗- ๓๙ และ พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่มที่ ๒ พิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๕๙-๑๖๐

*๖      พลตรีจรรยา ประชิตโรมรัน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.๒๕๓๗ หน้าที่ ๔๐-๔๒

 

 

 

                                       บทที่-๑๑

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เข้ายึดครอง ราชอาณาจักรละโว้

 

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เคลื่อนทัพสู่ เมืองธนบุรี

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ตัดสินพระทัย นำกองทัพจาก ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี มาปฏิบัติภารกิจสำคัญสามประการ คือ ประการแรก การยึดครองเมืองต่างๆ ทางชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก และเมืองชายฝั่งทะเลอื่นๆ ประการที่สอง คือการทำสงครามปราบกบฏเจ้าฟ้าจุ้ย และพวก ประการที่สาม คือ การทำสงครามกองโจรตัดกำลังกองทัพพม่า เพื่อเข้าควบคุมเส้นทางเดินทัพ เตรียมทำสงครามยึดครองดินแดนราชอาณาจักรละโว้ กลับคืน จึงเป็นที่มาให้ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) นำกองทัพหลวง มาใช้เมืองระยอง เป็นฐานที่มั่นทางการทหารในการขยายดินแดน เพื่อทำสงครามปราบกบฏเจ้าฟ้าจุ้ย และพวก มิให้เกิดการขยายตัวเติบใหญ่ จนยากต่อการแก้ไข

ส่วนกองทัพพวกพระยาต่างๆ ได้มาตั้งฐานที่มั่นทางการทหารอยู่ที่จุดนัดพบทัพพระยา(พัทยา) ชายหาดนาจอมเทียน เมืองบางละมุง ก็เพื่อทำสงครามกองโจรตัดกำลังทหารพม่า ที่ทำการควบคุมเส้นทางยุทธศาสตร์ทางแม่น้ำลำคลอง จนสามารถควบคุมเส้นทางเดินทัพทางแม่น้ำลำคลอง สำเร็จ พร้อมที่จะเคลื่อนทัพบก และทัพเรือ เข้ายึดครองเมืองต่างๆ ทางชายฝั่งทะเลกลับคืน และเตรียมทำสงครามยึดครองเมืองธนบุรี และ กรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของ กองทัพพม่า กลับคืน

เมื่อสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) สามารถส่งกองทัพเข้ายึดครองเมืองจันทร์บูรณ์ ซึ่งเป็นฐานที่มั่น ของ เจ้าฟ้าจุ้ย และพวก เป็นผลสำเร็จ สามารถทำลายกบฏเจ้าฟ้าจุ้ย ได้ในระดับหนึ่ง จนกระทั่ง เจ้าฟ้าจุ้ย และพวก ต้องหลบหนีไปใช้ประเทศเขมร เป็นที่ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น เพื่อสะสมกำลัง และขอความช่วยเหลือจากพม่า รอการกลับมาเป็นกษัตริย์ปกครองราชอาณาจักรเสียม-หลอ ในอนาคตอีกครั้งหนึ่ง

ผลของการทำสงครามปราบปรามกบฏเจ้าฟ้าจุ้ย และพวก ครั้งนั้น ส่งผลให้ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) สามารถครอบครองเมืองต่างๆ ริมชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ได้ทั้งหมด อีกทั้งได้ก่อเกิดเกียรติภูมิ ก่อเกิดบารมีของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ที่เลื่องลือออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวไทย ผู้รักชาติได้มาอาสาเป็นทหารเพิ่มขึ้นอีกประมาณ ๒๐,๐๐๐ คน เป็นที่มาให้ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ต้องจัดแบ่งกำลังใหม่ ครึ่งหนึ่งส่งไปยัง กรุงคันธุลี เพื่อมอบให้ เจ้าพระยาอินทร์วงศา ซึ่งเป็นพระยากลาโหม ทำการฝึกทหาร เพื่อสร้างกองทหารใหม่ ส่วนทหารใหม่อีกครึ่งหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) กระจายไปให้กับกองทัพพระยาต่างๆ ทำการฝึกทหาร และเป็นที่มาให้ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ต้องเร่งสร้างเรือสำเภาเพิ่มขึ้นอีก ๑๐๐ ลำ เพื่อรองรับกำลังพลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

สันนิษฐานได้ว่า กองกำลังทหาร ของ สหราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ที่มีความสามารถในการทำสงคราม น่าจะมีกำลังพลจริงในขณะนั้นประมาณ ๖๐,๐๐๐ คน โดยตั้งอยู่ในดินแดนเมืองต่างๆ ของ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ประมาณ ๓๐,๐๐๐ คน และตั้งอยู่ที่เมืองต่างๆ ตามชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก อีกประมาณ ๓๐,๐๐๐ คน ซึ่งพร้อมที่จะทำสงครามขับไล่กองทัพพม่า ออกจากฐานที่มั่น เมืองธนบุรี และ กรุงศรีอยุธยา ต่อไป

เนื่องจากสถานการณ์ขณะนั้นเป็นปลายฤดูฝน มีข่าวว่า เกิดสงครามชายแดนระหว่าง ราชอาณาจักรพม่า กับ มหาอาณาจักรจีน พระเจ้ามังระ ทราบข่าวจากพระยาไชยารุก นอกราชการ แล้วว่า สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ ของ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี และได้ขยายเขตแดนเข้ามาครอบครองดินแดนภาคตะวันออก ของ กรุงศรีอยุธยา เรียบร้อยแล้ว

พระเจ้ามังระ ซึ่งสนับสนุนให้ เจ้าฟ้าจุ้ย ขึ้นครองราชย์สมบัติ โดยใช้เมืองจันทร์บูรณ์ เป็นราชธานี ชั่วคราว ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ แต่เนื่องจากเมืองจันทร์บูรณ์ ได้ถูกยึดครองโดยกองทัพของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เรียบร้อยแล้ว พระเจ้ามังระ จึงเป็นกังวล ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก จึงเร่งรัดให้ พระยาไชยารุก นอกราชการ เร่งรัดให้ เจ้าฟ้าจุ้ย และพวก เข้าไปใช้กรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานี อีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จะส่งกองทัพเข้ายึดครอง ราชอาณาจักรละโว้ ไปครอบครอง โดยให้ พระยาไชยารุก นอกราชการ เตรียมนำกำลังทหารจากเมืองทวาย ร่วมกับกำลังทหาร ของ ราชอาณาจักรลานนา ราชอาณาจักรลาว และ ราชอาณาจักรกำพูชา มาช่วยคุ้มครอง เจ้าฟ้าจุ้ย และพวก ที่จะทำพิธีบรมราชาภิเษก ที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อสิ้นหน้าฝน อีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นที่มาให้ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ต้องเร่งรัดทำสงครามขับไล่ทหารพม่า ที่เมืองธนบุรี และ กรุงศรีอยุธยา ให้ออกไปโดยเร็วที่สุด

ดังนั้นในเดือนกันยายน พ.ศ.๒๓๑๐ ซึ่งเป็นปลายฤดูฝน สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้ตัดสินพระทัยยกกองทัพออกจากเมืองจันทร์บูรณ์ มุ่งหน้าเข้าสู่ เมืองธนบุรี เพื่อเข้ายึดป้อมวิชัยประสิทธิ์ ที่กองทัพพม่า ควบคุมอยู่ กลับคืน และจะส่งกองทัพเข้าโจมตีค่ายทหารพม่า ที่กรุงศรีอยุธยา เพื่อยึดครองกรุงศรีอยุธยา กลับคืนด้วย ระหว่างการเคลื่อนทัพหลวง ของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ซึ่งได้ทราบข่าวว่า เจ้าเมืองชลบุรี ก่อกบฏ จึงให้กองทัพหลวงหยุดแวะพักที่เมืองชลบุรี เพื่อจัดการกับเมืองชลบุรี โดยการจับพระยาอนุราฐบุรี ข้อหากบฏ ประหารชีวิต แล้วเคลื่อนกองทัพหลวง มุ่งหน้าสู่เมืองธนบุรี ส่วนกองทัพ ของ พระยาต่างๆ ได้ส่งทหารกองโจรล่วงหน้าเพื่อออกพร่ากำลังทหารพม่า และส่งทหารเข้าปิดล้อมค่ายทหารพม่า ค่ายต่างๆ เพื่อให้อดอาหาร และเตรียมส่งกำลังบดขยี้ อีกครั้งหนึ่ง

 

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ส่งกองทัพเข้ายึดป้อมวิชัยประสิทธิ์

ปลายเดือนกันยายน พ.ศ.๒๓๑๐ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) นำกองทัพหลวงไปตั้งอยู่ที่ เมืองธนบุรี ซึ่งพระองค์เคยปกครองเมืองธนบุรี มาก่อน ก่อนหน้านี้ พม่า ได้แต่งตั้งให้ นายทองอินทร์ เป็นผู้รักษาเมืองธนบุรี เมื่อพระยาพิชัยไอยสวรรค์(หยางจิ้งจุง) ส่งกองโจรทหารม้า เข้าลอบยิง พร่ากำลังทหารพม่า ในเมืองธนบุรี จนกระทั่ง เมื่อนายทองอินทร์ ทราบข่าวว่า กองทัพหลวงของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เดินทางมาถึงปากน้ำเจ้าพระยา เมืองสมุทรปราการ เรียบร้อยแล้ว ก็ได้รีบส่งข่าวให้ สุกี้ แม่ทัพพม่า ที่ค่ายโพธิ์สามต้น กรุงศรีอยุธยา รับทราบ หลังจากนั้น นายทองอินทร์ ต้องหลบหนีการลอบซุ่มโจมตี ไปตั้งมั่นอยู่ภายในป้อมวิชัยประสิทธิ์ กองทัพของ พระยาพิชัยไอยสวรรค์(หยางจิ้งจุง) จึงส่งกองทัพเข้าปิดล้อม ค่ายวิชัยประสิทธิ์ ไว้เพื่อตัดเสบียงอาหาร และรอกองทัพหลวง ของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เดินทัพมาถึงเมืองธนบุรี

 

ภาพที่-๓๔       ภาพวาดที่แสดงถึงการรบทางน้ำ ระหว่างกองทัพของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) กับกองทัพของพม่า ระหว่างการทำสงครามยึดครอง กรุงธนบุรี และ กรุงศรีอยุธยา กลับคืน

 

 

เมื่อกองทัพหลวง สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) มาตั้งกองทัพหลวงที่เมืองธนบุรี ก็ได้ร่วมวางแผนจัดแบ่งกองกำลังทหารต่างๆ เพื่อเข้ายึดป้อมวิชัยประสิทธิ์ กลับคืน จนกระทั่งเมื่อต้นเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๓๑๐ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) สามารถส่งกองทัพเข้ายึดป้อมวิชัยประสิทธิ์ เป็นผลสำเร็จ สามารถจับนายทองอินทร์ ซึ่งพม่าแต่งตั้งให้รักษาเมืองธนบุรี ไปประหารชีวิต ในเรื่องนี้ พงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา กล่าวว่า

       “...ฝ่ายเจ้าทองอิน ซึ่งพม่าตั้งไว้ให้รักษาเมืองธนบุรี นั้น ก็พาพวกพลออกต่อรบ ประมาณครู่หนึ่งก็แตกพ่าย พลข้าหลวง จับตัวได้ก็ฆ่าเสีย และพวกกรมการเมือง ทั้งนั้นก็หลบหนีออกไปในเพลาเวลากลางคืน ขึ้นไปที่ค่ายโพธิ์สามต้น แจ้งความแก่สุกี้ พระนายกอง พระนายกองจึงจัดพลทหารไทยมอญให้ มองย่า เป็นนายทัพ ยกทัพเรือไปตั้งอยู่ ณ เพนียด...”ª-๑

 

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ส่งกองทัพเข้ายึด กรุงศรีอยุธยา กลับคืน

 

ภาพที่-๓๕       ภาพวาด กองทัพเรือ ของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) กำลังเคลื่อนทัพทางแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อทำสงครามขับไล่กองทัพพม่า ออกจากกรุงศรีอยุธยา

 

เมื่อกองทัพของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) สามารถยึดเมืองธนบุรี ได้เรียบร้อยแล้ว ฝ่ายสุกี้ แม่ทัพพม่า ได้ทราบความจากคนของ นายทองอิน ที่ให้ไปแจ้งข่าว ต่อมาไม่นาน พวกทหารพม่า ที่แตกหนีไปจากเมืองธนบุรี ก็ตามไปถึง แจ้งแก่แม่ทัพพม่า สุกี้ ว่า ได้เสียเมืองธนบุรีให้กับกองทัพของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อแม่ทัพสุกี้ ทราบข่าวก็ตกใจ สั่งให้รีบเตรียมป้องกันรักษาค่ายโพธิ์สามต้นไว้ให้ได้ แล้วพยายามแจ้งข่าวไปให้ พระเจ้ามังระ ทรงทราบ

เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นปลายฤดูฝน แม่ทัพสุกี้ เกรงว่ากองทัพของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) แห่ง ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี จะขึ้นไปถึงกรุงศรีอยุธยา เสียก่อนที่จะเตรียมการสู้รบเสร็จ จึงสั่งให้แม่ทัพมอญคนหนึ่งชื่อ เม็งย่า นำทหารมอญและไทย ที่ยอมอยู่ด้วย นำกองทัพเรือ ไปสกัดกองทัพสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ที่เพนียด

ส่วนกองทัพของสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้เคลื่อนทัพไปถึงกรุงศรีอยุธยา ในค่ำวันนั้น ได้ทราบข่าวว่า มีกองกำลังของพม่า ได้มาวางกำลังอยู่ที่เพนียด ยังไม่ทราบข้อมูลว่า มีกำลังข้าศึกอยู่เท่าใด ส่วนฝ่ายทหารไทย ที่ไปเป็นกองกำลังของ แม่ทัพมอญ เม็งย่า ซึ่งถูกทหารของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ส่งข่าวให้ร่วมกันก่อกบฏ และหนีทัพ เพราะไม่อยากฆ่าคนไทย ด้วยกัน ได้เกิดอาการเรรวน คิดจะหลบหนี อีกส่วนหนึ่งคิดที่จะก่อกบฏ

เมื่อแม่ทัพมอญเม็งย่า พบเห็นทหารไทยไม่เต็มใจที่จะต่อสู้กับกองทัพของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) แห่ง ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี เกรงว่าจะพากันก่อกบฏขึ้น จึงพากันรีบหนีเอาตัวรอด กลับไปที่ค่ายโพธิ์สามต้น ในค่ำวันนั้นเอง ทหารไทยที่ค่ายเพนียด ที่เหลือก็ขอเข้าร่วมกับกองทัพ ของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เป็นที่มาให้กองทัพของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) สามารถยึดครอง ค่ายเพนียด ในเวลารุ่งเช้าของวันใหม่ โดยไม่ต้องเสียกำลังสู้รบแต่อย่างใด หลังจากนั้น สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ก็สั่งเคลื่อนทัพเข้ายึดครอง ค่ายวัดกลาง และ ค่ายโพธิ์สามต้น ต่อไป

 

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ตีค่ายพม่า ที่ค่ายวัดกลาง และค่ายโพธิ์สามต้น

เมื่อสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) สามารถยึดครอง ค่ายเพนียด ในเวลารุ่งเช้าของวันใหม่ โดยไม่ต้องเสียกำลังสู้รบแต่อย่างใด หลังจากนั้น สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ก็สั่งเคลื่อนทัพเพื่อเข้ายึดครอง ค่ายวัดกลาง และ ค่ายโพธิ์สามต้น ของ กองทัพพม่า เป็นค่ายต่อไป

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้ส่งหน่วยทหารจรยุทธ์ เข้าลอบยิงก่อกวนทหารพม่า รอบๆ ค่ายวัดกลาง และค่ายโพธิ์สามต้น จนกระทั่งทหารพม่า ขวัญเสียต้องหลบหนีไปหลบภัยอยู่ในค่ายทหาร พอพลบค่ำ พระองค์ก็รับสั่งให้กองทัพของ พระยาโกษาธิบดี(เฉินเหลียง) และกองทัพของ พระยาพิชัยไอยสวรรค์(หยางจิ้งจุง) นำกำลังทหารเข้าประชิดค่ายวัดกลาง ซึ่งแม่ทัพสุกี้ เป็นแม่ทัพพม่า

พอรุ่งเช้า กองทัพของ พระยาโกษาธิบดี(เฉินเหลียง) และ พระยาพิชัยไอยสวรรค์(หยางจิ้งจุง) และกองทัพของแม่ทัพอื่นๆ ก็ระดมเข้าตีค่าย ของ แม่ทัพสุกี้ พร้อมๆ กัน ทั้งค่ายวัดกลาง และ ค่ายโพธิ์สามต้น รบกันตั้งแต่เวลาเช้า จนถึงเวลาเที่ยง กองทัพของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) แห่ง ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ก็สามารถเข้ายึดค่ายทหารพม่า ที่วัดกลาง เป็นผลสำเร็จเมื่อเวลาประมาณ ๑๒.๐๐ น. ของวันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๑๐ สงคราม ณ สมรภูมิวัดกลาง ครั้งนั้น แม่ทัพสุกี้ ของพม่า ตายในที่รบ พวกทหารที่เหลือ ของ แม่ทัพมอญเม็งย่า พากันหลบหนีออกไปได้บ้าง บางส่วนหนีออกไปยังเมืองนครราชสีมา ไปเข้าด้วยกับพระยาวรวงศาธิราช ที่ตั้งมั่นอยู่ที่ด่านจอหอ ส่วนที่เป็นทหารไทย ได้ขอยอมอ่อนน้อมต่อกองทัพของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) โดยดี

ส่วนการรบที่ค่ายโพธิ์สามต้น นั้น เมื่อกองทัพของสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) รบชนะกองทัพพม่า ที่ค่ายวัดกลาง เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เคลื่อนทัพเข้าไปหนุนช่วยกองทัพที่กำลังปิดล้อมค่ายทหารพม่า ที่ค่ายโพธิ์สามต้น รบกันตั้งแต่เช้าของวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๑๐ สามารถเข้ายึดค่ายโพธิ์สามต้นเป็นผลสำเร็จในตอนเที่ยงของ วันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๑๐ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ก็สามารถยึดครอง กรุงศรีอยุธยา กลับคืนมาเป็นผลสำเร็จ

 

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) สั่งขุดพระบรมศพพระเจ้าเอกทัศน์ มาทำพิธีศาสนา

เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๓๑๐ เมื่อสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) สามารถตีค่ายโพธิ์สามต้นได้แล้ว จึงยกพลโยธาทหาร เข้าแห่แหน เข้าไปในค่าย แล้วประทับอยู่ที่จวนพระนายกอง ในเหตุการณ์ครั้งนั้น พระยาธิเบศร์บดี ขุนนางเก่าในกรุงศรีอยุธยา ซึ่งถูกจับตกเป็นเชลยศึกอยู่ที่ค่ายโพธิ์สามต้น ได้มากราบทูลถวายบังคมต้อนรับ พระองค์รับสั่งมิให้ทหารกระทำอันตรายต่อผู้คน ครอบครัวคนไทยทั้งปวงที่ถูกพม่าควบคุมไว้ในค่าย เพื่อเห็นแก่เชื้อสายราชวงศ์ และข้าราชเก่าในกรุงศรีอยุธยา ซึ่งได้รับความทุกข์ยากลำบากมามากแล้ว พร้อมกับได้พระราชทานทรัพย์ และสิ่งของต่างๆ แก่เชื้อสายราชวงศ์ และ ขุนนางเก่า ทุกๆ คน

 

ภาพที่-๓๖        ภาพอุโบสถร้าง ของ วัดศรีราชัน(วัดสั่งประดิษฐ์ หรือ วัดสังข์ประดิษฐ์) ซึ่งเชื่อกันว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้นำพระอัฐิ ของ พระเจ้าเอกทัศ มาบรรจุไว้บริเวณเจดีย์องค์หนึ่ง รอบๆ อุโบสถ ปัจจุบันเล่าให้ฟังว่า สภาพวัดศรีราชัน ที่เกือบจะกลายเป็นวัดร้าง เพราะมีการลักลอบขุดโบราณวัตถุ กันมาก อีกทั้งเจ้าอาวาด ถือว่าวัดเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล เจ้าอาวาด ขัดขวางการพัฒนาวัด และประพฤติตนไม่เหมาะสม จึงขาดการสนับสนุนจากประชาชนที่จะเข้าร่วมฟื้นฟูวัดดังกล่าว

 

พระยาธิเบศร์บดี ได้รายงานว่า พระเจ้าเอกทัศ ได้เสด็จสวรรคต แล้ว แม่ทัพสุกี้ ของพม่า สั่งให้ฝังพระศพไว้ในกรุงศรีอยุธยา หลังจากนั้น พระองค์ได้เสด็จมาตั้งพลับพลาประทับอยู่ในกรุงศรีอยุธยา รับสั่งให้ขุดพระบรมศพ ของ พระเจ้าเอกทัศน์ เพื่อเชิญลงโกศ พร้อมรับสั่งให้ปลูกเมรุหุ้มด้วยผ้าขาว ที่ท้องสนามหลวง และโปรดให้สร้างพระโกศเครื่องประดับ สำหรับงานพระบรมศพ ตามกำลังเท่าที่จะทำได้

เมื่อมีการขุดพระบรมศพพระเจ้าเอกทัศ มาทำพิธีทางศาสนา ณ สนามหลวง สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) แห่ง ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ก็ให้ทหารออกไปเที่ยวหาพระภิกษุสงฆ์ซึ่งยังมีเหลืออยู่ เพื่อนิมนต์มารับทักษิณานุปทาน และประดับปกรณ์ตามราชประเพณี หลังจากนั้น พระองค์พร้อมเจ้านายในเชื้อพระวงศ์เดิม พร้อมข้าราชการทั้งปวง ก็ได้ถวายพระเพลิงพระบรมศพ และประจุพระอัฐิธาตุ ตามเยี่ยงอย่างกษัตริย์สมัยโบราณª-๒

เรื่องอัฐิ ของ พระเจ้าเอกทัศน์ นั้น สายราชสกุลสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ และสายตระกูลเจ้าพระยาโกษาธิบดี(หยางจิ้งจุง) เล่าสืบทอดต่อๆ กันมาว่า ได้มีการนำมาประจุพระอัฐิธาตุ ไว้ที่เจดีย์ รอบๆ อุโบสถ ของ วัดศรีราชัน(วัดสั่งประดิษฐ์) กรุงคันธุลี

เมื่อสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จัดการพระบรมศพ ของ พระเจ้าเอกทัศน์ เสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ทรงคิดจะปฏิสังขรณ์กรุงศรีอยุธยา ขึ้นใหม่ แต่เมื่อขึ้นทรงช้างพระที่นั่ง ออกทอดพระเนตรภายในพระราชวัง และเสด็จประพาสตามสถานที่ต่างๆ ได้พบเห็นประสาทราชมณเฑียร ตำหนักใหญ่น้อย ทั้งวัดวาอาราม บ้านเรือนราษฎร ล้วนถูกพม่าทำลายเสียหายย่อยยับ เป็นที่มาให้พระองค์ตัดสินพระทัย ใช้เมืองธนบุรี เป็นราชธานี ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ แทนที่กรุงศรีอยุธยา ในเวลาต่อมา

 

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ใช้เมืองธนบุรี เป็นฐานที่มั่นทหาร และ ราชธานี

เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๓๑๐ หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ตัดสินพระทัยในการใช้เมืองธนบุรี เป็นฐานที่มั่นในการทำสงครามกับข้าศึก นั้น ในขณะที่พระองค์ประทับอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา นั้นได้รับสั่งให้ทหารทำการกวาดต้อนประชาชนที่กรุงศรีอยุธยา ให้มาตั้งรกรากใหม่ที่เมืองธนบุรี พระองค์ได้ให้ทหารออกไปสืบหาเครือญาติของหม่อมนกเอี้ยง สายสกุลแซ่เจิ้ง หรือ แซ่แต้ ที่ท่าดินแดง ทราบข่าวว่า ได้อพยพไปอาศัยอยู่ที่เมืองนครสวรรค์เรียบร้อยแล้ว จึงได้มีพระราชสาสน์ ให้ทหารนำไปส่งให้กับพระยาอนุรักษ์วงศา(หยัด) เจ้าเมืองนครสวรรค์ ให้ติดต่อเครือญาติหม่อมนกเอี้ยง ที่เมืองนครสวรรค์ ให้มาตั้งรกรากใหม่ที่ ท่าดินแดง เมืองธนบุรี

ส่วนญาติพี่น้องสายเจ้าฟ้าแก้ว บิดาของหม่อมนกเอี้ยง และเชื้อพระวงศ์เก่ากรุงศรีอยุธยา บางส่วนได้หลบหนีไปอาศัยอยู่ที่เมืองลพบุรี ซึ่งขณะนั้น พ่อตาของ พระยาอนุรักษ์วงศา(หยัด) เป็นเจ้าเมืองลพบุรี ได้ติดต่อให้อพยพมาอยู่ที่เมืองธนบุรี ด้วย นอกจากนั้น สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้มีพระราชสาสน์ไปยัง เจ้าพระยาอินทร์วงศา พระยากลาโหม ของ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ผู้สำเร็จราชการแทน สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) อยู่ที่กรุงคันธุลี นั้น ให้แบ่งกำลังคนอพยพมาอยู่ที่เมืองธนบุรี ด้วย    

เนื่องจากเมืองธนบุรี สร้างขึ้นปลายสมัย ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กรุงอู่ทอง(ราชบุรี) ในรัชกาลมหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง(พระยาพาน) ซึ่งมีพระราชโอรส ๓ พระองค์ คือ เจ้าชายหะนิมิต เจ้าชายศรีชัยนาท และ เจ้าชายราม ในสมัยนั้น เจ้าชายหะนิมิต ได้สร้างเมืองพ่อตาม้า(เมาะตะมะ) ขึ้นปกครอง ส่วนเจ้าชายศรีชัยนาท ได้สร้างเมืองบางเกาะ(บางกอก) ขึ้นมาปกครอง แต่เนื่องเจ้าชายหะนิมิต กับ เจ้าชายศรีชัยนาท เป็นพี่น้องต่างมารดากัน จึงถูกมเหสีฝ่ายขวา(พระนางวงศ์จันทร์) ของ ท้าวอู่ทอง มาทำการขับไล่ไสส่ง เจ้าชายศรีชัยนาท และ พระราชมารดา(พระนางบัวจันทร์) ให้ต้องออกจากเมืองบางเกาะ หลายครั้ง แต่เจ้าชายศรีชัยนาท ต้องอดทน อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่มาให้ประชาชนเรียกเมืองบางเกาะ อีกชื่อหนึ่งว่า เมืองทน ตั้งแต่นั้นมา ในปลายรัชกาลของมหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง นั้น ได้เกิดสงครามใหญ่ ๔ สงคราม คือ สงครามแย่งนาง สงครามทุ่งไหหิน สงครามแย่งม้า และสงครามแย่งช้าง ต่อเนื่องติดต่อกันไป

 

ภาพที่-๓๗       ภาพเทวรูปจักรพรรดิศรีชัยนาท พบที่บริเวณวัดไชยาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ปัจจุบันมีศาลเจ้า ที่ประชาชนร่วมกันสร้างขึ้นที่บริเวณหน้าถ้ำ ของ ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) เรียกชื่อว่า ศาลเจ้าพ่อศรีชัยนาท ที่ประชาชนนิยมเคารพนับถือ เข้าบวงสรวงเซ่นไหว้ ได้ยินเสียงจุดลูกปะทัด เป็นประจำทุกวัน เชื่อกันว่า จักรพรรดิพ่อศรีชัยนาท เป็นผู้สร้างเมืองธนบุรี ขึ้นมาในสมัยโบราณ ที่สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ต้องทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ เพื่อขอใช้เมืองธนบุรี เป็นราชธานี ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงธนบุรี แทนที่ กรุงศรีอยุธยา

 

เมื่อเกิดสงครามแย่งนางอั่วคำ นั้น ทำให้ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ต้องเสียดินแดนราชอาณาจักรโยนกเชียงแสน ให้กับกองทัพมอญ ไปครอบครอง เมื่อเกิดสงครามทุ่งไหหิน กองทัพมอญ ก็สามารถยึดครองราชอาณาจักรลาว สำเร็จ เมื่อเกิดสงครามแย่งม้า ราชอาณาจักรละโว้ ก็เสียแก่กองทัพมอญ อีกอาณาจักรหนึ่ง มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง ต้องอพยพไพร่พล มาตั้งราชธานีใหม่ที่กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) แทนที่กรุงอู่ทอง(ราชบุรี) ซึ่งถูกกองทัพมอญ เข้ายึดครอง ต่อมา ขุนราม(จตุคามรามเทพ) ใช้ดงพระยาใหญ่ เป็นฐานที่มั่นทางการทหาร สามารถทำสงครามยึดครองราชอาณาจักรละโว้ กลับคืนมาได้สำเร็จ

เมื่อเกิดสงครามแย่งช้าง ราชอาณาจักรละโว้ ก็ถูกกองทัพมอญ เข้ายึดครองอีกครั้งหนึ่ง ขณะนั้น เจ้าชายหะนิมิต ดำรงตำแหน่งมหาจักรพรรดิ ส่วนเจ้าชายศรีชัยนาท ดำรงตำแหน่งจักรพรรดิ ของ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ได้มาใช้ เมืองธนบุรี เป็นฐานที่มั่นทางการทหารในการทำสงครามยึดครองดินแดนสุวรรณภูมิ กลับคืนจนสำเร็จเมื่อปี พ.ศ.๑๒๒๔ จนได้รับสมยานามใหม่ว่า ผู้ชนะสิบทิศ มีพระนามที่ประชาชนเรียกพระนามใหม่ว่า พ่อบู๊เหรงนอง ส่วนชาวมอญ เรียกพระนามว่า พระเจ้าบูเรงนอง พระองค์เป็นผู้นำคำว่า สวัสดี มาใช้ในดินแดนสุวรรณภูมิ คือการยกมือขึ้นพนมไหว้ เมื่อพบกัน หรือเมื่อจากกัน ดังนั้นจักรพรรดิพ่อศรีชัยนาท(ตาม้ากลิงค์) จึงได้รับพระราชทานพระนามใหม่ว่า พระนรบดี สวัสดี ศรีธรรมราช และเมื่อสวรรคต มีพระนามว่า ศรีธรรมราชศรีสวัสดีª-๓

ตั้งแต่ปี พ.ศ.๑๒๒๔ เป็นต้นมา สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ได้ล่มสลายลง ได้กำเนิด สหราชอาณาจักรศรีโพธิ์(เสียม หรือ ศรีวิชัย) กรุงศรีโพธิ์(ไชยา) ขึ้นมาแทนที่ ดังนั้นในปลายปี พ.ศ.๒๓๑๐ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จึงต้องการใช้เมืองธนบุรี เป็นฐานที่มั่น ในการทำสงครามยึดครองดินแดนสุวรรณภูมิ กลับคืน เช่นเดียวกันกับที่ จักรพรรดิศรีชัยนาท หรือ พ่อบู๊เหรงนองª-๔ เคยทำสำเร็จมาแล้ว   

เมื่อสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ตัดสินพระทัยใช้ เมืองธนบุรี เป็นฐานที่มั่นทางการทหาร และเป็นราชธานี ในการทำสงครามกอบกู้ดินแดนสุวรรณภูมิ กลับคืน พระองค์จึงรับสั่งให้ พระยาสรประสิทธิ์ ทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ ดวงพระวิญญาณของจักรพรรดิพ่อศรีชัยนาท หรือ พ่อศรีธรรมราชศรีสวัสดี พระอนุชาของ มหาจักรพรรดิพ่ออู่ทอง(หะนิมิต) และเป็นพระเชษฐา ของ จตุคามรามเทพ เพื่อขอใช้ เมืองธนบุรี เป็นเมืองนครหลวง ของ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ เป็นการชั่วคราว

เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๑๐ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(ตากสิน) รับสั่งให้ทำการปลุกสร้างพระราชวังกรุงธนบุรี ทั้งพระตำหนักข้างหน้า พระตำหนักใน และตำหนักใหญ่น้อยทั้งปวงสำเร็จบริบูรณ์ มีเมืองต่างๆ ของ ราชอาณาจักรละโว้ ที่ยอมขึ้นต่อ มีอาณาเขต ดังนี้

ทิศเหนือ จด เมืองสวรรค์โลก ปกครองโดยพระยาพิชัยราชา(บุญชัย)

ทิศตะวันออก จดเมือง บันทายมาศ ปกครองโดย พระยาราชาเศรษฐี(ม่อเทียนซื่อ)

ทิศตะวันตก จดเมืองกาญจนบุรี และ สุพรรณบุรี ปกครองโดย คณะกรรมการกรมการเมือง

ทิศใต้ จด เมืองราชบุรี ปกครองโดย พระยาราชบุรี(ทองด้วง)

       ส่วน ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี นั้นรับผิดชอบในการปกครองดินแดนสยามภาคใต้ ขณะนั้น เจ้าพระยาอินทร์วงสา เป็นพระยากลาโหม และเป็นผู้สำเร็จราชการแทน สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ขณะนั้น ดินแดนราชอาณาจักรเสียม-หลอ กรุงศรีอยุธยา ดั้งเดิมแตกออกเป็น ๓ ก๊กใหญ่เท่านั้นคือ ก๊กสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ปกครองราชอาณาจักรละโว้ กรุงธนบุรี และ ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ก๊กที่สองคือ ก๊กเจ้าฟ้าจุ้ย ยอมเป็นเมืองขึ้นของพม่า ใช้เมืองบันทายมาศ เป็นราชธานี มีเมืองมหาอุปราชอยู่ ๓ เมืองคือ เมืองพิษณุโลก เมืองนครราชสีมา และ เมืองนครศรีธรรมราช ก๊กที่สามคือ ราชอาณาจักรเดิมที่ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า เช่น ราชอาณาจักรลานนา ราชอาณาจักรลาว และราชอาณาจักรกำพูชา เป็นต้น จากสภาพดังกล่าวทำให้ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ต้องทำสงครามปราบปรามทั้ง ๒ ก๊ก เพื่อรวมรวมดินแดน ราชอาณาจักรเสียม-หลอ ให้เป็นปึกแผ่นดังเดิม

 

พม่า ส่งกองทัพ ๒๐,๐๐๐ คน เข้าช่วยเหลือ ก๊กเจ้าฟ้าจุ้ย

เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๓๑๐ พงศาวดารพม่าบันทึกว่า เจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต แห่งกรุงเวียงจันทร์ รายงานไปยังพระเจ้ากรุงอังวะว่า พระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) แห่ง ราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี ได้ตั้งตัวเป็นใหญ่ที่ กรุงธนบุรี ได้ส่งพระราชสาสน์ ให้ราชอาณาจักรลาว นำกองทัพเข้าร่วมทำสงครามปราบปรามก๊กเจ้าฟ้าจุ้ย และร่วมทำสงครามขับไล่กองทัพพม่า ออกจากราชอาณาจักรลานนา และ ราชอาณาจักรลาว

       ตำนานท้องที่เมืองคันธุลี กล่าวกันว่า เจ้าฟ้าจุ้ย ได้มีพระราชสาสน์ไปยังพระเจ้ามังระ แห่งราชอาณาจักรพม่า โดยผ่านพระยาไชยารุก นอกราชการ แจ้งให้ทราบว่า ได้เสียกรุงจันทร์บูรณ์ ให้กับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เรียบร้อยแล้ว และสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้ส่งกองทัพเข้าทำลายกองทัพพม่าที่กรุงธนบุรี และ กรุงศรีอยุธยา และได้ใช้เมืองธนบุรี เป็นฐานที่มั่นทางการทหารในการทำสงครามกับเจ้าฟ้าจุ้ย และ กองทัพพม่า จึงขอให้พม่า ส่งกองทัพมาช่วยเหลือ ยึดกรุงธนบุรี และกรุงศรีอยุธยา กลับคืน เพื่อให้เจ้าฟ้าจุ้ย ขึ้นครองราชย์สมบัติ ราชอาณาจักรเสียม-หลอ โดยจะยอมเป็นเมืองขึ้นของพม่า

       เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๓๑๐ พระเจ้ามังระ ได้เข้าช่วยเหลือเจ้าฟ้าจุ้ย ด้วยการสั่งให้ เม็งกี้ เจ้าเมืองทวาย นำกองทัพ ๒๐,๐๐๐ คนª-๕ เดินทัพมาทางเมืองไทรโยก ซึ่งพม่าได้ซ่อนเรือรบเก่าไว้ที่นั่น แล้วเดินทางมาตามลำแม่น้ำแม่กลอง เพื่อเข้าสู่อ่าวไทย เพื่อนำกองทัพเข้าตีเมืองธนบุรี เมื่อสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ทราบข่าว ได้มีพระราชสาสน์ ไปถึงพระยาราชบุรี(ทองด้วง) ให้นำกองทัพต้านกองทัพพม่าไว้ก่อน แต่ขณะนั้น พระยาราชบุรี(ทองด้วง) ยังสนับสนุนเจ้าฟ้าจุ้ย อย่างลับๆ ไม่นำกองทัพไปต้านกองทัพพม่า กลับนำกองทหาร และประชาชนไปซ่อนตัวอยู่นอกเมือง รอฟังข่าวว่าข้างไหนเป็นฝ่ายชนะสงคราม ก็จะนำกำลังทหารไปเข้าข้างนั้น

       สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) รับสั่งให้ พระยาเพชรบุรี(บุญมา) นำกองทหารม้าเคลื่อนที่เร็ว พร้อมปืนลูกซอง และ ปืนกลลูกซองตับ ออกไปดักซุ่มโจมตีกองทัพเม็งกี้ เพื่อพร่ากำลังให้เหลือน้อยที่สุด รับสั่งให้ พระยาพิชัยไอยสวรรค์(หยางจิ้งจุง) ไปตั้งค่ายรอรับกองทัพพม่า ที่บางกุ้ง จุดต่อระหว่างเมืองราชบุรี กับ เมืองสมุทรสงคราม รับสั่งให้ พระยาโกษาธิบดี(เฉินเหลียง) รักษากรุงธนบุรีไว้ ส่วนสมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้นำกองทัพหลวงเคลื่อนไปสมทบที่ค่ายบางกุ้ง

       ผลของสงครามครั้งนั้น กองโจรจรยุทธ์หน่วยทหารม้า ของ พระยาเพชรบุรี(บุญมา) สามารถพร่ากำลังทหารพม่า ของแม่ทัพเม็งกี้ จากกำลัง ๒๐,๐๐๐ คน บาดเจ็บล้มตาย คงเหลืออยู่เพียง ๓,๐๐๐ คนเท่านั้น ดังนั้นเมื่อแม่ทัพเม็งกี้ เคลื่อนกองทัพ ๓,๐๐๐ คน มาถึงบางกุ้ง ก็พบค่ายทหารของไทย ตั้งขวางอยู่ จึงกระจายกำลังเข้าล้อมค่ายของ พระยาพิชัยไอยสวรรค์(หยางจิ้งจุง) ไว้ แต่ต่อมา กองทัพหลวง ของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้เคลื่อนกองทัพเข้าปิดล้อมกองทัพของแม่ทัพเม็งกี้ อีกชั้นหนึ่ง เกิดการรบกันอย่างดุเดือด แม่ทัพเม็งกี้ เห็นว่าไม่สามารถต่อสู้ได้ จึงตีแหกวงล้อมกลับไปยังเมืองทวาย ถูกหน่วยทหารม้ากองโจรจรยุทธ์ ของ พระยาเพชรบุรี(บุญมา) เข้าลอบซุ่มตี จึงมีทหารเหลือกลับไปยังเมืองทวาย น้อยมาก ตั้งแต่นั้นมา ทหารพม่า เริ่มเข็ดขยาดทหารไทยตั้งแต่นั้นมา

 

สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ทวงคำสาบานกับ พระยาราชบุรี(ทองด้วง)

เนื่องจาก สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ทราบข่าวมาโดยตลอดว่า พระยาราชบุรี(ทองด้วง) ยังคงสนับสนุนเจ้าฟ้าจุ้ย และพวก อย่างลับๆ พระองค์ได้เคยโปรดเกล้าให้นายทองด้วง เป็นพระยาราชบุรี(ทองด้วง) ให้ทำการรักษาเมืองราชบุรี มิให้ร้างไป แต่เมื่อมีกองทัพพม่าของแม่ทัพเม็งกี้ ยกกองทัพมาตีเมืองธนบุรี นายทองด้วง ไม่ยอมนำกองทัพไปต้านกองทัพข้าศึกพม่า กลับนำกองทหาร และประชาชนไปซ่อนตัวอยู่นอกเมือง รอฟังข่าวว่าข้างไหนเป็นฝ่ายชนะสงคราม ก็จะเข้าข้างนั้น นายทองด้วง สหายร่วมดื่มน้ำสาบาน มาก่อนนั้น ประพฤติตนเหยียบเรือสองแคม และโน้มเอียงไปเข้าข้าง ก๊กเจ้าฟ้าจุ้ย และพวก

       เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๓๑๐ ที่ค่ายบางกุ้ง สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้เรียก พระมหามนตรี(บุญมา) น้องชายของ พระยาราชบุรี(ทองด้วง) มาหารือด้วย แล้วทำพระราชสาสน์ ทวงคำมั่นสัญญา ที่สามสหาย(นายสิน นายบุญชู และ นายทองด้วง) เคยดื่มน้ำสาบานร่วมกัน ณ ถ้ำใหญ่ ภูเขาแม่นางส่ง ทุ่งลานช้าง เมืองท่าชนะ มอบให้พระมหามนตรี(บุญมา) นำไปส่งมอบให้กับ พระยาราชบุรี(ทองด้วง) รับสั่งให้เตือนสติพระยาราชบุรี(ทองด้วง) ที่เคยดื่มน้ำสาบานร่วมกัน พร้อมกับรับสั่งให้เดินทางไปรับราชการที่ กรุงธนบุรี ด้วยเหตุดังกล่าว จึงเป็นที่มาให้พระยาราชบุรี(ทองด้วง) ต้องเดินทางไปถวายตัวแก่ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ที่กรุงธนบุรี ในเวลาต่อมา อีกครั้งหนึ่ง

       มีเรื่องราวที่เล่าสืบทอดต่อๆ กันมาว่า ที่ค่ายบางกุ้ง นั้น กรรมการกรมการเมืองราชบุรี คนหนึ่งชื่อ นายคง เป็นอา ของ หม่อมสอน(ธิดานายมั่น เจ้าเมืองชุมพร) ได้นำธิดาคนหนึ่งมาถวายให้เป็นมเหสี อีกท่านหนึ่งของ สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) เป็นที่มาให้สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) โปรดเกล้าแต่งตั้งให้นายคง กรมการเมืองราชบุรี ท่านนี้ เป็น พระยาราชบุรี(คง) ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย เป็นการกดดัน นายทองด้วง เพิ่มขึ้นเพื่อให้ต้องเดินทางไปถวายตัวรับราชการที่เมืองธนบุรี

ในเวลาต่อมา พระยาราชบุรี(คง) ได้นำเจ้าชายบัว พระราชโอรส ของ สมเด็จพระศรีสรรเพชร(สิน) กับ หม่อมสอน ไปเลี้ยงดูที่เมืองราชบุรี จนกระทั่งเมื่อเจ้าชายบัว เติบใหญ่ ก็ได้เป็นเจ้าเมืองราชบุรี(บัว) สืบต่อมา จนกระทั่งมามีเรื่องราวขัดแย้งกับ นายบุนนาค และ พระยายมราช(หวัง) เข้าช่วยเหลือเจ้าชายบัว ในสมัยสงครามเก้าทัพ อีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งเจ้าชายบัว ต้องเสียชีวิต ทั้งครอบครัว  

       เมื่อพระมหามนตรี(บุญมา) นำพระราชสาสน์ไปส่งมอบให้กับ นายทองด้วง เพื่อทวงคำมั่นสัญญาที่เคยดื่มน้ำสาบานร่วมกัน จึงได้นำนายทองด้วง เดินทางไปถวายตัวทำราชการที่กรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) จึงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ นายทองด้วง เป็น พระราชวรินทร์ เจ้ากรมตำรวจอีกคนหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน สมเด็จพระเจ้าศรีสรรเพชร(สิน) ได้ทำพิธีมหาไชยาบรมราชาภิเษก อีกครั้งหนึ่ง ณ กรุงธนบุรี เพื่อเป็นกษัตริย์ปกครองราชอาณาจักรเสียม-ละโว้ กรุงธนบุรี มีพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาที่-๔ เป็นการรวมราชอาณาจักรเสียม กรุงคันธุลี เข้ารวมกับ ราชอาณาจักรละโว้ กรุงธนบุรี เพื่อเตรียมทำสงครามรวบรวมดินแดนสุวรรณภูมิ ของ ชนชาติไทยกลับคืนอีกครั้งหนึ่ง เรื่องราวของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ต่อไป จึงให้ติดตามรายละเอียดจากหนังสือพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เล่มที่-๒ ต่อไป

 

 

เชิงอรรถ



ª-   กรมศิลปากร พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา เล่มที่ ๒ พ.ศ.๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๖๕

 

ª-   กรมศิลปากร พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา เล่มที่ ๒ พ.ศ.๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๖๖

เชื่อกันว่า พระอัฐิธาตุ ของพระเจ้าเอกทัศน์ นั้น ได้นำไปบรรจุไว้ในเจดีย์องค์หนึ่ง รอบๆ อุโบสถวัดศรีราชัน ต่อมาเจดีย์ดังกล่าวผุพังลง เนื่องจากมีการลักลอบขุดโบราณวัตถุกันมาก เล่ากันว่า ดวงวิญญาณ ของ พระเจ้าเอกทัศ ได้มาจับร่างประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว ขอให้นำพระอัฐิธาตุ ของพระองค์ ไปเก็บรักษาไว้ที่ภูเขาสุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน) อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี แทนที่ ต่อมา นายธนวรรธน์(โจ๊ก) แสงเดช กับ แม่ศรีบุญลาภ ได้ไปทำพิธีอัญเชิญพระอัฐิธาตุ ซึ่งบรรจุอยู่ในผอบ นำมาเก็บรักษาไว้ภายในถ้ำเล็ก ภูเขาสุวรรณคีรี โดยเก็บรักษาไว้ในถ้ำ ใกล้กับเทวรูป ของ จักรพรรดิพ่อศรีชัยนาท สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

 

ª-    จักรพรรดิพ่อใบทอง (ศรีสงครามธนัญชัย) ได้สร้างศิลาจารึก เพื่อเป็นเกียติแก่ พ่อศรีธรรมโศก , จักรพรรดิพ่อศรียนาท และ จักรพรรดิพ่อจันทร์ภาณุ ซึ่งเป็นสายราชวงศ์ปทุมวงศ์ หลังจากที่ จักรพรรดิพ่อจันทร์ภาณุ เสด็จสวรรคต พบจารึกนี้ที่เมืองนครศรีธรรมราช พบหลักฐานว่า จักรพรรดิพ่อศรีชัยนาท มีพระนามว่า ศรีธรรมราชศรีสวัสดี ต่อมาศาสตราจารย์ ดร.ยอร์ช เซเดส์ ได้แปลไว้มีคำแปลว่า

        “...สวัสดี พระเจ้าผู้ปกครอง เมืองตาม้าพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) ผู้ทรงประพฤติประโยชน์เกื้อกูลแก่พระพุทธศาสนา ทุกๆ พระองค์ ล้วนเป็นผู้สืบสายราชวงศ์ จากราชวงศ์อันรุ่งเรือง คือ ราชวงศ์ปทุมวงศ์ (สาย พระนางบัวจันทร์) พระนาง มีรูปงาม เหมือนกับ พระกามะ อันมีรูปงามราวกับพระจันทร์ ทรงฉลาดในนิติศาสตร์ คล้ายกับ พ่อศรีธรรมโศกราช(ผู้เป็นพระราชบิดา ของ พระนางบัวจันทร์) ซึ่งเป็นหัวหน้าของ ราชวงศ์...(ปทุมวงศ์)...ทรงพระนามว่า ศรีธรรมราชศรีสวัสดี(จักรพรรดิพ่อศรีไชยนาท)

        พระเจ้าผู้ปกครองเมืองตาม้าพรลิงค์(จักรพรรดิพ่อจันทร์ภาณุ) เป็นผู้อุปถัมภ์ ราชวงศ์ปทุมวงศ์ พระหัตถ์ของพระองค์ มีฤทธิ์มีอำนาจด้วยอานุภาพแห่งบุญกุศล ซึ่งพระองค์ได้กระทำต่อมนุษย์ทั้งปวง ทรงเดชานุภาพเท่า พระอาทิตย์ พระจันทร์ และมีพระเกียรติอันเลื่องลือในโลกทั้งปวง พระองค์ทรงพระนามว่า จันทร์ภานุศรีธรรมราช เมื่อกุลียุค ๔๓๓๒(ปี พ.ศ.๑๒๙๑)...

 

ª-   พระนาม พ่อบู๊เหรงนอง หรือ พระเจ้าบูเรงนอง นั้นเดิมเคยเป็นพระนามของ จักรพรรดิพ่อศรีชัยนาท มาก่อน ส่วนพระนามของ พระเจ้าบูเรงนอง ของประเทศพม่า นั้น ได้ใช้พระนามนี้ในภายหลัง ในสมัยกรุงศรีอยุธยา นั้น พระเจ้าบูเรงนอง ของพม่า นั้น เดิมมีพระนามว่า พระเจ้ามันธาตุราช แต่เนื่องจากมีความสามารถในการทำสงครามชนะข้าศึกเช่นเดียวกับ พระเจ้าบูเรงนอง ของไทย ในอดีต ทำให้ประชาชนชาวมอญ และพม่า ให้สมญานามใหม่จาก พระเจ้ามันธาตุราช ว่า พระเจ้าบูเรงนอง ด้วยเช่นกัน

 

ª-   กรมศิลปากร พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา เล่มที่ ๒ พ.ศ.๒๕๓๕ หน้าที่ ๑๖๗

เอกสารหลักฐานใหม่ๆ ที่ปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลังบางฉบับอ้างว่าทหารพม่ามีเพียง ๓,๐๐๐ คน เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวโยงกับพระราชประวัติของ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ที่ได้ฝากตัวเข้ารับราชการที่กรุงธนบุรี ด้วย จึงมีการถ่ายทอดเล่าเรื่องดังกล่าวกันมาก เอกสารบางฉบับก็อ้างว่า นายทองด้วง ได้รับหม่อมนกเอี้ยง ไปส่งมอบให้สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่กรุงธนบุรี ด้วย ล้วนเป็นการปรุงแต่งขึ้นมาภายหลัง ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                                                                                                             

Visitors: 54,374