กำเนิดรัฐไทยในดินแดนสุวรรณภูมิ


รัฐต่างๆ ของชนชาติอ้ายไต ในดินแดนสุวรรณภูมิ สมัยโบราณ

มีตำนานเรื่องราวความเป็นมาของรัฐไทย ซึ่งเชื้อสาย บ้านวังพวกราชวงศ์§-3 บ้านทุ่งลานช้าง ต.วัง อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ได้เล่าเรื่องราวถ่ายทอดต่อเนื่องกันมาตลอดระยะเวลามากกว่า ๒๐๐ ปี ที่ผ่านมา มีเรื่องราวที่ถ่ายทอดมาจากบันทึกภาษาขอมไทยโบราณ มีเรื่องราวที่น่าสนใจมาก เรื่องราวโดยสังเขป ได้กล่าวถึงความเป็นมาของ รัฐของชนชาติไทย ก่อนสมัย ท้าวอินทปัต ปกครอง กรุงครหิต(คันธุลี) โดยแบ่งออกเป็น ๔ สมัยใหญ่ๆ คือ สมัยพระเจ้าไห , สมัยพระเจ้าเหา , สมัยท้าวโกศล และ สมัยท้าวหารคำงาม

ประวัติศาสตร์ชนชาติไทย ก่อนสมัยท้าวหารคำงาม เป็นการบอกเล่าเรื่องราวที่เป็นตำนาน นิทานพื้นบ้าน หรือ คำกลอนกล่อมลูก และการบวงสรวงเซ่นไหว้ เป็นเรื่องราวที่เกิดจากความเชื่อมั่นศรัทธาบรรพชนในอดีต เป็นส่วนใหญ่ จึงยากที่จะตรวจสอบหลักฐาน อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ความเชื่อดังกล่าว คือความศรัทธา ความเชื่อในอิทธิพลของ ดวงวิญญาณ เนื้อหาเรื่องราวต่างๆ บางส่วนคล้ายคลึงกับที่บันทึกไว้ในพงศาวดารไทยอาหม ผู้เรียบเรียงพยายามรวบรวมบันทึกไว้ เพื่อการตรวจสอบหลักฐาน อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ต่อไปในอนาคต เช่นเดียวกับตำนานต่างๆ ของต่างประเทศ ซึ่งในการค้นคว้าภายหลัง พบว่า ส่วนใหญ่ เป็นเรื่องจริง

ความเชื่อเกี่ยวกับ เรื่องราวของประวัติศาสตร์ชนชาติไทย ก่อนสมัย ท้าวหารคำงาม นั้น มีการถ่ายทอดกันมา แบ่งออกได้เป็น ๔ สมัย ดังนี้

สมัยแรก คือสมัย พระเจ้าไห เป็นสมัยที่มีอากาศหนาวเย็นจัดมาก กล่าวกันว่า ชนชาติอ้ายไต ดั้งเดิม เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน กับเชื้อสายเจ้าของจีน , ญี่ปุ่น และเกาหลี มีที่ตั้งถิ่นฐานดั้งเดิม อยู่ทางตอนเหนือของ ประเทศจีน ในปัจจุบัน เมื่อมีอากาศหนาวเย็นจัดมาก เกิดการขาดแคลนอาหาร พระราชบิดา คือ พระเจ้าไห จึงรับสั่งให้พระราชโอรส ๖ พระองค์ ทำการการอพยพมาตั้งรัฐใหม่กันอยู่ที่ เมืองลานเจ้า ต่อมา เจ้ายี่ และ เจ้าหก ได้อพยพต่อไป ทางทิศตะวันออก กลายเป็น ประเทศญี่ปุ่น ส่วน เจ้าหก กลายเป็น ชนเผ่าฮกเกี้ยน เป็นสายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต ที่ได้ไปผสมเผ่าพันธุ์กับ ชนเผ่าแมนจู แตกออกเป็น ๒ สายราชวงศ์ คือ ราชวงศ์แมนสม ตั้งรกรากอยู่ทางทิศตะวันออกฉียงเหนือ ของ ประเทศจีน ในปัจจุบัน และ ราชวงศ์แมนสรวง ตั้งรัฐอยู่ในดินแดน เกาะไต้หวัน ในปัจจุบัน

ส่วนเจ้าอ้าย ได้อพยพจาก เมืองลานเจ้า ลงมาทางใต้ ได้มาสร้างบ้านแปลงเมืองอยู่ที่ เมืองแตกกิ่ง(เฉินตู) เรียกว่า แคว้นเสฉวน และเกิดการตั้งรัฐ อาณาจักรหนานเจ้า ขึ้นปกครองอยู่ในดินแดน แคว้นเสฉวน(แคว้นฉู่) คือ ดินแดนภาคกลาง ของ ประเทศจีน ในปัจจุบัน กลุ่มนี้เรียกว่า สายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต

ส่วนสายราชวงศ์ เจ้าสาม เจ้าสี่ และ เจ้าห้า ได้ไปสมรสเกี่ยวดองระหว่างสายราชวงศ์ทั้งสาม เรียกว่า สายราชวงศ์จิว สายราชวงศ์นี้ ได้อพยพ เข้าครอบครองดินแดน ทางทิศตะวันออก และ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของประเทศจีน ในปัจจุบัน

ต่อมา ชนชาติอ้ายไต ได้ไปผสมเผ่าพันธุ์กับชนพื้นเมืองผิวเหลือง หลายชนเผ่า ต่างภาษา เรียกว่า "พวกแย่" ในดินแดนประเทศจีน ปัจจุบัน จนกระทั่งกำเนิดเป็นแว่นแคว้นหลายแว่นแคว้น รวมกันเป็น อาณาจักร ในระยะแรกๆ ถูกชนชาติเจ็ก เรียกว่า อาณาจักรอ้ายไต ต่อมาถูกเรียกชื่อว่า อาณาจักรหนานเจ้า ซึ่งประเทศจีน เรียกว่า หนานเย่วก๊ก ส่วนชนชาติจีน คนไทยเรียกว่า อาณาจักรเจ็ก จะตั้งรกรากส่วนใหญ่ อยู่ในดินแดน ภาคเหนือ ของ ประเทศจีน ในปัจจุบัน

สมัยที่สอง คือสมัย สมัยพระเจ้าเหา ซึ่งมีการส่ง เจ้าชายตา(ท้าวไชยทัศน์) ซึ่งเป็นพระราชโอรส เดินทางมาสำรวจดินแดนสุวรรณภูมิ จนกระทั่งได้ก่อกำเนิดรัฐของเชื้อสายเจ้าอ้ายไต ขึ้นมาในดินแดนสุวรรณภูมิ มีการพบแหล่งทองคำในดินแดนสุวรรณภูมิ จนกระทั่งเกิดการตื่นทอง และเกิดการอพยพ ครั้งแรก ของ ชนชาติอ้ายไต จากดินแดน อาณาจักรหนานเย่ก๊ก(หนานเจ้า) เข้ามาสร้างบ้านแปลงเมือง จนกระทั่งได้กำเนิดแว่นแคว้นต่างๆ ขึ้นมาในดินแดนสุวรรณภูมิ จนกระทั่ง กลายเป็นแว่นแคว้น และกลายเป็น อาณาจักรคำ ผู้ปกครองดินแดนสุวรรณภูมิ ในเวลาต่อมา

สมัยที่สาม คือสมัย สมัยท้าวโกศล หรือ สมัยโลศักราช ซึ่งเป็นเหตุการณ์ ที่รัฐเจ้าอ้ายไต ในดินแดนสุวรรณภูมิ ประกาศเอกราช ไม่ยอมขึ้นต่อ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ซึ่งขณะนั้น ปกครอง โดย มหาราชาท้าวกาน จนกระทั่ง ถึงสมัยพุทธกาล ในสมัยนี้ อาณาจักรคำ ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น อาณาจักรสุวรรณภูมิ มีการสร้างแคว้นสุวรรณเขต เพื่อแบ่งแยกเขตแดนระหว่าง มหาอาณาจักรหนานเจ้า กับ อาณาจักรสุวรรณภูมิ ที่ชัดเจนขึ้น

สมัยที่สี่ คือสมัย สมัยท้าวหารคำงาม จนถึง สมัยท้าวอินทปัต เรียกว่าสมัย มหาอาณาจักรสุวรรณภูมิ เมืองราชธานี ตั้งอยู่ที่ เมืองสุวรรณภูมิ(ครหิต) คือท้องที่ ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน กษัตริย์พระองค์สุดท้าย ในสมัยของ มหาอาณาจักรสุวรรณภูมิ คือท้าวอินทปัต ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ขึ้นมาในดินแดนสุวรรณภูมิ ตรงกับสมัยที่ พระเจ้าอโศกมหาราช ทำสงครามรวบรวมประเทศอินเดีย ให้เป็นปึกแผ่น ส่งผลให้ ชนชาติกลิงค์ และ ชนชาติทมิฬโจฬะ อพยพเข้ามาตั้งรกรากในดินแดนสุวรรณภูมิ และ ดินแดนเกษียรสมุทร เป็นจำนวนมาก รัฐของชนชาติอ้ายไต ในดินแดนสุวรรณภูมิ โดย ท้าวกู และ ท้าวกูเวร ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง จากรูปแบบ มหาอาณาจักร มาเป็นรูปแบบ สหราชอาณาจักร ด้วยการช่วยเหลือ ของ พระเจ้าสุมิตร ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย

ส่วนเรื่องราวของประวัติศาสตร์ชนชาติไทย หลังสมัยท้าวกูเวร ถึง สมัยสุโขทัย คือ สมัยที่ มหาจักรพรรดิท้าวกูเวร ขึ้นครองราชย์สมบัติปกครอง สหราชอาณาจักรเทียน มาจนถึงรัชสมัยที่ มหาจักรพรรดิสมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์ กรุงสานโพธิ์(ไชยา) ขึ้นครองราชย์สมบัติปกครอง สหราชอาณาจักรเสียม-หลอหู กรุงสานโพธิ์(ไชยา) เป็น มหาจักรพรรดิ พระองค์สุดท้าย และถูก เจ้านครอินทร์ ก่อกบฏ โดยสมคบกับฮ่องเต้หยุงโล้ นำกองทัพเรือจีนมุสลิม ของ นายพลเจิ้งหัว ยกกองทัพเข้าทำสงครามกับ สหราชอาณาจักรเสียม-หลอหู จนกระทั่ง มหาจักรพรรดิสมเด็จเจ้าพระยาสุรินทรารักษ์ ถูกกองทัพมุสลิมจีน จับกุมไปสำเร็จโทษ ณ นครนานกิง§-4 รัฐของชนชาติไทย ในดินแดนสุวรรณภูมิ จึงเสื่อมถอยลงอย่างมาก ตั้งแต่สมัย เจ้านครอินทร์ ขึ้นครองราชย์สมบัติ กรุงศรีอยุธยา เป็นต้นมา

ในช่วงเวลาดังกล่าว มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์เพิ่มมากขึ้น จึงสามารถที่จะตรวจสอบหลักฐานต่างๆ ได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ และมีความน่าเชื่อถือ มากขึ้น โดยสามารถแบ่งออกเป็น ๕ สมัยใหญ่ แต่ละสมัยก็สามารถแบ่งออกเป็นหลายช่วงตอน คือ สมัยแรก เรียกว่า สมัยสหราชอาณาจักรเทียน สมัยที่สอง เรียกกันว่า รัฐไทย สมัยสหราชอาณาจักรเทียนสน สมัยที่สาม เรียกกันว่า สมัยสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ สมัยที่สี่ เรียกกันว่า สมัยสหราชอาณาจักรเสียม(ศรีโพธิ์) และ สมัยที่ห้า คือ สมัยสหราชอาณาจักรเสียม-หลอหู ทั้ง ๕ สมัย ล้วนเป็นเรื่องราวของรัฐไทย ก่อนสมัยสุโขทัย ทั้งสิ้น

 

กำเนิดรัฐของชนชาติอ้ายไต สมัย พระเจ้าไห

เรื่องราวความเป็นมาของชนชาติไทย สมัยพระเจ้าไห คือ เรื่องราวในตำนานนิทานพื้นบ้าน และคำกลอนกล่อมลูก ในท้องที่ภาคใต้ เรื่อง "ความเป็นมาในการนับเลขหนึ่งถึงสิบ" เรื่อง "เจ้าเก้าพี่น้อง" และเรื่อง "พระเจ้าอ้าย" รวมไปถึงเหตุที่ชนชาติไทยเรียกตนเองว่า "พวกอ้าย" หรือ "พวกเจ้าอ้าย" และเรียกชนชาติจีนว่า "พวกเจ็ค" นั่นเอง

เนื้อหาโดยสรุปกล่าวว่า ในสมัยพระเจ้าไห นั้น เชื้อสายราชวงศ์กษัตริย์ เจ้าไทย กับเชื้อสายเจ้าของจีน เกาหลี และ ญี่ปุ่น ในสมัยโบราณนั้น เคยเป็นพี่น้องท้องเดียวกันมาก่อน เคยนับเลขเหมือนกัน คือ อ้าย(1) , ยี่(2) , ซา(3) , สี่(4) , เหงา(5) , ลัก(6) , เจ็ค(7) , โป้ย(8) , เก้า(9) และ จั๊ป(10) แต่การนับเลขดังกล่าวได้เกิดความแตกต่างขึ้นมาในภายหลัง เป็นผลให้เกิดรัฐของ ชนชาติอ้ายไต และ ชนชาติเจ็ค และ ชนชาติญี่ปุ่น ในเวลาต่อมา ซึ่งเป็นเหตุการณ์เรื่องราวก่อนสมัยพุทธกาลนานมามากแล้ว โดยไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดขึ้นเมื่อใด แต่มีหลักฐานในภายหลังที่เชื่อกันว่า คือเหตุการณ์ที่ไม่ต่ำกว่า ๒,๕๐๐ ก่อนพุทธกาล หรือเมื่อประมาณ ๕,๐๐๐ ปี ล่วงมาแล้ว

เริ่มต้นของเรื่องราวกำเนิดรัฐไทย มีเรื่องราวโดยสังเขปว่า ในสมัยที่ พระเจ้าไห ปกครองดินแดนตอนเหนือ ของ ประเทศจีน ในปัจจุบัน นั้น ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะมีอากาศหนาวจัดมาก ไม่สามารถเพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์ ได้ตามปกติ จึงเกิดการขาดแคลนอาหาร  พระเจ้าไห ซึ่งเป็นต้นตระกูลของเจ้าไทย เป็นกษัตริย์ ซึ่งมีพระราชโอรสทั้งหมด ๙ พระองค์ เจ้าอ้ายไต เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ จากพระราชโอรสทั้งหมด ๙ พระองค์ มีพระนามว่า "เจ้าอ้าย" มีพระราชโอรส พระองค์รองลงมา มีพระนามว่า "เจ้ายี่" เรียงลำดับไปเรื่อยจนถึง "เจ้าเจ็ค" , "เจ้าแปด" และ "เจ้าเก้า" ตามลำดับ

ความหนาวเย็นของอากาศครั้งนั้น มีเหตุจำเป็นที่ทำให้พี่น้อง ทั้ง ๙ พระองค์ ต้องแยกจากกัน เพราะผลจากการขาดแคลนอาหาร พระเจ้าไห จึงได้เรียกพระราชโอรสทั้งหมด  มาเข้าเฝ้าพร้อมกัน  มีการมอบ ฆ้องสัมฤทธิ์ ให้เป็นสมบัติของพระราชโอรส ๖ พระองค์  พร้อมกับมีพระราชดำรัสสั่งสอนให้ พระราชโอรสซึ่งเติบโตเป็นหนุ่มแล้ว จำนวน ๖ พระองค์ ให้นำไพร่พล อพยพไปสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นใหม่ ในท้องที่ทางใต้ และทางทิศตะวันออก ซึ่งอากาศไม่หนาวจัด โดยให้นำไพร่พลอพยพเดินทางลงทางใต้ มี เจ้าอ้าย(อ้ายไต) และ เจ้ายี่(ญี่ปุ่น) เป็นผู้นำพาการอพยพ ในเหตุการณ์ครั้งนั้น 

ส่วน เจ้าชายเจ็ค(อาณาจักรเจ็ก/จีน) เจ้าชายแปด และ เจ้าชายเก้า(เกาหลี) ยังทรงพระเยาว์อยู่  จึงยังคงพระทับอยู่อาศัยอยู่กับ พระราชบิดา และ พระราชมารดา ต่อมา "เจ้าชายเจ็ค" ได้กลายเป็นกษัตริย์ ผู้สืบทอดราชย์สมบัติปกครอง อาณาจักรเจ็ค ต่อเนื่องจาก พระเจ้าไห พระราชบิดา สายเจ้าชายเจ็ค นี้ต่อมาได้เปลี่ยนการนับเลข ๑(อ้าย) และ ๒(ยี่) เป็น (๑) เจ็ค , (๒)หนอ เป็นที่มาให้ชนชาติอ้ายไต เรียกชนชาติจีนในสมัยโบราณ ว่า ชนชาติเจ็ค ในเวลาต่อๆ มา สืบทอดต่อเนื่อง เรื่อยๆ มา

พี่น้องของ กลุ่มเจ้าอ้าย และ กลุ่มเจ้ายี่ ซึ่งได้อพยพลงมาทางใต้ และทางทิศตะวันออก เกิดขึ้นในยุคสมัยที่เชื้อสาย กลุ่มราชวงศ์ทั้งสองสายราชวงศ์ และไพร่พล รู้จักใช้ไฟเป็นแสงสว่าง และรู้จักใช้ไฟ มาปรุงอาหารให้สุก รู้จักใช้เครื่องนุ่งห่ม ใช้ภาชนะดินเผา และรู้จักการหลอมโลหะสัมริด(โลหะผสมระหว่างทองคำ กับดีบุก) แล้ว

 

 ภาพ แสดงตำแหน่งที่ตั้ง แคว้นหลานโจว(ลานเจ้า) ซึ่งสันนิษฐานว่า น่าจะเป็น รัฐลานเจ้า ของ เชื้อเจ้า ๖ พี่น้อง ผู้อพยพหนีภัยหนาว ก่อนการอพยพ ต่อไป ในเวลาต่อมา

 

              การอพยพของเชื้อสาย เจ้าอ้าย(เจ้าอ้ายไต) และเชื้อสาย เจ้ายี่(เจ้าญี่ปุ่น) รวมพี่น้องทั้งหมด ๖ พระองค์ พร้อมไพร่พล ได้มาสร้างบ้านแปลงเมือง สร้างแว่นแคว้น และได้ตั้งรัฐขึ้นครั้งแรก ณ ท้องที่แห่งหนึ่งเรียกชื่อว่า เมืองลานเจ้า หมายถึงเชื้อเจ้าทั้ง ๖ พระองค์ ได้มาตั้งรกรากครั้งแรก พร้อมกับได้ร่วมกันสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นมาเป็นครั้งแรก เรียกว่า "รัฐลานเจ้า" มี เจ้าอ้าย(อ้ายไต) เป็นกษัตริย์  มี เจ้ายี่(ญี่ปุ่น) เป็นอุปราช ปกครอง รัฐลานเจ้า ก่อนที่จะแยกทางกัน อีกครั้งหนึ่ง ในเวลาต่อมา จนกระทั่งได้ก่อกำเนิดเป็น ๒ สายราชวงศ์ใหญ่ ของ ผู้อพยพ ในเวลาต่อมา

จาก รัฐลานเจ้า เชื้อสาย กลุ่มเจ้าอ้าย(เจ้าอ้ายไต) และ กลุ่มเจ้ายี่(ญี่ปุ่น) ได้เดินทางอพยพต่อไป ส่วนหนึ่ง อพยพไปสร้างบ้านแปลงเมืองใหม่  ในท้องที่ทางใต้ และอีกส่วนหนึ่ง เดินทางอพยพไปทางทิศตะวันออก ซึ่งติดต่อชายฝั่งทะเล เพราะอากาศไม่หนาวจัด การอพยพของเชื้อสาย กลุ่มพระเจ้าอ้าย ในเวลาต่อมา จึงถูกเรียกว่า ชนชาติอ้ายไต ส่วนการอพยพของเชื้อสาย กลุ่มพระเจ้ายี่ ได้อพยพไพร่พล เดินทางโดยทางเรือ ไปตั้งรกาก ในดินแดนหมู่เกาะของประเทศญี่ปุ่น ในปัจจุบัน คือ ชนชาติญี่ปุ่น ในปัจจุบัน นั่นเอง ข้อมูลเหล่านี้ คือพื้นฐานความเชื่อที่ว่า เชื้อสายกษัตริย์ของไทย จีน เกาหลี และ ญี่ปุ่น ล้วนเคยเป็นพี่น้องท้องเดียวกันมาก่อน

จาก รัฐลานเจ้า เจ้ายี่ และ เจ้าหก ได้เดินทางอพยพต่อไป ทางทิศตะวันออก กลายเป็น ประเทศญี่ปุ่น ส่วน เจ้าหก กลายเป็น ชนเผ่าฮกเกี้ยน เป็นสายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต ที่ได้ไปผสมเผ่าพันธุ์กับ ชนเผ่าแมนจู แตกออกเป็น ๒ สายราชวงศ์ คือ ราชวงศ์แมนสม ตั้งรกรากอยู่ทางทิศตะวันออกฉียงเหนือ ของ ประเทศจีน ในปัจจุบัน และ ราชวงศ์แมนสรวง ได้ไปตั้งรัฐอยู่ในดินแดน เกาะไต้หวัน ในปัจจุบัน กลุ่มนี้เรียกชื่อว่า สายราชวงศ์แมน

ส่วน เจ้าอ้าย ได้อพยพจาก เมืองลานเจ้า ลงมาทางใต้ ได้มาสร้างบ้านแปลงเมืองอยู่ที่ เมืองแตกกิ่ง(เฉินตู) เรียกว่า แคว้นเสฉวน และเกิดการตั้งรัฐ อาณาจักรหนานเจ้า(หนานก๊ก) ขึ้นปกครองอยู่ในดินแดน รัฐเสฉวน(แคว้นฉู่) คือ ดินแดนภาคกลาง ของ ประเทศจีน ในปัจจุบัน สายราชวงศ์เจ้าอ้าย ได้ขยายดินแดนเข้ายึดครองดินแดนทางทิศตะวันตก เรียกว่า แคว้นสู่ อีกส่วนหนึ่งขยายตัวเข้าครอบครองดินแดนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เรียกว่า แคว้นฉาน และขยายตัวไปทางทิศใต้ เรียกว่า แคว้นหนานเจ้า และ แคว้นยูนนาน ในดินแดนของ ประเทศจีน ในปัจจุบัน กลุ่มนี้เรียกว่า สายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต

สายราชวงศ์ เจ้าสาม เจ้าสี่ และ เจ้าห้า ได้สมรสเกี่ยวดองระหว่างสายราชวงศ์ทั้งสาม เรียกว่า สายราชวงศ์จิว หรือ สายราชวงศ์ไตจ้วง สายราชวงศ์นี้ ได้อพยพ เข้าครอบครองดินแดน ทางทิศตะวันออก และ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของประเทศจีน ในปัจจุบัน สายราชวงศ์เจ้าสี่ ได้ไปสร้าง แคว้นเสี่ยงให้(แคว้นอู๋) ส่วน สายราชวงศ์เจ้าสาม ได้อพยพไปสร้างรัฐ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เรียกว่า แคว้นไตจ้วง(กวางตุ้ง กวางสี กวางเจา และ ตาเกี๋ย) ส่วน สายราชวงศ์เจ้าห้า ได้อพยพไพร่พลไปสร้าง แคว้นหูหลำ(เกาะไหหลำ)  

การอพยพลงมาทางใต้ และทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ นั้น กลุ่มชนชาติอ้ายไต ได้มาพบกับชนพื้นเมือง ผิวเหลือง ซึ่งตั้งรกรากอยู่ในดินแดนทางใต้ และทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของประเทศจีน ในปัจจุบัน อยู่ก่อนแล้ว เรียกว่า พวกแย่ หรือ พวกไป่เยว่(ชนป่าเถื่อนร้อยเผ่าพันธุ์) ตามชื่อเรียกของชนชาติจีน ในปัจจุบัน ชนพื้นเมืองผิวเหลือง พวกแย่(ไป่เยว่) มีวัฒนธรรมที่ล้าหลังมากกว่า ขณะเดียวกัน ชนพื้นเมือง พวกแย่(ไป่เยว่) มีอยู่หลายร้อยเผ่า(ชาติพันธุ์) ส่วนใหญ่ปกครองโดย กษัตริย์สตรี

       ท้องที่ใดที่ กลุ่มชนชาติอ้ายไต อพยพลงไปตั้งรกราก และมีชนพื้นเมือง ผิวเหลือง พวกแย่(ไป่เยว่) เป็นจำนวนมาก นั้น การตั้งรกรากในท้องที่ดังกล่าวมักจะไม่สงบสุข เพราะชนชาติอ้ายไต ต้องทำสงครามแย่งชิงพื้นที่ ระหว่างกัน กับ ชนพื้นเมือง ผิวเหลืองพวกแย่(ไป่เย่ว) จึงเป็นที่มาของคำว่า "แย่" ซึ่งเป็นคำไทย ที่มีการใช้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน มีความหมายถึงความไม่สงบสุข ในการอพยพเข้าไปตั้งรกราก หรือในการดำเนินชีวิต เพราะต้องรบราฆ่าฟัน กับชนพื้นเมือง พวกแย่(ไป่เย่ว) เป็นที่มาของคำอุทานที่ว่า "แย่มาก" หมายถึง ความไม่สงบสุข จะเกิดขึ้นกับชนชาติอ้ายไต อีกครั้ง จากผลของการที่จะต้องทำสงคราม แย่งชิงดินแดน กับ ชนพื้นเมือง พวกแย่(ไป่เย่ว) ซึ่งตั้งรกรากอยู่ก่อนแล้ว

      ในระยะแรกๆ ของการสร้างอาณาจักร ของ กลุ่มสายราชวงศ์ พระเจ้าอ้าย ซึ่งผสมเผ่าพันธุ์ กับ "พวกแย่" ทำให้สายราชวงศ์ ชนชาติเจ็ค เรียกชนชาติ กลุ่มเชื้อสายพระเจ้าอ้าย ซึ่งเป็นผู้อพยพว่า ชนชาติไต คำว่า "ไต" แปลตรงตัวในภาษาจีนโบราณ หมายถึง "คุ้ยเขี่ย" หรือ "ค้นหาที่ทำกิน" คำว่า "อ้ายไต" จึงมีความหมายถึง กลุ่มคนที่เป็นเชื้อสาย และไพร่พลของ พระเจ้าอ้าย ที่เดินทางอพยพลงทางทิศใต้ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ และ ทางทิศตะวันออก ของ แคว้นลานเจ้า เพื่อแสวงหาที่ทำมาหากินใหม่ๆ

       การอพยพของกลุ่มชนชาติอ้ายไต ส่วนที่ได้ไปตั้งรกรากที่ แคว้นเสฉวน(แคว้นฉู่) มี เมืองแตกกิ่ง หรือ เมืองเฉินตู เป็นเมืองราชธานี ต่อมา ของ ชนชาติอ้ายไต การตั้งราชธานีในสมัยนั้น ได้เกิดสงครามกับชนพื้นเมืองผิวเหลือง พวกแย่(ไป่เย่ว) เรื่อยมา ในที่สุด ชนชาติอ้ายไต ก็ได้ชนพื้นเมือง พวกแย่ มาเป็นไพร่พล และได้ผสมเผ่าพันธุ์ หลอมรวมกันเป็นชนชาติเดียวกัน แล้วแตกออกเป็นหลายเผ่าพันธุ์ หลายภาษา หลายวัฒนธรรม ของ กลุ่มชนชาติอ้ายไต เป็นที่มาให้เกิดการสร้างบ้านแปลงเมือง และได้สร้างแว่นแคว้น ต่างๆ ขึ้นมา หลายแว่นแคว้น จนกระทั่งได้ขยายตัวเป็น อาณาจักรของกลุ่มชนชาติอ้ายไต ในดินแดนส่วนใหญ่ ของ ประเทศจีน ในปัจจุบัน เชื้อสายราชวงศ์ชนชาติอ้ายไต ได้สมรสระหว่างสายราชวงศ์ แล้วขยายตัว แบ่งแยกออกเป็น หลายราชวงศ์ ชนชาติจีน จึงเรียกชื่อชนชาติอ้ายไต ในชื่อใหม่ว่า ไป่เยว่ แปลว่า ชนป่าเถื่อน หลายร้อยเผ่า

     กลุ่มเชื้อสายเจ้าอ้ายไต ได้สืบทอดวัฒนธรรมการกิน ข้าวเจ้า เป็นอาหารประจำวัน และได้มาร่วมสร้างบ้านแปลงเมืองพร้อมกับทำสงครามปกครองชนพื้นเมือง พวกแย่ หลายเผ่าพันธุ์ ซึ่งสืบทอดวัฒนธรรมในการกิน ข้าวเหนียว เป็นอาหารประจำวัน เรื่อยมา จนกระทั่งต่อมา กลุ่มสายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต ที่สืบเชื้อสายต่อเนื่องกันมา ได้ร่วมกันสร้างบ้านแปลงเมือง กับ ชนพื้นเมืองพวกแย่ หลายเผ่าพันธุ์ เกิดแว่นแคว้นต่างๆ มากมาย ตั้งแต่ดินแดนภาคเหนือ ของ ประเทศจีนในปัจจุบัน จรดดินแดนภาคใต้ เช่น แคว้นเสฉวน(แคว้นฉู่) , แคว้นสู่ , แคว้นแมนสม(แคว้นฉี) , แคว้นเสี่ยงให้(แคว้นอู๋) , แคว้นแมนสรวง(เกาะไตหวัน) , แคว้นหูหลาม(เกาะไหหลำ) , แคว้นไตจ้วง(กวางตุ้ง กวางสี กวางเจา ตาเกี๋ย) , แคว้นตาลีฟู(หนองแส) และ แคว้นยืนนาน(ยูนนาน) เป็นต้น

    ต่อมา ได้เกิดการรวมตัวของแว่นแคว้นต่างๆ ของ กลุ่มเชื้อสายราชวงศ์พระเจ้าอ้ายไต หลายราชวงศ์ สร้างรูปแบบการปกครอง ขึ้นมาเอง จนกระทั่ง ได้มีกระบวนการพัฒนา ออกมาเป็น รูปแบบการปกครองแบบ อาณาจักร และได้ก่อกำเนิด อาณาจักร ที่แท้จริง ของ กลุ่มเชื้อสายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต ขึ้นมา เรียกว่า อาณาจักรเจ้าอ้ายไต มีเมืองหลวงอยู่ที่ เมืองเฉินตู แห่ง แคว้นเสฉวน(แคว้นฉู่) ในยุคสมัยแรกๆ

       ชนชาติเจ็ค ในสมัยโบราณ จึงเรียกอาณาจักรของชนชาติอ้ายไต ว่า "อาณาจักรหนาน(ใต้)เจ้า" ซึ่งมีความหมายถึง อาณาจักรเจ้าทางทิศใต้ ต่อมา ชนชาติอ้ายไต ที่ผสมเผ่าพันธุ์ กับ ชนพื้นเมือง พวกแย่ แล้วแตกออกหลายเผ่าพันธุ์ โดยมี แคว้นเสฉวน(แคว้นฉู่) เป็นแคว้นนครหลวง ของ อาณาจักรเจ้าอ้ายไต และ ได้เกิดสงครามกับ อาณาจักรเจ็ค(ประเทศจีน) จนกระทั่ง แคว้นลานเจ้า และ แคว้นแมนสม(แคว้นฉี) ถูกยึดครองไปโดย อาณาจักรเจ็ค สายราชวงศ์แมนสม ได้หลบหนีสงคราม ไปทางทะเล มุ่งขึ้นสู่ทิศเหนือ ได้ไปผสมเผ่าพันธุ์ กับ ชนพื้นเมืองพวกแย่ ชนเผ่าจู(ตี)ร์ และได้สร้างแว่นแคว้นใหม่ขึ้นมา เรียกว่า แคว้นแมนจูเจ้า(แมนจูเรีย) เหตุการณ์สงครามครั้งนั้น ชนชาติอ้ายไต แตกออกเป็นสองพวก คือ พวกที่ต้องการรวมตัวกับ อาณาจักรเจ็ค กับ พวกที่ต้องการสร้างรัฐของชนชาติอ้ายไต แยกออกต่างหาก ความขัดแย้งครั้งนั้นทำให้ เกิดสงครามระหว่างกัน เมืองนครหลวง ของ อาณาจักรเจ้าอ้ายไต จึงต้องย้ายลงมาทางทิศใต้ และตั้งเมืองหลวงขึ้นใหม่ อยู่ที่ แคว้นยืนนาน(ยูนนาน) เป็นเวลายาวนานมากที่สุด และชนชาติอ้ายไต เป็นผู้ครอบครอง และ ปกครองดินแดนส่วนใหญ่ ของ ประเทศจีน ในปัจจุบัน นั่นเอง

     ในสมัยต่อมา ได้เกิดสงครามระหว่าง อาณาจักรเจ้าอ้ายไต กับ ชนพื้นเมืองพวกแย่(ไป่เย่ว) อีกหลายครั้งหลายคราว ทำให้ เมืองราชธานี ของ อาณาจักรเจ้าอ้ายไต ต้องย้ายมาอยู่ที่ แคว้นตาลีฟู(หนองแส) ในสมัย พระเจ้าเหา เป็นที่มาให้ พระเจ้าเหา ได้เปลี่ยนชื่อ แคว้นตาลีฟู เป็น คว้นหนานเจ้า(หนองแส) และเรียกชื่อ อาณาจักรเจ้าอ้ายไต ในชื่อใหม่ ว่า อาณาจักรหนานเจ้า(หนองแส) ตั้งแต่นั้นมา ส่วน อาณาจักรเจ็ค จะเรียกชื่อ อาณาจักรของชนชาติอ้ายไต ว่า หนานเย่ก๊ก เรื่อยมา

      อย่างไรก็ตาม ต่อมา ชนพื้นเมือง พวกแย่ ถูกชนชาติอ้ายไต เป็นผู้ปกครอง เป็นส่วนใหญ่ แต่ ชนพื้นเมืองพวกแย่ บางชาติพันธุ์ ก็ยังคงทำสงครามแย่งชิงดินแดนกลับคืน เรื่อยมา เมื่อชนพื้นเมืองพวกแย่ พ่ายแพ้สงคราม ก็มาผสมชาติพันธุ์ กับ ชนชาติอ้ายไต อาณาจักรของชนชาติอ้ายไต จึงถูก ชนชาติเจ็ค เรียกชื่อใหม่ในเวลาต่อมา ว่า "หนานเย่ก๊ก"

  จนกระทั่งในสมัยต่อมา พระเจ้าเหา กษัตริย์แห่ง อาณาจักรหนานเจ้า ได้รับสั่งให้ เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) ออกเดินทางมาสำรวจดินแดนสุวรรณภูมิ จึงเป็นที่มา ของการกำเนิดรัฐไทย ในดินแดนสุวรรณภูมิ ในเวลาต่อมา คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อีกครั้งหนึ่ง ของ ชนชาติอ้ายไต ซึ่งได้เข้ามามีบทบาทในดินแดนสุวรรณภูมิ

 

 กำเนิดรัฐของชนชาติอ้ายไต ในดินแดนสุวรรณภูมิ สมัย พระเจ้าเหา

 

          
 
 
          ตำนานเจ้ามรรคขุน§-5 ซึ่งเป็นนิทานพื้นบ้าน และคำลอนกล่อมลูก เรื่อง "เจ้ามรรคขุน" ซึ่งนิยมเล่ากันมากในท้องที่ภาคใต้ ได้เล่าเรื่องราวการกำเนิดรัฐไทยในดินแดนสุวรรณภูมิ ทั้งแผ่นดินสุวรรณภูมิ และ เกาะสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นเหตุการณ์สมัย "พระเจ้าเหา" คือสมัยที่ศูนย์กลางอำนาจรัฐของ อาณาจักรของชนชาติอ้ายไต ได้โยกย้ายมาตั้งอยู่ที่ แคว้นหนานเจ้า(หนองแส) ซึ่งตั้งอยู่ทางดินแดนตอนใต้ของประเทศจีน ในปัจจุบัน ใกล้กับ แม่น้ำโขง , แม่น้ำสาละวิน , แม่น้ำแยงซีเกียง และ แม่น้ำแดง ขณะนั้น อาณาจักรของชนชาติอ้ายไต ได้ถูกเรียกชื่อว่า อาณาจักรหนานเจ้า เรียบร้อยแล้ว

ตำนานเจ้ามรรคขุน กล่าวว่า พระเจ้าเหา เป็นกษัตริย์พระองค์แรก ของ เชื้อสายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต ที่ได้รับสั่งมอบหมายให้พระราชโอรส คือ เจ้าชายตา(ท้าวไชยทัศน์) นำไพร่พล เดินทางมาสำรวจดินแดนทางทิศใต้ คือ ดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งขณะนั้น เจ้าชายตา มีมเหสี พระนามว่า พระนางจิว มีพระราชโอรสมาก่อนแล้ว ๑ พระองค์ คือ เจ้าชายตาจ้วง ดังนั้น เจ้าชายตา จึงต้องจากลูกเมีย เพื่อออกสำรวจดินแดน ด้วย

การสำรวจดินแดน ของ เจ้าชายตา ครั้งนั้น มีเหตุมาจาก ในสมัย พระเจ้าเหา นั้น ได้เกิดสงครามกับ ชนพื้นเมือง ชาวผิวเหลือง "พวกแย่" และ สงครามกับ อาณาจักรเจ็ค บ่อยครั้ง บ้านเมืองไม่ค่อยสงบสุข พระเจ้าเหา จึงมอบให้ เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) นำไพร่พล เดินทางออกไปสำรวจดินแดนทางใต้(ดินแดนสุวรรณภูมิ) โดยเดินทางมาตามเส้นทางแม่น้ำโขง และมาขึ้นบก ณ ท้องที่ เมืองเชียงคาน มุ่งสู่ท้องที่ จ.อุตรดิตถ์ ในปัจจุบัน

ก่อนที่คนไทยจะอพยพเข้ามาตั้งรกรากในดินแดนสุวรรณภูมิ นั้น กล่าวกันว่า มีชนพื้นเมืองผิวดำ ตั้งรกรากอยู่ก่อนแล้ว ชนชาติอ้ายไต จะเรียกชื่อชนพื้นเมืองผิวดำ เหล่านั้นว่า พวกแขกดำ ซึ่งเป็นคนละชาติพันธุ์กับ ชนพื้นเมือง "พวกแย่" ชนพื้นเมืองผิวดำ พวกแขกดำ จะเรียกชื่อตนเองว่า "นาคา" หรือ "นาค" ชนพื้นเมืองเหล่านี้ มีหลายเผ่าพันธุ์ หลายภาษา และหลายวัฒนธรรม อาศัยอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิ มานานแล้ว ชนพื้นเมืองแขกดำ เป็นชนเผ่าที่มีผิวดำ ผมหยิก ใช้ใบไม้ห่อหุ้มร่างกาย อาศัยอยู่ตามถ้ำ ใกล้แหล่งน้ำ  กินของดิบ ไม่รู้จักใช้ไฟในการหุงหาอาหาร รวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่มๆ ปกครองโดยกษัตริย์สตรี ชนพื้นเมืองแขกดำจะตั้งรกรากอยู่ในดินแดนทางตอนใต้ มากกว่าที่จะตั้งรกรากอยู่ในภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคเหนือ ของดินแดนสุวรรณภูมิ ชนพื้นเมืองแขกดำ ยังตั้งรกรากอยู่ตามหมู่เกาะทะเลใต้ ซึ่งเรียกชื่อว่า ดินแดนเกษียรสมุทร ชนพื้นเมืองแขกดำ จึงเป็นเจ้าของดินแดนสุวรรณภูมิ และ ดินแดนเกษียรสมุทร มาก่อนที่ชนชาติอ้ายไต จะอพยพเข้ามาครอบครองดินแดนสุวรรณภูมิ ในเวลาต่อมาอีกครั้งหนึ่ง

 

ท้าวพรหมทัศน์ ทรงครุฑ มาให้กำเนิดรัฐ ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ  

ตามตำนานนิทานพื้นบ้านเรื่อง เจ้ามรรคขุน ได้เล่าเรื่องถึงเหตุการณ์ขณะที่ พระเจ้าเหา รับสั่งให้ เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) เดินทางมาสำรวจดินแดนสุวรรณภูมิ นั้น ได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้น ในดินแดน เกาะสุวรรณภูมิบริเวณถ้ำคูหา ท้องที่ จ.ยะลา ในปัจจุบัน มีเรื่องราวโดยสรุปว่า ในดินแดนเกาะสุวรรณภูมิ มี "พระนางมะหยุง" เป็นกษัตริย์สตรีของชนพื้นเมืองแขกดำ ชนเผ่านาคน้ำ ปกครองบ้านเมืองอยู่บริเวณท้องที่ ถ้ำคูหา(ยะลา) อยู่ก่อนแล้ว ต่อมา พระนางมะหยุง ต้องการได้พระภัสดา(สามี) จึงได้ทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ ร้องขอแด่เทวดา ให้พระนางได้พบเนื้อคู่

ร้อนถึง พระอินทร์ บนสรวงสวรรค์ จึงมอบให้ พระนารายณ์ ทำการแปลงกาย อวตาล มาเป็น ท้าวพรหมทัศน์ เสด็จโดย ทรงครุฑ(พระยาครุฑ) บินลอยไปยังดินแดน เกาะสุวรรณภูมิ และต่อมา ท้าวพรหมทัศน์ ได้เสีย กับ พระนางมะหยุงถ้ำคูหา(ยะลา) เกิดลูกหลานสืบทอดต่อมา เรียกชื่อว่า สายราชวงศ์นาคน้ำ หรือ ราชวงศ์ขุนหลวง นั่นเอง

เมื่อ พระนางมะหยุง กษัตริย์สตรี ชนพื้นเมืองแขกดำ บนดินแดนเกาะสุวรรณภูมิ ได้เสียกับเทวดา คือ พระนารายณ์ ซึ่งแปลงกายมาเป็น ท้าวพรหมทัศน์ ทรงพญาครุฑ ที่เดินทางเหาะมาจากสรวงสวรรค์ จนกระทั่งในเวลาต่อมา ได้พระราชธิดาที่ทรงสิริโฉม ๓ พระองค์ คือ เจ้าหญิงไม้หยูก , เจ้าหญิงเมาหลอ และ เจ้าหญิงหยุงทอง ตามลำดับ จึงยึดถือกันว่า ท้าวพรหมทัศน์ คือกษัตริย์เพศชาย พระองค์แรก ในดินแดนสุวรรณภูมิ ผู้ปกครอง เมืองพรหมทัศน์(ยะลา) แห่ง "แคว้นพรหมทัศน์" ซึ่งเป็นรัฐแรก ของชนชาติอ้ายไต ในดินแดนเกาะสุวรรณภูมิ และถือว่า เป็นปฐมกษัตริย์ พระองค์แรก ในดินแดนสุวรรณภูมิ ด้วย

 

ท้าวไชยทัศน์(เจ้าชายตา) ให้กำเนิดรัฐไทย ณ แผ่นดินสุวรรณภูมิ

      การสำรวจดินแดนสุวรรณภูมิ ของ เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) นั้น ได้นำไพร่พลเดินทางสำรวจดินแดน มาถึงท้องที่แห่งหนึ่ง  ณ ท้องที่ เมืองลับแล.อุตรดิตถ์ ในปัจจุบัน เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) ก็ได้พบกับ พระนางนาคดิน กษัตริย์สตรี พระองค์หนึ่ง ซึ่งปกครองชนพื้นเมืองแขกดำ ณ ดินแดน เมืองลับแล ดังกล่าว

       เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) ได้นำไพร่พลทำสงคราม ชนะ พระนางนาคดิน กษัตริย์สตรีเมืองลับแล และได้ พระนางนาคดิน กษัตริย์สตรี ชนพื้นเมืองแขกดำ ชนเผ่านาคดิน เป็นพระชายา จนกระทั่ง มีพระราชธิดา หลายพระองค์ และมีพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง มีพระนามว่า "เจ้ามรรคขุน"   ซึ่งถือว่าเป็นเชื้อสายเจ้าอ้ายไต กับ ชนพื้นเมืองแขกดำ ซึ่งถือเป็นต้นวงศ์ สายราชวงศ์นาคดิน ของ พระมหากษัตริย์เชื้อสายเจ้าอ้ายไต ในดินแดนสุวรรณภูมิ อีกสายหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในดินแดน แผ่นดินสุวรรณภูมิ ในเวลาต่อมา

อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) พบความจริงว่า พระนางนาคดิน กษัตริย์สตรี ลอบฆ่า และกินเนื้อพระราชธิดา ของ พระนางเอง เป็นอาหาร เป็นที่มาให้ เจ้าชายตาไม่สามารถยอมรับสภาพดังกล่าวได้ จึงได้นำไพร่พล หลบหนี เดินทางอพยพ มุ่งหน้าเดินทางสำรวจดินแดนลงมาทางใต้ ต่อไป โดยมิได้บอกกล่าว พระนางนาคดิน พระชายา ผู้เป็นกษัตริย์สตรี การหลบหนีครั้งนั้น เจ้าชายตา และ พระนางนาคดิน จึงไม่เคยพบกันอีกเลย  พระนางนาคดิน กลายเป็นแม่หม้าย เมืองดังกล่าวจึงถูกตั้งชื่อว่า เมืองลับแล หมายถึง เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) ได้หายลับไป จนแลไม่เห็นอีกต่อไป

 

ท้าวไชยทัศน์(เจ้าชายตา) ให้กำเนิด ท้าวไชยเทศ ณ เมืองถ้ำคูหา(ยะลา)

       เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) ได้นำไพร่พล เดินทางสำรวจดินแดนสุวรรณภูมิ ต่อไป จนกระทั่งได้มาพบทะเลที่ เมืองปากแพรก ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ทะเล จึงได้ทราบข้อมูลจากชนพื้นเมืองแขกดำว่า มีทะเลอยู่ทางทิศตะวันตก ด้วย จึงได้เดินทางมุ่งหน้าออกสำรวจดินแดนสุวรรณภูมิ ไปทางทิศตะวันตก โดยได้เดินทางข้ามห้วยข้ามเขา ไปพบดินแดนชายฝั่งทะเลทางทิศตะวันตก อีกด้วย

       เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) ได้นำไพร่พล เดินทางมุ่งหน้าออกสำรวจพื้นที่เลียบชายฝั่งทะเลตะวันตก จนกระทั่งเดินทางไปพบกับ แม่น้ำสาละวิน และเมื่อเดินทางสำรวจดินแดน สองฟากฝั่งแม่น้ำสาละวิน เสร็จแล้ว เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) ตั้งใจนำไพร่พล เดินทางกลับ แคว้นหนานเจ้า(หนองแส) แห่ง อาณาจักรหนานเจ้า ตามเส้นทางเดิม ถือเป็นการสำเร็จภารกิจ การเดินทางสำรวจดินแดน สุวรรณภูมิ ตามที่ พระเจ้าเหา มอบหมาย

อย่างไรก็ตาม ได้เกิดเหตุการณ์ที่มิได้คาดคิดมาก่อน เกิดขึ้น ขณะที่ เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) พร้อมไพร่พล ล่องเรือแพ เพื่อเดินทางกลับ ได้เกิดลมพายุใหญ่ ฝนตกหนัก กระแสน้ำเชี่ยว ได้พัดพาเอาเรือแพ ของเจ้าชายตา ออกสู่กลางทะเลใหญ่ จนกระทั่ง เรือแพ ได้ถูกพายุใหญ่ พัดพาไปเกยชายฝั่งทะเล ณ สถานที่แห่งหนึ่ง  เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) จึงได้นำไพร่พลเดินเท้าไปพบดินแดนแห่งหนึ่ง ในท้องที่ จ.ยะลา ซึ่งเรียกกันว่า ถ้ำคูหา ก็ได้พบกับ "ท้าวพรหมทัศน์" และ "พระนางมะหยุง" ซึ่งเป็นกษัตริย์ สายราชวงศ์นาคน้ำ ปกครองชนพื้นเมืองแขกดำอีกพระองค์หนึ่ง ณ ถ้ำคูหา แคว้นพรหมทัศน์(ยะลา) อยู่ในขณะนั้น

เมื่อ ท้าวพรหมทัศน์ และ พระนางมะหยุง ต้นราชวงศ์ ของ ราชวงศ์นาคน้ำ ทราบว่า เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) เป็นเชื้อสายเจ้าอ้ายไต แห่ง อาณาจักรหนานเจ้า เดินทางพลัดตก หลงทางมายังดินแดนดังกล่าว ก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ในที่สุด ท้าวพรหมทัศน์ และ พระนางมะหยุง ก็จัดให้ เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) อภิเษกสมรสกับ เจ้าหญิงไม้หยูก ต่อมาไพร่พลของ เจ้าชายตา ก็ได้สมรสเกี่ยวดองกับชนพื้นเมืองแขกดำ ชนเผ่านาคนำ เกิดชนชาติอ้ายไต ผสมเผ่าพันธุ์กับชนพื้นเมืองแขกดำ ชนเผ่านาคน้ำ ขึ้นมาในท้องที่ แคว้นพรหมทัต(ยะลา) ซึ่งยึดถือกันว่า แคว้นพรหมทัต(ยะลา) เป็น แคว้นนครหลวง แห่งแรก ของ อาณาจักรชนชาติอ้ายไต ในดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งเกิดขึ้นในท้องที่ จ.ยะลา ปัจจุบัน นั่นเอง

ต่อมา เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) มีพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง กับ พระนางไม้หยูก มีพระนามว่า เจ้าชายชัยเทศ พระราชโอรสพระองค์นี้ เมื่อเติบโตเป็นหนุ่ม ได้อภิเษกสมรสกับ เจ้าหญิงเมาหลอ ซึ่งเป็นพระเจ้าน้า ของพระองค์ ถือเป็นปฐมกษัตริย์ เชื้อสายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต สายราชวงศ์นาคนำ อีกพระองค์หนึ่ง ในดินแดนสุวรรณภูมิ ในเวลาต่อมา ได้สร้าง แคว้นชัยเทศ(กลันตัน) เป็นแคว้นถัดมา เพื่อขึ้นมาปกครอง มีพระนามว่า ท้าวชัยเทศ

 

เจ้ามรรคขุน อุ้มไก่ชน ออกติดตาม พระราชบิดา

ส่วนเหตุการณ์ที่เมืองลับแล เมื่อ เจ้ามรรคขุน ได้เติบโตเข้าสู่วัยหนุ่ม พระนางนาคดิน ซึ่งเป็นพระราชมารดาผู้เป็นกษัตริย์สตรี  เห็นว่า เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) ผู้เป็นพระภัสดา(สามี) ไม่ยอมเดินทางกลับคืน เมืองลับแล จึงมอบให้ เจ้ามรรคขุน พร้อมไพร่พล ออกเดินทางติดตามหา เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระองค์เอง เจ้ามรรคขุน จึงอุ้ม ไก่ชน ตัวโปรด ออกเดินทาง พร้อมไพร่พล มุ่งหน้าเดินทางลงมาทางทิศใต้ สืบหาพระราชบิดา และท้าชนไก่กับบ้านเมืองต่างๆ ของชนพื้นเมืองแขกดำ เรื่อยมา จนกระทั่ง เจ้ามรรคขุน เดินทางมาถึงดินแดนเกาะสุวรรณภูมิ

 

 ภาพ เทวรูปเจ้ามรรคขุน อุ้มไก่ชน พระราชโอรส พระองค์หนึ่ง ของ ท้าวชัยทัศน์ ผู้สร้าง เมืองลับแล พบเทวรูปนี้ ที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ตำนานเจ้ามรรคขุน เล่าเรื่องราวเป็นคำกลอนเรื่อง กำเนิดรัฐไทยในดินแดนสุวรรณภูมิ และได้บอกเล่า ตำนานเรื่องราวของ ท้าวพรหมทัศน์ , ท้าวไชยทัศน์ ผู้ให้กำเนิดรัฐของชนชาติไทย ขึ้นมาในดินแดน เกาะสุวรรณภูมิ ด้วย

  

              เจ้ามรรคขุน เดินทางมาตามชายฝั่งทะเลตะวันออก(อ่าวไทย) ได้เดินทางมาถึง แคว้นชัยเทศ(กลันตัน) จึงได้พบกับพี่น้องต่างมารดา คือ ท้าวชัยเทศ ซึ่งเป็นผู้ปกครองเมือง จึงอุ้มไก่ชน มาขอท้าพนัน ชนไก่ กับ ท้าวชัยเทศ ตามประเพณี ของ ชนพื้นเมืองแขกดำ ตำนานเจ้ามรรคขุน เล่าเรื่อง การท้าชุนไก่ ว่า ครั้งที่ ๑ ซึ่งเป็นการท้าชนไก่ เพื่อพนันข้าวห่อ ให้กับไพร่พลของ เจ้ามรรคขุน ครั้งที่ ๒  เป็นการท้าชนไก่ เพื่อพนันนาง เป็นที่มาให้เจ้ามรรคขุน ได้มีมเหสี คือ เจ้าหญิงหยุงทอง ไปเป็นมเหสี

ส่วน การท้าชนไก่ ครั้งที่ ๓ เป็นการท้าชนไก่ เพื่อพนันเมือง เป็นที่มาให้ เจ้ามรรคขุน ได้ เมืองชัยเทศ(กลันตัน) ของท้าวชัยเทศ ไปครอง ทำให้ ท้าวชัยเทศ กับ พระนางเมาหลอ ต้องไปสร้างบ้านแปลงเมือง เพื่อสร้างเมืองหลวง ของ แคว้นชัยเทศ ขึ้นใหม่ ในท้องที่ เมืองนราธิวาส ในปัจจุบัน ส่วน เจ้ามรรคขุน เมื่อได้ครอง เมืองชัยเทศ(กลันตัน) จึงได้พบกับ เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) ซึ่งเป็น พระราชบิดา ณ เมืองพรหมทัศน์(ยะลา) เจ้ามรรคขุน จึงได้เรียกร้องให้ เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) เดินทางกลับ เมืองลับแล เพื่อสร้าง แคว้นลับแล ให้สำเร็จ

ในขณะที่ เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) มีพระราชโอรส และ พระราชธิดา กับ พระนางไม้หยูก หลายพระองค์ เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) ได้รับความรู้จาก ท้าวพรหมทัศน์ ในการปกครอง และสร้างบ้านแปลงเมือง รอบๆ แคว้นพรหมทัศน์(ยะลา) มีการจัดระบบการปกครอง รูปแบบใหม่ ไม่เหมือนกับ อาณาจักรหนานเจ้า จนกระทั่งต่อมา เชื้อสายราชวงศ์ท้าวชัยเทศ และ สายราชวงศ์เจ้ามรรคขุน ได้สมรสเกี่ยวดองกัน จนเติบใหญ่ เรียกว่า สายราชวงศ์นาคน้ำ สามารถปกครองบ้านเมือง ได้ดีแล้ว หลังจากนั้น เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) ก็ตัดสินพระทัย เดินทางกลับดินแดน อาณาจักรหนานเจ้า ตามเส้นทางบก ตามแนวชายฝั่งทะเลตะวันออก(อ่าวไทย) เมื่อมุ่งหน้า สู่แม่น้ำโขง

ส่วน ท้าวพรหมทัศน์ เมื่อเสร็จพาระกิจ ในการสร้าง รัฐนาคน้ำ สำเร็จแล้ว ก็ ทรงพญาครุฑ บินกลับไปยังสรวงสวรรค์ หายลับไปกับตา สายราชวงศ์แห่งรัฐนาคน้ำ จึงถูกเรียกชื่อ อีกชื่อหนึ่งว่า สายราชวงศ์พญาครุฑ ในเวลาต่อมา ด้วย

 

ท้าวไชยทัศน์(เจ้าชายตา) พบแหล่งทองคำขนาดใหญ่ ณ เมืองครหิต

ในระหว่างที่ เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) พร้อม เจ้ามรรคขุน และไพร่พล ได้เดินทางกลับไปยังอาณาจักรหนานเจ้า โดยเดินทางไปตามริมชายฝั่งทะเลตะวันออก พร้อมกับการสำรวจดินแดนไปด้วย นั้น เมื่อเดินทางมาถึงท้องที่ ภูเขาคันธุลี คือท้องที่ ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) ได้พบทองคำ จำนวนมาก ซึ่งชนพื้นเมืองแขกดำ ยังไม่รู้จักใช้ทองคำ มาใช้เป็นประโยชน์ ส่วนชนชาติอ้ายไต รู้จักใช้ทองคำไปสร้างโลหะสัมริด มานานแล้ว เจ้าชายตา จึงนำไพร่พลขุดหาทองคำใน คลองคำ(คลองหิต) นำติดตัว เดินทางเลียบชายฝั่งทะเลตะวันออก เข้าสู่ เมืองลับแล

เมื่อ เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) เดินทางมาถึง เมืองลับแล ก็มอบให้ เจ้ามรรคขุน กับ พระนางหยุงทอง ซึ่งถือว่า เป็น สายราชวงศ์นาคดิน พร้อม พระราชโอรส พระราชธิดา และไพร่พล ร่วมกันสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นใหม่ ทำให้ เมืองลับแล กลายเป็นแว่นแคว้นทางทิศเหนือ แว่นแคว้นแรก ในดินแดน แผ่นดินสุวรรณภูมิ ของเชื้อสายเจ้าอ้ายไต เรียกว่า แคว้นลับแล(อุตรดิตถ์) หลังจากนั้น เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) พร้อมไพร่พล ก็เดินทางกลับตามเส้นทางเดิม โดยเดินทางไปตามเส้นทางแม่น้ำโขง และมุ่งหน้า เดินทางสู่ เมืองหนองแส อาณาจักรหนานเจ้า พบว่า โอรสของ พระองค์ คือ เจ้าตาจ้วง เติบโตเป็นหนุ่มใหญ่ มีพระราชโอรส ๒ พระองค์ คือ เจ้าคำผา และ เจ้าเหงียนคำ นับเป็นการเดินทางสำรวจดินแดนสุวรรณภูมิ ของ เจ้าชายตา เสร็จสิ้น ซึ่งสันนิษฐานว่า ใช้เวลาในการเดินทางสำรวจดินแดนสุวรรณภูมิ และเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ตามที่กล่าวมา เป็นเวลาทั้งสิ้น ประมาณ ๓๐-๔๐ ปี

เมื่อ เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) พร้อมไพร่พล เดินทางกลับถึง เมืองหนองแส อันเป็นเมืองนครหลวง ของ อาณาจักรหนานเจ้า และมีทองคำจำนวนมาก ซึ่งได้นำไปถวาย แด่ พระเจ้าเหา พระราชบิดา อีกด้วย จึงเป็นที่มาให้ พระเจ้าเหา ทราบว่า มีดินแดนที่มีแหล่งทองคำอย่างมากมาย และ ยังเป็นดินแดนที่มีแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ จึงเป็นที่มาให้ พระเจ้าเหา รับสั่งให้ เจ้าชายตา(ท้าวไชยทัศน์) พร้อม เจ้าตาจ้วง พระราชโอรส ทำการอพยพไพร่พล เดินทางมาสร้าง แคว้นคำ(แคว้นคลองหิต) เพื่อทำการขุดหาทองคำ และ เพื่อร่วมกันสร้างบ้านแปลงเมือง ในดินแดนสุวรรณภูมิ ส่งผลให้เกิดการตื่นทอง ครั้งใหญ่ ในเวลาต่อมา

เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) เป็นกษัตริย์พระองค์แรก ของ ผู้ปกครอง แคว้นคำ(แคว้นคลองหิต) และต้องส่งส่วยทองคำปีละ หนึ่งแสนขัน ให้กับ อาณาจักรหนานเจ้า เจ้าชายตา(ท้าวชัยทัศน์) และ พระนางไม้หยูก จึงเป็น ต้นราชวงศ์นาคฟ้า ของ กษัตริย์ผู้ปกครองดินแดน แคว้นคำ(แคว้นคลองหิต) สืบทอดราชวงศ์ เรื่อยมาจนถึง ท้าวตาจ้วง เรียกว่า แคว้นคำ เป็นรัฐเมืองขึ้น ของ อาณาจักรหนานเจ้า

ต่อมา ท้าวตาจ้วง ได้ไปปกครอง แคว้นไตจ้วง(กวางตุ้ง) เมื่อท้าวไชยทัศน์ สวรรคต เจ้าคำผา เป็นผู้ปกครอง แคว้นคำ กรุงครหิต(คันธุลี) ในรัชกาลถัดมา ส่วนสายราชวงศ์เจ้ามรรคขุน หรือ ราชวงศ์นาคดิน กรุงลับแล มี เจ้าขุนเยอ พระราชโอรสของ เจ้ามรรคขุน ปกครอง แคว้นนาคดิน ในรัชกาลต่อมา ส่วนสายราชวงศ์ท้าวชัยเทศ หรือ ราชวงศ์นาคน้ำ มี เจ้าคำฟ้า พระราชโอรส เป็นผู้สืบทอดราชย์สมบัติปกครอง แคว้นนาคน้ำ กรุงพรหมทัศน์(ยะลา) ในรัชกาลถัดมา พระราชโอรสอีกพระองค์หนึ่งของ ท้าวตาจ้วง คือ เจ้าเหงียนคำ เป็นผู้สร้าง แคว้นเหงียนก๊ก(เวียตนาม) ขึ้นมาด้วย อาณาจักรคำ ที่เกิดขึ้นในดินแดนสุวรรณภูมิ จึงประกอบด้วย แคว้นนาคน้ำ(ยะลา) แคว้นนาคฟ้า(ครหิต) แคว้นนาคดิน(ลับแล) และ แคว้นเหงียนก๊ก(เวียตนาม) เกิดกระบวนการพัฒนา สร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นมาในดินแดนสุวรรณภูมิ เรื่อยมา

 จนกระทั่งประมาณ ๑,๒๐๐ ปี ก่อนพุทธกาล กษัตริย์ปกครอง แคว้นนาคดิน ได้สืบทอดมาถึง ขุนฟ้าแสงดินขุนเยอ แคว้นนาคดิน ได้ขยายตัวเข้าสู่ดินแดนภาคอีสาน ราชธานี ได้ย้ายจาก เมืองลับแล ไปตั้งใหม่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ใกล้กับเมืองท่าอุเทน ในปัจจุบัน ส่วน แคว้นไตจ้วง ราชวงศ์เหงียนคำ ได้สืบทอดราชวงศ์มาถึง เจ้าภูรา แคว้นไตจ้วง ได้พัฒนาเป็น อาณาจักรไตจ้วง(กวางตุ้ง กวางเจา กวางสี และ ตาเกี๋ย) เป็นประเทศราช ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า

 ส่วน สายราชวงศ์นาคน้ำ ได้สืบทอดสายราชวงศ์มาถึง เจ้าเช็งจาฟ้าฟ้าคำ ได้ปกครองประชาชนในดินแดน แคว้นนาคน้ำ เกาะสุวรรณภูมิ ประมาณ ๘๐๐,๐๐๐ คน ส่วน สายราชวงศ์นาคฟ้า กรุงครหิต(คันธุลี) ได้สืบทอดสายราชวงศ์มาถึง เจ้าเชียงคำผา ซึ่งขณะนั้น ประชาชน ของ ดินแดนแคว้นนาคฟ้า คือ แผ่นดินสุวรรณภูมิ มีมากถึงประมาณ ๘,๐๐๐,๐๐๐ คน แคว้นนาคฟ้า ได้พัฒนากลายเป็น อาณาจักรนาคฟ้า เป็นประเทศราช ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า เช่นเดียวกัน ได้สืบทอดสายราชวงศ์มาถึง สมัย ท้าวโกศล จึงได้เกิดเหตุความไม่สงบขึ้นมาในดินแดนสุวรรณภูมิ และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่  

 

อาณาจักร ของ ชนชาติอ้ายไต ในดินแดนสุวรรณภูมิ สมัย โลศักราช

เชื่อกันว่า อาณาจักรสุวรรณภูมิ เกิดขึ้นเมื่อ ปีโลศักราชที่ ๑§-6 หรือเมื่อ ๑,๑๙๐ ปี ก่อนพุทธศักราช อาณาจักรสุวรรณภูมิ เกิดขึ้นในสมัย ของ ท้าวโกศล ได้ประกาศเอกราช ณ เมืองทองแสนขัน จ.อุตรดิษถ์ ในปัจจุบัน เพื่อแยกตัวออกจาก มหาอาณาจักรหนานเจ้า ของ ชนชาติอ้ายไต เนื่องจาก ไม่พอใจที่ชนชาติอ้ายไต ในดินแดนสุวรรณภูมิ ถูกบังคับให้ต้องส่งส่วย ทองคำ ปีละ ๑๐๐,๐๐๐ ขัน ให้กับ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ในช่วงเวลาดังกล่าว ราชธานี ของ อาณาจักรสุวรรณภูมิ ตั้งอยู่ที่ เมืองครหิต(คันธุลี) จนกระทั่งในสมัยของ ท้าวพญาฆา จึงมีเรื่องราวของ พระกฤษณะ คือ ภพชาติหนึ่ง ของ จตุคามรามเทพ เข้ามาเกี่ยวข้องกับ อาณาจักรสุวรรณภูมิ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อีกครั้งหนึ่ง

       มีเรื่องราวโดยสังเขปว่า ในสมัยของ ท้าวโกศล นั้น ตำนานท้องที่คันธุลี ได้เล่าเรื่องราวการลำเลียงทองคำ หนึ่งแสนขัน ใกล้เคียงกับเรื่องราวตำนานท้องที่ของ เมืองลับแล จ.อุตรดิตถ์ ในปัจจุบัน สรุปเนื้อหาได้ว่า ในสมัยที่ "มหาราชาท้าวกาน" หรือ "ท้าวตากาน" เป็นมหาราชาปกครอง มหาอาณาจักรหนานเจ้า ของ ชนชาติอ้ายไต นั้น ขณะนั้น ราชา "ท้าวโกศล" ซึ่งสืบทอดเชื้อสายมาจากสายราชวงศ์นาคฟ้า มาจาก เจ้าเชียงคำผา ซึ่งสืบทอดต่อเนื่องมาจาก สายราชวงศ์ ท้าวชัยทัศน์ กับ พระนางจิว เป็นผู้ปกครอง อาณาจักรคำ มีศูนย์กลางอำนาจรัฐอยู่ที่ กรุงคำ หรือ กรุงคลองหิต(ครหิต) ตามตำนานกล่าวว่า มีการขุดหาทองคำที่เมืองคลองหิต อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบเป็นส่วยให้กับ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ในรัชสมัย มหาราชาท้าวกาน เป็นประเพณี สืบทอด ต่อเนื่องกันมา

เนื่องจาก มหาราชาท้าวกาน แห่ง อาณาจักรหนานเจ้า ได้มอบให้ไพร่พลของพระองค์ ที่มาลำเลียงทองคำแสนขัน กวาดต้อนชนพื้นเมืองแขกดำ หลายชนเผ่า จากท้องที่ต่างๆ มาเป็นข้าทาส เพื่อให้ไปเป็นแรงงานลำเลียง ทองคำหนึ่งแสนขัน เป็นที่มาให้ชนพื้นเมืองแขกดำ หลายชนเผ่า ลุกขึ้นต่อสู้ ลอบทำร้ายชนชาติอ้ายไต บ้านเมืองของชนชาติอ้ายไต แห่ง อาณาจักรคำ กรุงคลองหิต(ครหิต) ในดินแดนสุวรรณภูมิ ไม่สามารถอยู่ได้อย่างสงบสุข มหาราชาท้าวโกศล พยายามปราบปราม แต่ยิ่งปราบปราม ก็ยิ่งเกิดการต่อสู้ขยายตัว ออกไปเรื่อยๆ

การลุกขึ้นต่อสู้ของชนพื้นเมืองแขกดำ หลายเผ่าพันธุ์ ในดินแดนสุวรรณภูมิ ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น ระหว่าง"มหาราชาท้าวกาน" แห่ง มหาอาณาจักรหนานเจ้า กับ "มหาราชท้าวโกศล" แห่ง อาณาจักรคำ ทำให้อาณาจักรของชนชาติไทย ต้องแบ่งแยกออกเป็น ๒ อาณาจักร และมีมหาราชาปกครอง ๒ พระองค์ มีเมืองนครหลวงอยู่ ๒ เมือง และมีการแบ่งแยกเขตแดนกันปกครอง เป็นที่มาให้เกิดอาณาจักรไทย ที่มีเอกราช เกิดขึ้นมาในดินแดนสุวรรณภูมิ อย่างจริงจัง เรียกว่า อาณาจักรสุวรรณภูมิ มีเมืองนครหลวงอยู่ที่ กรุงคลองหิต(ครหิต) ตั้งแต่ สมัย ท้าวโกศล เป็นต้นมา

หลังจากที่ ท้าวโกศล แห่ง อาณาจักรสุวรรณภูมิ ได้ประกาศเอกราช แยกตัวออกมาปกครองอิสระ จาก มหาอาณาจักรหนานเจ้า แล้ว การสร้างบ้านแปลงเมือง และแว่นแคว้นต่างๆ ของชนชาติอ้ายไต ในดินแดนสุวรรณภูมิ ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ เมื่อมีชนชาติอ้ายไต อพยพหนีภัยสงคราม มาจาก มหาอาณาจักรหนานเจ้า ก็ยิ่งทำให้แว่นแคว้นต่างๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยมา จนกระทั่ง มาถึงสมัยที่ พระกฤษณะ ได้นำศาสนาพราหมณ์ ลัทธิพระกฤษณะ มาเผยแพร่ แว่นแคว้นต่างๆ 

เพิ่มขึ้นเรื่อยมา จนกระทั่ง มาถึงสมัยที่ พระกฤษณะ ได้นำศาสนาพราหมณ์ ลัทธิพระกฤษณะ มาเผยแพร่ แว่นแคว้นต่างๆ จึงเกิดขึ้น อย่างรวดเร็ว ราชวงศ์ท้าวโกศล ได้สืบทอดสายราชวงศ์ มาถึงสมัย ท้าวพญาฆา จึงเกิดเรื่องราวของ พระกฤษณะ ภพชาติหนึ่ง ของ จตุคามรามเทพ เข้ามาเกี่ยวข้องกับ ดินแดนสุวรรณภูมิ ด้วย

Visitors: 47,291