บทที่ ๒ รัฐของชนชาติไทย สมัยสหราชอาณาจักรเทียน

      มหาจักรพรรดิท้าวกูเวร เป็นผู้ประกาศตั้ง สหราชอาณาจักรเทียน ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๓๐๔ เนื่องจาก พระเจ้าสุมิตร(ท้าวหารคำ) ซึ่งเป็น พระเจ้าหลานเธอ ของ พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นผู้นำระบบการปกครองแบบ สหราชอาณาจักร มาใช้กับรัฐของชนชาติอ้ายไต ในดินแดนสุวรรณภูมิ พระเจ้าสุมิตร ได้มาอภิเษกสมรส กับ เจ้าหญิงเชื้อสายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต คือ พระนางเชียงเม่งกุ้ย แห่ง เมืองมิถิลา(ไชยา) มีพระราชโอรส ๓ พระองค์ คือ เจ้าชายนกหยก , เจ้าชายม้าทอง และ เจ้าชายข้าวเปล่า ทั้ง ๓ พระองค์ กลายเป็นปฐมวงศ์ ของ ราชวงศ์โคตะมะ หรือ ราชวงศ์โคมะ หรือ ราชวงศ์ขอม ของ ชนชาติอ้ายไต ในเวลาต่อมา

                           

ภาพที่-๑๙ พระพิมพ์ดินดิบ มหาจักรพรรดิท้าวกูเวร ขุดพบ ณ ถ้ำคูหา จ.ยะลา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๓ ด้านหลัง มีคาถาเยธัมมาฯ เขียนว่า "เยธัมมาเหตุปัปภวา เตสังเหตุงตถาคโต เตสัญจโยนิโรโธ เอวังวาทีมหาสมโณ" แปลความได้ว่า "ธรรมทั้งหลายมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตได้ตรัสถึงเหตุของธรรมเหล่านั้น เมื่อสิ้นเหตุของทุกข์ เหล่านั้น จึงดับทุกข์ได้ พระมหาสมณะ มีวาทะตรัสสอนเช่นนี้" คาถาเยธัมมาฯ เป็นหัวใจคำสอนของพระพุทธศาสนา แสดงว่า สหราชอาณาจักรเทียน ได้นำพระพุทธศาสนา มาใช้เป็นศาสนาประจำชาติ แล้ว

 

                                    โครงสร้างราชวงศ์เจ้าอ้ายไต ผู้ปกครอง อาณาจักรเทียน(นาคน้ำ)

                                                

 

                                                           

 

   ภาพที่-๒๐ แผนที่ดินแดนแว่นแคว้นต่างๆ ของ อาณาจักรเทียน สมัย สหราชอาณาจักรเทียน

 

 

                 โครงสร้างราชวงศ์โคตะมะ(ขอม) ผู้ปกครอง สหราชอาณาจักรเทียน

                                                          

 การปกครองของ สหราชอาณาจักรเทียน ระบบ ธรรมาธิปไตย

    พระเจ้าสุมิตร(ท้าวหารคำ) เป็นผู้นำวิชาการปกครอง ตามตำราอรรถศาสตร์ ของ เกาฎิลย์§-๑ ซึ่งกำเนิดขึ้นในสมัยพระเจ้าจันทร์คุปต์(พ.ศ.๒๒๒-๒๔๖) อินเดีย มาปรับปรุงดัดแปลงให้สอดคล้องกับการสร้างรัฐทางพระพุทธศาสนา รูปแบบ สหราชอาณาจักร มาแนะนำให้ จักรพรรดิท้าวกูเวร ใช้เป็นรูปแบบการปกครองชนชาติอ้ายไต ผู้ปกครองดินแดนสุวรรณภูมิ จึงเป็นที่มาของการเปลี่ยนชื่อ มหาอาณาจักรสุวรรณภูมิ เป็นชื่อใหม่ว่า สหราชอาณาจักรเทียน ตั้งแต่ปี พ.ศ.๓๐๔ เป็นต้นมา ทำให้ ดินแดนสุวรรณภูมิ ของ ชนชาติอ้ายไต ขยายตัวออกเป็น อาณาจักรต่างๆ อย่างรวดเร็ว

        การปกครองแบบสหราชอาณาจักร เป็นรูปการปกครองหนึ่งในระบบราชาธิปไตย มี พระธรรมนู(กฎมณเฑียรบาล) เป็นกฎหมายสูงสุด ของ สหราชอาณาจักรเทียน มี กฎหมายอาญา และ กฎหมายแพ่ง รองรับ พระธรรมนู โดยมี สภาปุโรหิต เป็นสภาสูงสุด ตำแหน่ง สมาชิกสภาปุโรหิต ส่วนใหญ่จะเป็นพระญาติผู้อาวุโส หรือ พระอาจารย์ ของ มหาจักรพรรดิ สภาปุโรหิต จึงมีอำนาจในการแต่งตั้ง หรือ ถอดถอน หรือ ลงโทษ ตำแหน่งสูงสุดในการปกครอง สหราชอาณาจักรเทียน คือตำแหน่ง มหาจักรพรรดิ , จักรพรรดิ และ นายก ได้ นอกจากนั้น ยังมี สภาโพธิ ซึ่งประกอบด้วย ภิกษุ หรือ ตาผ้าขาว ผู้สอบผ่านวิชาพระไตรปิฎก ในพระพุทธศาสนา เป็นสภาที่เป็นดุลถ่วงกับ สภาปุโรหิต อีกด้วย เพื่อควบคุมการใช้กฎหมาย ในอรรถคดีต่างๆ ให้ได้รับการตัดสินคดีความ สอดคล้องกับ พระธรรมคำสั่งสอน ของ พระพุทธองค์ เรียกว่า ยุติคดีอย่างมีศีลธรรม หรือ ยุติธรรม มิได้ยุติตามตัวหนังสือกฎหมาย ที่ใช้การตีความแตกต่างกันไป

       การปกครองระบบราชาธิปไตย รูปแบบ สหราชอาณาจักร นั้น ประกอบด้วย อาณาจักรต่างๆ หลายอาณาจักร แต่ละอาณาจักร ประกอบด้วยแว่นแคว้นต่างๆ ซึ่งปกครองโดย ราชา รวมกันตั้งแต่ ๓ แว่นแคว้นขึ้นไป มีอาณาเขตติดต่อกัน ตั้งอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิ รวมกันเรียกว่า อาณาจักร ซึ่งปกครองโดย มหาราชา เมื่อนำมารวมกัน เรียกว่า สหราชอาณาจักร มีตำแหน่งที่สำคัญ ๔ ตำแหน่ง คือ มหาจักรพรรดิ , จักรพรรดิ นายก และ มหาราช

      ตำแหน่ง มหาจักรพรรดิ(พระอินทร์) เป็นตำแหน่งสูงสุด ของ สหราชอาณาจักร เมืองที่ มหาจักรพรรดิ ทำหน้าที่บริหารงาน เรียกว่า เมืองมหาจักรพรรดิ หรือ ราชธานี หรือ เมืองหลวง ซึ่งเป็นคนละเมือง หรือ คนละแว่นแคว้น หรือ คนละอาณาจักร กับ เมืองจักรพรรดิ หรือ เมืองนายก ก็ได้ ดังนั้น เมื่อ มหาจักรพรรดิ รัชกาลหนึ่งๆ พ้นจากตำแหน่ง จักรพรรดิ จะขึ้นดำรงตำแหน่ง มหาจักรพรรดิ ตามที่กฎหมายพระธรรมนู กำหนด ทันที ตำแหน่ง นายก ก็จะถูกเลื่อนเป็นตำแหน่ง จักรพรรดิ ทันที เช่นกัน

       สภาปุโรหิต และ สภาโพธิ จะร่วมกันสรรหา ตำแหน่ง นายก ขึ้นใหม่ โดยคัดเลือกจาก มหาราชา จาก อาณาจักรต่างๆ ซึ่งเป็นสมาชิก ของ สหราชอาณาจักร มาดำรงตำแหน่ง ดังนั้น เมืองจักรพรรดิ ในรัชกาลที่แล้ว จะกลายเป็น เมืองมหาจักรพรรดิ หรือ ราชธานี ในรัชกาลใหม่ จะเห็นว่า การปกครองรูปแบบ สหราชอาณาจักร จะทำให้ เมืองราชธานี เปลี่ยนแปลงทุกรัชกาล สร้างความสับสนให้กับนักประวัติศาสตร์ ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ ชนชาติอ้ายไต ในดินแดนสุวรรณภูมิ เป็นอย่างมาก

         มหาจักรพรรดิ(พระอินทร์) คือ ผู้ที่มีความรอบรู้ และ ผู้มีประสบการณ์ ทุกๆ ด้าน ถือเป็น จอมทัพ มีบทบาทภาระหน้าที่ กำหนด แนวทาง นโยบาย และติดตามการบริหารงาน การทำสงคราม ของ จักรพรรดิ และ นายก ในการบริหารงานทั่วทั้ง สหราชอาณาจักร ให้เป็นไปตามแนวทางนโยบายที่กำหนด เมื่อ มหาจักรพรรดิ สวรรคต ถือเป็นเทพชั้น พระอินทร์ ในภาวะปกติ ตำแหน่งของ มหาจักรพรรดิ จะต้องพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษา เพื่อไปดำรงตำแหน่ง สมาชิก ของ สภาปุโรหิต โดยตำแหน่ง ทันที

          จักรพรรดิ(พระพรหม) คือ ผู้มีความสามารถทางการทหาร และ การบริหารงาน เคยผ่านงานในตำแหน่ง นายก มาก่อน จึงมีหน้าที่ควบคุม กองทัพหลัก ของ สหราชอาณาจักร ในการรักษาเขตแดน ป้องกันการรุกรานของต่างชาติ และ ทำสงครามปราบปรามข้าศึก นอกจากนั้น จักรพรรดิ ยังทำหน้าที่ ติดตาม ควบคุม และให้คำแนะนำช่วยเหลือการบริหารงาน ของ นายก อีกด้วย ถ้าหากว่า จักรพรรดิ พระองค์ใด สวรรคต ก่อนที่ มหาจักรพรรดิ จะพ้นตำแหน่ง ด้วยเหตุใดก็ตาม จักรพรรดิ จะได้รับการยกย่องเป็นเทพ ชั้น พระพรหม ในภาวะปกติ เมื่อ มหาจักรพรรดิ พ้นจากตำแหน่ง จักรพรรดิ จะขึ้นสู่ตำแหน่ง มหาจักรพรรดิ ตามที่กฎหมายพระธรรมนู กำหนดให้ต้องปฏิบัติ ทันที ดังนั้น เมืองจักรพรรดิ จะกลายเป็น เมืองมหาจักรพรรดิ หรือ ราชธานี ทันที เว้นแต่ จักรพรรดิ พระองค์นั้น เสด็จไปใช้ ราชธานี เดิม ของ มหาจักรพรรดิ เป็น ราชธานี ก็ได้

        นายก(พระยม) คือ ผู้ควบคุมการบริหารงาน ๓ องค์กรใหญ่ คือ สมุหนายก , สมุหกลาโหม และ ศาลยุติธรรม ให้เป็นไปตามแนวทางนโยบายที่กำหนด เมื่อสวรรคต นายก จะถูกจัดชั้นเทพให้เป็น พระยม ส่วนในภาวะปกติ เมื่อ จักรพรรดิ พ้นจากตำแหน่ง นายก จะขึ้นสู่ตำแหน่ง จักรพรรดิ ตามที่กฎหมายพระธรรมนู กำหนดให้ต้องปฏิบัติ ทันที ส่วนตำแหน่ง นายก พระองค์ใหม่ สภาปุโรหิต และ สภาโพธิ จะร่วมกันคัดเลือกจาก มหาราชา ของ อาณาจักร ต่างๆ มาแทนที่ ทันที เช่นกัน

     มหาราชา(พระนารายณ์) คือ ผู้ปกครอง อาณาจักรต่างๆ ซึ่งเป็นสมาชิก ของ สหราชอาณาจักร ให้เป็นไปตามแนวทางนโยบาย ที่กำหนด เมื่อสวรรคต จะถูกจัดชั้นเทพเป็น พระนารายณ์ ตำแหน่ง มหาราชา จะต้องปลดเกษียรเมื่อมีพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษา กลายเป็นสมาชิก ของ สภาปุโรหิต โดยตำแหน่ง เช่นเดียวกัน ส่วน มหาราชา ที่มีทั้งคุณธรรม และ ความสามารถ จะถูกคัดเลือกให้ไปดำรงตำแหน่ง นายก นอกจากนี้ ยังมีตำแหน่งรองจาก มหาราชา อีก ๒ ตำแหน่ง ในการปกครอง อาณาจักรต่างๆ คือ ตำแหน่ง มหาอุปราช(ท้าวเวสสุวัณ) และตำแหน่ง รัฐนายก(ท้าวชัยมงคล) ส่วนตำแหน่งรองลงมา คือ พระราชา และ พระราชินี ของ แว่นแคว้นต่างๆ จะถูกเรียกว่า ขุนเมือง และ ขุนวัง ตามลำดับ 

     ราชธานี ของ สหราชอาณาจักรเทียน ในระยะเริ่มต้น ตั้งอยู่ที่ เมืองเทียน(ยะลา) และเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ไปอยู่ที่ เมืองมิถิลา(ไชยา) เมืองคามลังกา(จันทบุรี) เมืองราชคฤห์(โพธาราม-ราชบุรี) , เมืองโพธิสาร(พุนพิน-สุราษฎร์ธานี) และย้ายกลับมายัง เมืองเทียน(ยะลา) อีกครั้งหนึ่ง ซึ่ง เมืองเทียน(ยะลา) ได้เปลี่ยนชื่อเป็น เมืองเทียนสน(ยะลา) อีกครั้งหนึ่ง ในปลายสมัย ของ สหราชอาณาจักรเทียน

      ในรัชสมัยต่างๆ ของ สหราชอาณาจักรเทียน คือเหตุการณ์ระว่างปี พ.ศ.๓๐๔-๖๒๓ นั้น มี มหาจักรพรรดิ ราชวงศ์เจ้าอ้ายไต ทำการปกครอง ๒ ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์ขุนหลวง และ ราชวงศ์โคตะมะ(ขอม) ในระยะเริ่มต้น สหราชอาณาจักรเทียน ประกอบด้วยอาณาจักรต่างๆ จำนวน ๔ อาณาจักร คือ อาณาจักรเทียน(อาณาจักรนาคน้ำ) , อาณาจักรนาคฟ้า(ภาคใต้ตอนบน ภาคกลาง และ ภาคเหนือ) , อาณาจักรนาคดิน(ภาคอีสาน และ เขมร) และ อาณาจักรจุลนี(เวียตนาม) ต่อมาได้กำเนิด อาณาจักร ต่างๆ ของ สหราชอาณาจักรเทียน เพิ่มขึ้นอีก ๓ อาณาจักร คือ  อาณาจักรชวาทวีป(ภาคใต้ตอนบน) , อาณาจักรคามลังกา(เขมร) และ อาณาจักรสุวรรณโคมคำ(ภาคเหนือ) โดยมี มหาจักรพรรดิ รัชกาลต่างๆ ปกครอง สหราชอาณาจักรเทียน ทั้งหมด ๑๒ รัชกาล ดังตารางข้างล่าง

 

            

          

 

     ในสมัย สหราชอาณาจักรเทียน มีเหตุการณ์สำคัญ และ สาระสำคัญ ที่เกิดขึ้นในดินแดนสุวรรณภูมิ และ ดินแดนเกษียรสมุทร ซึ่งได้นำข้อมูลมาจากหนังสือ สยามประเทศมิได้เริ่มต้นที่สุโขทัย ตอน สมัย สหราชอาณาจักรเทียน ของ นายเสนีย์อนุชิต ถาวรเศรษฐ มีเรื่องราวโดยสรุป ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป

 

 

                                               

ภาพที่-๒๑ แสดงที่ตั้งอาณาจักรต่างๆ ในดินแดนสุวรรณภูมิ ของ สหราชอาณาจักรเทียน คือ อาณาจักรเทียน , ชวาทวีป , นาคฟ้า , นาคดิน , สุวรรณโคมคำ , คามลังกา , จุลนี และ เก้าเจ้า

 

ความเป็นมา ของ สหราชอาณาจักรเทียน

  เนื่องจาก จักรพรรดิท้าวกู เป็นกษัตริย์ชนชาติไทย ราชวงศ์ขุนหลวง พระองค์แรก ผู้นับถือ พระพุทธศาสนา เป็นเหตุให้ ท้าวกูเวร ซึ่งเป็นพระราชโอรส นับถือพระพุทธศาสนา ตามไปด้วย และด้วยความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่าง จักรพรรดิท้าวกู กับ พระเจ้าอโศกมหาราช§- ซึ่งได้เสด็จมาจาริกแสวงบุญ เคารพรอยพระบาท ของ จตุคามรามเทพ ในภพชาติ พระกฤษณะ ซึ่งเชื่อว่า เป็นอดีตชาติ ของ พระพุทธองค์ ณ ภูเขานางเอ เมืองมิถิลา(ไชยา) เป็นที่มาให้ พระเจ้าอโศกมหาราช ได้จัดส่งนักวิชาการจากอินเดีย โดยมี เจ้าชายสุมิตร(หารคำ) ซึ่งเป็นพระเจ้าหลานเธอ เป็นหัวหน้าทีม เพื่อช่วยปรับปรุงระบบการปกครอง ของ มหาอาณาจักรสุวรรณภูมิ ให้ทันสมัย ยิ่งขึ้น ดังนั้นเมื่อ จักรพรรดิท้าวกู สละราชย์สมบัติ เป็นประธานสภาปุโรหิต ท้าวกูเวร จึงสร้างรัฐทางพระพุทธศาสนา ขึ้นมาในดินแดนสุวรรณภูมิ เรียกชื่อว่า สหราชอาณาจักรเทียน มีราชธานีอยู่ที่ เมืองเทียน คือท้องที่ จ.ยะลา ในปัจจุบัน

     เนื่องจาก ในดินแดนสุวรรณภูมิ มีสำนักสงฆ์มาก่อนแล้ว คือสำนักสงฆ์ ภูเขาภิกษุ(ภูเขาชวาลา) เมืองครหิต(คันธุลี) ซึ่งตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่ไม่ได้รับการสนับสนุน จากสถาบันกษัตริย์ มาก่อน เมื่อกำเนิด สหราชอาณาจักรเทียน ขึ้น สำนักสงฆ์ภูเขาภิกษุ ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันกษัตริย์ ของ สหราชอาณาจักรเทียน เป็นครั้งแรก

      ดังนั้นในปี พ.ศ.๓๐๑ เมื่อพระสมณะทูต พระโสณเถระ และ พระอุตมะเถระ ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราช ส่งมาเป็นพระธรรมทูต มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ§- นั้น ภิกษุทั้งสองรูป ได้มาจำพรรษา ณ ภูเขาภิกษุ(ภูเขาชวาลา) ในระยะแรกๆ และต่อมา พระภิกษุ ได้ร่วมกัน สร้างวัดแห่งแรกขึ้นมาในดินแดนสุวรรณภูมิ ณ เมืองเทียน(ยะลา) แคว้นพรหมทัศน์ อันเป็นราชธานี เรียกชื่อว่า วัดถ้ำคูหา ซึ่งตั้งอยู่ในท้องที่ จ.ยะลา ในปัจจุบัน และต่อมาได้กำเนิด วัดโพธาราม ขึ้นมาเป็นวัดที่สองในดินแดนของ อาณาจักรนาคฟ้า และ กำเนิด วัดพระยันตระ ขึ้นเป็นวัดที่สาม ขึ้นมาในดินแดน เมืองคามลังกา(จันทบุรี) จนกระทั่งต่อมา ได้กำเนิดวัดทางพระพุทธศาสนา ขึ้นมาในดินแดนราชธานี ของ อาณาจักร และ แว่นแคว้นต่างๆ อย่างรวดเร็ว ยกเว้น ดินแดนภาคใต้ตอนบนที่ศาสนาพราหมณ์ ยังคงมีอิทธิพล มาก

 

                                                              

ภาพที่-๒๒ ภาพถ่าย บันไดทางขึ้น วัดถ้ำคูหา ซึ่งเชื่อว่า เป็นวัดแห่งแรก ที่ถูกสร้างขึ้นในดินแดนสุวรรณภูมิ ณ เมืองเทียน(ยะลา) อาณาจักรเทียน(นาคน้ำ) เป็นศูนย์กลางการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ในสมัย สหราชอาณาจักรเทียน บริเวณใกล้เคียงกับวัดฯ มีการสร้างมหาวิทยาลัยโพธิ์นารายณ์ ขึ้นมาเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรก ในดินแดนสุวรรณภูมิ ด้วย

 

 

 

(๑) สมัย มหาจักรพรรดิท้าวกูเวร กรุงเทียน(ยะลา)

        ในรัชสมัยของ มหาจักรพรรดิท้าวกูเวร(พ.ศ.๓๐๔-๓๓๗) กรุงเทียน(ยะลา) มี ท้าวเชียงแมนสม แห่ง แคว้นมิถิลา(ไชยา) ดำรงตำแหน่ง จักรพรรดิ และมี ท้าวหารคำ(พระเจ้าสุมิตร) แห่ง แคว้นครหิต(คันธุลี) ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุ ๒๕ พรรษา ได้ดำรงตำแหน่ง นายก ราชธานีของ สหราชอาณาจักรเทียน ตั้งอยู่ที่ เมืองโพธิ์นารายณ์(ยะลา) แคว้นเทียน อาณาจักรเทียน(นาคน้ำ)

  ในรัชกาลนี้ เป็นการสร้างความมั่นคงในรูปแบบการปกครองใหม่ ในระบบราชาธิปไต แบบ สหราชอาณาจักร ได้กำเนิด มหาวิทยาลัยโพธิ์นารายณ์ ขึ้นมาในบริเวณวัดถ้ำคูหา เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรก ในดินแดนสุวรรณภูมิ มีการศึกษาเช่นเดียวกันกับ มหาวิทยาลัยตักกะศิลา ในดินแดนชมพูทวีป มหาวิทยาลัยโพธิ์นารายณ์ เป็นแหล่งให้การศึกษาแก่เชื้อสายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต และกลายเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา ในดินแดนสุวรรณภูมิ ออกไปสู่ มหาอาณาจักรหนานเจ้า และ มหาอาณาจักรจีน อีกด้วย

 

การอพยพของ ชนชาติอ้ายไต เข้าสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ

       ในรัชกาลของ มหาจักรพรรดิท้าวกูเวร นั้น ฉินซีฮ่องเต้ แห่ง มหาอาณาจักรจีน สามารถยกกองทัพเข้ายึดครอง แคว้นเสฉวน ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ได้สำเร็จ เมื่อปี พ.ศ.๓๒๐ พร้อมกับสั่งให้ทำลายเอกสารทางประวัติศาสตร์ ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ซึ่งเป็นรัฐของ ชนชาติไตทั้งหมด และในปี พ.ศ.๓๒๒ กองทัพของ มหาอาณาจักรจีน สามารถทำสงครามยึดครอง แคว้นไตจ้วง(กวางตุ้ง , กวางสี , กวางเจา และ ตังเกี๋ย) อีกรัฐหนึ่งของ ชนชาติอ้ายไต เป็นผลสำเร็จแล้วเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นเย่ว ส่งผลให้ชนชาติอ้ายไต อพยพเข้ามาตั้งรกรากในดินแดนสุวรรณภูมิ ครั้งใหญ่ อีกครั้งหนึ่ง

       ผลจากการอพยพของชนชาติไต สมัยฉินซีฮ่องเต้ ระหว่างปี พ.ศ.๓๒๐-๓๓๐ ทำให้เกิดแว่นแคว้นใหม่ๆ ของ สหราชอาณาจักรเทียน ขึ้นมาในช่วงเวลาดังกล่าว จำนวนมาก เช่น แคว้นไตปิง(ไทรบุรี) , แคว้นพี่นาง(เกาะปีนัง) , แคว้นตาโกปา(ตะกั่วป่า-พังงา) , แคว้นตาโกทุ่ง(พังงา) , แคว้นแมนจูเจ้าแปด(ยะโฮ) และ แคว้นแมนจูเจ้าเก้า(มะละกา) เป็นต้น

     ชนชาติอ้ายไต ซึ่งอพยพเข้ามาตั้งรกรากในดินแดนสุวรรณภูมิ ได้หันมานับถือพระพุทธศาสนา ต่อมา ชนชาติอ้ายไต ผู้นับถือพระพุทธศาสนา ได้นำพระพุทธศาสนา ไปเผยแพร่สู่ญาติพี่น้อง ยังดินแดนของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า และดินแดนของชนชาติอ้ายไต ซึ่งถูก มหาอาณาจักรจีน ทำสงครามยึดครองไป ทำให้พระพุทธศาสนา เผยแพร่สู่ดินแดน ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า และ มหาอาณาจักรจีน อย่างรวดเร็ว

       ส่วนชนชาติไต ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า คงเหลืออยู่ในดินแดน แคว้นหนานเจ้า(หนองแส) แคว้นยืนนาน(ยูนนาน) แคว้นสิบสองพันนา แคว้นฉาน(ไทยใหญ่) และ แคว้นอ้ายลาว เป็นต้น ส่วนแคว้นไหหลำ(เกาะไหหลำ) ไม่เชื่อมั่นการคุ้มครองของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า จึงเปลี่ยนเป็นรัฐมาขึ้นต่อการปกครองของ สหราชอาณาจักรเทียน แทนที่ ซึ่งเป็นที่มา ของ สงครามแย่งชิงดินแดน อาณาจักรไตจ้วง กลับคืน คือสงครามระหว่าง สหราชอาณาจักรเทียน กับ มหาอาณาจักรจีน ในเวลาต่อมา อีกครั้งหนึ่ง คือ สงครามโคมคำ และ สงครามโชกโชน ในเวลาต่อมา นั่นเอง

 

                                           

 ภาพที่-๒๓ ภาพสลักเรื่องราวของ มหาจักรพรรดิท้าวกูเวร ทรงคชสีห์ มหาจักรพรรดิ พระองค์แรก ของ สหราชอาณาจักรเทียน ผู้ปกครองดินแดนสุวรรณภูมิ ปรากฏบริเวณ กลีบขนุน ของ ปราสาทด้านทิศเหนือ ของ ปราสาทประธาน ของ ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง

 

      ในปลายรัชกาลของ มหาจักรพรรดิท้าวกูเวร พระองค์ได้สละราชย์สมบัติออกผนวช เมื่อมีพระชนมายุ ๘๐ พรรษา จนกลายเป็นราชประเพณี ต่อๆ มา ดังนั้น เมื่อ มหาจักรพรรดิท้าวกูเวร เสด็จสวรรคต จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพชั้น พระอินทร์ พระองค์หนึ่ง ซึ่งประชาชนในดินแดนสุวรรณภูมิ เคารพนับถือ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน 

 

  

(๒) สมัย มหาจักรพรรดิท้าวหารคำ กรุงครหิต(คันธุลี)

       เมื่อ มหาจักรพรรดิท้าวกุเวร สละราชย์สมบัติออกผนวช จักรพรรดิท้าวหารคำ(พระเจ้าสุมิตร) ซึ่งมีพระชนมายุ ๕๙ พรรษา ได้ทำพิธีมหาบรมราชาภิเษก ขึ้นครองราชย์สมบัติ(พ.ศ.๓๓๗-๓๕๘) เป็น มหาจักรพรรดิ ของ สหราชอาณาจักรเทียน กรุงครหิต(คันธุลี) ตามที่กฎหมายพระธรรมนู กำหนด มีพระนามว่า มหาจักรพรรดิท้าวหารคำ(พระเจ้าสุมิตร) เมื่อประมาณปี พ.ศ.๓๓๗ โดยมี เจ้าม้าทอง พระราชโอรสพระองค์โต แห่ง แคว้นคามลังกา(จันทบูรณ์) ดำรงตำแหน่งเป็น จักรพรรดิ และมี เจ้าทองเก พระราชโอรสของ จักรพรรดิเจ้าม้าทอง แห่ง กรุงคามลังกา(จันทบูรณ์) ดำรงตำแหน่งเป็น นายก แสดงให้เห็นว่า ราชวงศ์โคตะมะ(ขอม) มีบทบาทในการปกครองดินแดนสุวรรณภูมิ อย่างเต็มที่ เป็นเหตุให้ พระพุทธศาสนา ขยายตัวในดินแดนสุวรรณภูมิ อย่างรวดเร็ว

       บทบาท ของ มหาจักรพรรดิท้าวหารคำ(พระเจ้าสุมิตร) กรุงครหิต(คันธุลี) และ จักรพรรดิเจ้าม้าทอง กรุงราชคฤห์(โพธาราม-ราชบุรี) ในการบริหารงาน สหราชอาณาจักรเทียน ในรัชกาลนี้ คือ การรับผู้อพยพลี้ภัยสงคราม จาก มหาอาณาจักรหนานเจ้า ซึ่งถูกกองทัพของ ฉินซีฮ่องเต้ เข้ายึดครองดินแดน ทำให้ชนชาติอ้ายไต ต้องอพยพเข้ามาตั้งรกรากในดินแดนสุวรรณภูมิ จำนวนมาก สหราชอาณาจักรเทียน จึงมีความจำเป็นในการเร่งสร้างความมั่นคง และ การเผยแพร่ พระพุทธศาสนา ออกไปสู่แว่นแคว้นต่างๆ อย่างรวดเร็ว

  ปัญหาสำคัญ ในรัชกาลนี้ คือ การพัฒนาชนพื้นเมืองแขกดำ หลายเผ่าพันธุ์ ให้มีวัฒนธรรมที่สูงขึ้น อีกทั้ง ชนพื้นเมืองแขกดำ ชนเผ่า ชวากะ ซึ่งตั้งรกรากในดินแดนภาคใต้ตอนบน และนับถือ ศาสนาพราหมณ์ ลัทธิพระกฤษณะ มานานแล้ว ไม่ยอมเปลี่ยนหันมานับถือ พระพุทธศาสนา ทำให้ศูนย์กลางอำนาจรัฐ ของ อาณาจักรนาคฟ้า ต้องเปลี่ยนที่ตั้ง จาก แคว้นครหิต(คันธุลี) ไปอยู่ที่ กรุงราชคฤห์ ของ แคว้นกิมหลิน(โพธาราม) ในเวลาต่อมา เพราะการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ณ แคว้นมิถิลา(ไชยา) และ แคว้นครหิต(คันธุลี) ไม่เป็นผล อาณาจักรนาคฟ้า จึงถูกแบ่งแยกออกเป็น ๒ อาณาจักรในรัชกาลนี้ คือ อาณาจักรนาคฟ้า และ อาณาจักรชวาทวีป ด้วย

 

กำเนิด ราชวงศ์โคตะมะ(ขอม) ปกครอง ดินแดนสุวรรณภูมิ

       มหาจักรพรรดิท้าวหารคำ(พระเจ้าสุมิตร) คือ ต้นราชวงศ์ โคตะมะ หรือ โคมะ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า ขอม ในสำเนียงภาษาท้องถิ่นภาคใต้ สังเกตได้จากผู้เฒ่าผู้แก่ ในภาคใต้ ซึ่งได้เก็บรักษาหนังสือขอม เก็บรักษาไว้ และต้องทำพิธีไหว้ครู เป็นประจำ ต่างมีความเชื่อกันมาโดยตลอดว่า คำว่า ขอม หมายถึง โคตะมะ ส่วนคำว่า เขมร มาจากคำว่า ขะ-แม ในสำเนียงภาคใต้ มาจากคำว่า ฆ่าแม่ หมายถึง ราชวงศ์ชนชาติทมิฬโจฬะ ผู้มีสันดาน ฆ่าแม่ ของตนเอง เพื่อแย่งชิงราชย์สมบัติ คำว่า เขมร จึงหมายถึง ชนชาติทมิฬโจฬะ ผู้ตกเป็นเครื่องมือของ มหาอาณาจักรจีน มาทำสงครามแย่งยึดดินแดนสุวรรณภูมิ จากชนชาติไทย ไปครอบครอง มีความหมายแตกต่างจากคำว่า ขอม โดยสิ้นเชิง

       เนื่องจาก มหาจักรพรรดิท้าวหารคำ(พระเจ้าสุมิตร) ได้อภิเษกสมรสกับ พระนางเชียงเม่งกุ้ย ซึ่งเป็นเชื้อสายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต แห่ง เมืองมิถิลา(ไชยา) มี พระราชโอรสที่สำคัญ ๓ พระองค์ เป็นต้นราชวงศ์โคตะมะ(ขอม) ผู้มีบทบาทสำคัญในการปกครองชนชาติอ้ายไต ในดินแดนสุวรรณภูมิ พระราชโอรสทั้งสาม มีข้อมูลเบื้องต้น ดังนี้   

      เจ้านกหยก พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ของ มหาจักรพรรดิท้าวหารคำ(พระเจ้าสุมิตร) แห่งราชวงศ์โคตะมะ(ขอม) เป็นผู้สร้าง แคว้นลังกาสุกะ(ปัตตานี) ขึ้นมาเป็นอีกแว่นแคว้นหนึ่ง ของ อาณาจักรเทียน ซึ่งสันนิษฐานว่า แคว้นลังกาสุกะ(ปัตตานี) กำเนิดขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ.๓๒๗ เป็นอย่างเร็ว เพื่อรองรับผู้อพยพชนชาติไต ซึ่งหนีภัยสงครามจากดินแดน มหาอาณาจักรหนานเจ้า อีกด้วย

       เจ้านกหยก มีพระราชธิดาองค์หนึ่ง คือ พระนางเลือดขาว ได้อภิเษกสมรส กับ เจ้าชายวีระ พระราชโอรสของ เจ้าข้าวเปล่า ได้มาสร้าง แคว้นลังกาวี(เกาะลังกาวี) ดังนั้น เรื่องราวใน ภพชาติต่างๆ ของ พระนางเลือดขาว ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับ จตุคามรามเทพ ในภพชาติ ของ ขุนราม ในสมัยต่อมา ด้วย

       เจ้าม้าทอง พระราชโอรสพระองค์ที่ ๒ ของ มหาจักรพรรดิท้าวหารคำ(พระเจ้าสุมิตร) แห่งราชวงศ์โคตะมะ(ขอม) เป็นผู้สร้าง แคว้นคามลังกา(จันทบุรี) ขึ้นมาเป็นอีกแว่นแคว้นหนึ่ง ของ อาณาจักรนาคฟ้า ซึ่งสันนิษฐานว่า แคว้นคามลังกา(จันทบุรี) เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ.๓๒๘ เป็นอย่างเร็ว เพื่อรองรับผู้อพยพหนีภัยสงคราม จากดินแดนของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า อีกด้วย

      ต่อมา สายราชวงศ์ขอม เจ้าม้าทอง ได้ไปอภิเษกสมรสเกี่ยวดองกับ ราชวงศ์ท้าวอินทปัต จนกระทั่ง แคว้นคามลังกา ได้พัฒนาเป็น อาณาจักรคามลังกา มีราชธานีอยู่ที่ แคว้นออกแก้ว ซึ่งตั้งอยู่ในดินแดนประเทศเวียตนาม ในปัจจุบัน ต่อมา เชื้อสายราชวงศ์ขอม สายเจ้าม้าทอง เป็นผู้สืบทอดราชย์สมบัติ ปกครอง สหราชอาณาจักรเทียน เป็นส่วนใหญ่ และยังเป็นสายราชวงศ์ ผู้สร้าง อาณาจักรสุวรรณโคมคำ ขึ้นมาในดินแดนลุ่มแม่น้ำยม , แม่น้ำน่าน , แม่น้ำอิง และ แม่น้ำโขง อีกด้วย

      ต่อมา อาณาจักรสุวรรณโคมคำ มีบทบาทสำคัญในการนำพระพุทธศาสนา เผยแพร่สู่ดินแดนของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า และ มหาอาณาจักรจีน ในเวลาต่อมา และเป็นเหตุให้เกิดสงครามโคมคำ ระหว่าง สหราชอาณาจักรเทียน กับ มหาอาณาจักรจีน ในเวลาต่อมาด้วย และเป็นที่มาให้ อาณาจักรสุวรรณโคมคำ ล่มสลาย และกำเนิด อาณาจักรยวนโยนก(เชียงแสน) ขึ้นมาแทนที่

       เจ้าข้าวเปล่า เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๓ ของ มหาจักรพรรดิท้าวหารคำ(พระเจ้าสุมิตร) กับ พระนางเชียงเม่งกุ้ย เจ้าข้าวเปล่า ได้กลับไปปกครองแว่นแคว้นแห่งหนึ่งในเกาะศรีลังกา ต่อมา พระราชโอรส ของ เจ้าข้าวเปล่า พระนามว่า เจ้าชายวีระ ได้มาอภิเษกสมรสกับ พระนางเลือดขาว ราชธิดาองค์หนึ่ง ของ เจ้านกหยก

       เจ้าชายวีระ เป็นราชวงศ์ขอม ผู้สร้าง แคว้นลังกาวีระ หรือ ลังกาวี(เกาะลังกาวี) ขึ้นมาเป็นอีกแว่นแคว้นหนึ่ง ของ อาณาจักรเทียน(นาคน้ำ) ต่อมา เรื่องราวที่เกิดขึ้นในดินแดนของเกาะลังกาวี คือเรื่องราวของ พระนางเลือดขาว ภพชาติหนึ่ง ของ พระนางอุษา ผู้ที่มีชีวิตเกี่ยวข้องกับ จตุคามรามเทพ ในภพชาติของ ขุนราม เวลาต่อมาอีกด้วย

 

แว่นแคว้นต่างๆ ของ อาณาจักรเทียน(นาคน้ำ)

     เนื่องจากวัฒนธรรม ของ เชื้อสายราชวงศ์เจ้าไต ในสมัยโบราณ นิยมตั้งชื่อพระราชโอรส โดยใช้ชื่อบิดา เป็นคำนำหน้า อีกทั้ง กฎหมายพระธรรมนู กำหนดให้พระราชา ของ แว่นแคว้นต่างๆ แบ่งดินแดนครึ่งหนึ่งให้พระราชโอรส ออกไปสร้างบ้านแปลงเมืองเป็นแว่นแคว้นต่างๆ ส่วนพระราชโอรสองค์ใหญ่ ต้องช่วยราชการพระราชบิดา และกลายเป็นผู้ครอบครองแผ่นดิน ครึ่งหนึ่ง ในรัชกาลถัดไป

      ที่แคว้นตาโกลา ซึ่งมี ตาโกลา เป็นกษัตริย์ปกครอง มีพระราชโอรสซึ่งมีพระนามนำหน้าด้วยคำว่า โกลา ไปสร้างแว่นแคว้นต่างๆ ให้กับ อาณาจักรเทียน เป็นจำนวนมาก เช่น โกลากัง(กัวลากังซาร์) , โกลาอำเภอ(กัวลาลัมเปอร์) , โกลาบารัง(กัวลาบรัง) , โกลาการาล(กัวลากราล) , โกลาตารัง(กัวลาตรัง) , โกลามารัง(กัวลามารัง) , โกลาตากัน(กัวลาดันกัน) และ โกลาหลี่ผิง(กัวลาลิปิส) เป็นต้น

     จะสังเกตเห็นว่า ชื่อเมือง หรือ แว่นแคว้นต่างๆ ในดินแดนของ อาณาจักรเทียน(นาคน้ำ) ล้วนเป็นชื่อของ พระราชโอรส ของ เจ้าตาโกลา จากหลากหลายมเหสี และหลาย พระชายา ซึ่งได้ไปสร้างบ้านแปลงเมือง ให้กำเนิดแว่นแคว้นต่างๆ ขึ้นมา ในดินแดนของอาณาจักรเทียน ในรัชสมัยของ มหาจักรพรรดิท้าวหารคำ ทำให้ อาณาจักรเทียน ถูกขยายแว่นแคว้น อย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย

       แว่นแคว้นต่างๆ ของ อาณาจักรเทียน(นาคน้ำ-แหลมมาลายู) ในรัชสมัยของ มหาจักรพรรดิท้าวหารคำ(พระเจ้าสุมิตร) นั้น น่าจะประกอบด้วยแว่นแคว้นต่าง ประมาณ ๑๔ แว่นแคว้น คือ แคว้นเทียน(ยะลา) , แคว้นตาโกลา(กันตัง) , แคว้นตาโกลง(สิเกา) , แคว้นกลิงค์ตัน(กลันตัน) , แคว้นลังกาสุกะ(ปัตตานี) , แคว้นไตปิง(ไทรบุรี) , แคว้นพี่นาง(เกาะปีนัง) , แคว้นโกลากัง(เปรัก) , แคว้นโกลาอำเภอ(สลังงอ) , แคว้นโกลาตารัง(ตรังกานู) , แคว้นโกลาหลี่ผิง(ปาหัง) , แคว้นแมนจูเจ้าแปด(ยะโฮ) , แคว้นแมนจูเจ้าเก้า(มะละกา) และ แคว้นลังกาวี(เกาะลังกาวี) ตามที่แสดงในรูปแผนที่ ที่แสดง เป็นต้น

 

สงครามกับ ชนชาติกลิงค์ ณ สมรภูมิ เมืองครหิต(คันธุลี)

     ในปลายรัชกาล ของ มหาจักรพรรดิท้าวหารคำ(พระเจ้าสุมิตร) ได้พยายามเผยแพร่พระพุทธศาสนา ไปสู่ดินแดนเกษียรสมุทร ของ ชนชาติกลิงค์ ณ เกาะพระกฤต ด้วย เป็นเหตุให้ พระเจ้ากาแลง ราชวงศ์ชนชาติกลิงค์ ได้ยกกองทัพจากเกาะพระกฤต(เกาะชวา) เข้าทำสงครามยึดครอง แคว้นครหิต(คันธุลี) อันเป็นราชธานี ของ สหราชอาณาจักรเทียน เป็นผลสำเร็จ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นชวากะรัฐ(คันธุลี) พร้อมกับได้พยายามขับไล่พระภิกษุสงฆ์ ที่ไปตั้งสำนักสงฆ์ ณ ภูเขาภิกษุ(ภูเขาชวาลา) ให้ออกจากพื้นที่ดังกล่าวด้วย โดยใช้นักรบกาแลง เข้าไปขับไล่พระภิกษุ แต่พระภิกษุ ณ สำนักสงฆ์ภูเขาภิกษุ ไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ เป็นเหตุให้ มหาจักรพรรดิท้าวหารคำ ต้องส่งกองทัพเข้าทำสงครามปราบ พระเจ้ากาแลง ราชวงศ์ชนชาติกลิงค์ ให้ออกไปจากเมืองครหิต(คันธุลี)

     ผลของสงครามครั้งนั้น กองทัพเรือของ มหาจักรพรรดิท้าวหารคำ ต้องล่าถอยไปยังปากแม่น้ำแม่กลอง กองทัพเรือของ พระเจ้ากาแลง ติดตามไป ปะทะกันอย่างหนัก บริเวณปากแม่น้ำแม่กลอง พระเจ้ากาแลง สวรรคต ในสงคราม จึงเป็นที่มาให้ท้องที่ดังกล่าวถูกเรียกชื่อว่า ปากแม่น้ำสมุทรสงคราม ตั้งแต่นั้นมา

     ต่อมา จักรพรรดิท้าวม้าทอง ได้ส่งกองทัพเข้าทำสงครามปราบปราม ชนชาติกลิงค์ ณ แคว้นชวากะรัฐ(คันธุลี) อีกครั้งหนึ่ง ผลของสงคราม ชนชาติกลิงค์ พ่ายแพ้สงคราม ต้องหลบหนีข้ามภูเขาไปตั้ง แคว้นชวากะรัฐ อยู่ในท้องที่ ภูเขาพระนารายณ์ ท้องที่ เมืองกาเพ้อ(อ.กะเปอร์) จ.ระนอง ในปัจจุบัน และยอมสวามิภักดิ์ต่อ สหราชอาณาจักรเทียน โดยดี สงครามจึงยุติลง

       ต่อมา ชนชาติกลิงค์ ได้ผสมเผ่าพันธุ์กับ ชนชาติทมิฬโจฬะ ในพื้นที่เมืองกาเพ้อ คนไทยจึงเรียกชื่อ เมืองกาเพ้อ ในชื่อใหม่ว่า เมืองรามัน หมายความว่า กองทัพของชนชาติอ้ายไต เลิกรา ไม่ทำสงครามปราบปรามพวกมัน อีกต่อไป เนื่องจาก ชนชาติกลิงค์ และ ชนชาติทมิฬโจฬะ ณ เมืองกาเพ้อ ยอมสวามิภักดิ์ ต่อ สหราชอาณาจักรเทียน โดยดี แต่สมัยต่อๆ มา แคว้นรามัน ได้ทำการก่อกบฏ อีกหลายครั้ง จึงถูกทำสงครามขับไล่ให้ไปตั้งรกรากใหม่ ณ ลุ่มแม่น้ำอิราวดี ดินแดนทางภาคใต้ ของ ประเทศพม่า ในปัจจุบัน

 

 

   

(๓) สมัย มหาจักรพรรดิท้าวม้าทอง กรุงคามลังกา(จันทบุรี)

    ในรัชสมัยของ มหาจักรพรรดิเจ้าทองเก(พ.ศ.๓๕๘-๓๘๓) หรือ ขุนพะเนียด กรุงคามลังกา(จันทบุรี) นั้น มหาจักรพรรดิท้าวทองเก เป็น สายราชวงศ์โคตะมะ ผสมกับ ราชวงศ์แมนสรวง เรียกว่า ราชวงศ์ขอม ได้ขึ้นครองราชสมบัติ เป็น มหาจักรพรรดิท้าวทองเก ประจำกรุงคามลังกา(จันทบุรี) ประชาชนนิยมเรียกพระนามว่า "ขุนพะเนียด" ในรัชกาลนี้ มี จักรพรรดิ ท้าวทองทั่ว เป็นจักรพรรดิ ว่าราชการอยู่ที่ แคว้นกิมหลิน(โพธาราม)

เนื่องจาก มหาจักรพรรดิท้าวทองเก(ขุนพะเนียด) เคยปกครองแคว้นคามลังกา มาก่อน พระองค์จึงต้องอุทิศที่ดิน สร้าง วัดพะเนียด ขึ้นมาในแคว้นคามลังกา เป็นวัดที่สอง ต่อจาก วัดพระยันตระ และต่อมา จักรพรรดิเจ้าทองทั่ว ได้สร้างวัดขึ้นมาอีกวัดหนึ่ง ณ เมืองคามลังกา(จันทบุรี) คือ วัดทองทั่ว ทำให้แคว้นคามลังกา มีวัดถึง ๓ วัด คือ วัดพระยันตระ วัดพะเนียด และวัดทองทั่ว กลายเป็นศูนย์กลางเผยแพร่ พระพุทธศาสนา ที่สำคัญด้วย

ในรัชกาลของ มหาจักรพรรดิท้าวทองเก(ขุนพะเนียด) นั้น มีเหตุการณ์สำคัญ คือ เหตุการณ์เมื่อปี พ.ศ.๓๘๖ ขณะนั้น มหาอาณาจักรจีน ซึ่งปกครองโดย ฮ่องเต้ฮุ่ยตี้ ได้เสด็จสวรรคต และต่อมา ฮ่องเต้ฮั่นจิ้งตี้ ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นรัชกาลถัดมา(พ.ศ.๓๘๖-๔๐๒) เป็นเหตุให้ สหราชอาณาจักรเทียน โดย มหาจักรพรรดิท้าวทองเก(ขุนพะเนียด) ได้นำพระพุทธศาสนา ออกไปเผยแพร่ในดินแดนของ มหาอาณาจักรจีน อย่างได้ผลในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อสร้างคุณธรรม ขึ้นมาในสังคม จึงเริ่มเกิดกบฏชาวพุทธ ขึ้นมาในดินแดนของ มหาอาณาจักรจีน ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย

ผลของกบฏชาวพุทธ เป็นที่มาให้ ฮ่องเต้จิ้งตี้ ต้องยุติการขูดรีดภาษี ประชาชนชนชาติอ้ายไต และต้องยกเลิกการลงโทษที่โหดร้ายทารุณ จนกระทั่งได้เกิดความไม่สงบขึ้นมาในดินแดนของ มหาอาณาจักรจีน อีกครั้งหนึ่ง โดยได้เกิดสงครามกลางเมืองอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเกิดกบฏ ๗ หวาง ขึ้นมา อีกครั้ง เป็นที่มาให้ ขุนศึกของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ได้ถือโอกาส ส่งกองทัพเข้าทำสงครามยึดครอง อาณาจักรไตจ้วง และ อาณาจักรเสี่ยงให้ ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า กลับคืน สงครามยืดเยื้อถึงรัชกาลต่อมา

 

 

 

 (๔) สมัย มหาจักรพรรดิท้าวทองเก กรุงกิมหลิน(โพธาราม)

 

  ในรัชกาลของ ขุนเพนียด หรือ มหาจักรพรรดิท้าวทองเก(พ.ศ.๓๘๓-๔๐๘) กรุงกิมหลิน(โพธาราม) นั้น ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในดินแดน ของ มหาอาณาจักรจีน ตั้งแต่ปี พ.ศ.๓๘๙ เป็นต้นมา เป็นเวลา ๘ ปี เรียกว่า กบฏ ๗ หวาง ในช่วงเวลาดังกล่าว กษัตริย์ชนชาติอ้ายไต แห่ง มหาอาณาจักรหนานเจ้า ได้ขอความช่วยเหลือ มายัง สหราชอาณาจักรเทียน ทำให้ขุนศึก ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ได้ถือโอกาสช่วงเวลาดังกล่าว ส่งกองทัพเข้ายึดครอง แคว้นกวางสีกวางตุ้ง และ แคว้นเสี่ยงให้(เซี่ยงไฮ้) กลับคืนเป็นผลสำเร็จ จึงเกิดการสมรสเกี่ยวดอง ระหว่าง เชื้อสายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต แห่ง มหาอาณาจักรหนานเจ้า กับ เชื้อสายราชวงศ์โคตะมะ(ขอม) แห่ง สหราชอาณาจักรเทียน ด้วย

 การที่ มหาจักรพรรดิท้าวทองเก(ขุนพะเนียด) มีความใกล้ชิดกับ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ทำให้ เจ้าสิงห์กาล(ท้าวเทวกาล) พระราชโอรสองค์หนึ่ง ของ มหาจักรพรรดิท้าวทองสิงห์ ได้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด กับ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ด้วย เพราะ พระมเหสี และ พระชายา หลายพระองค์ ของ เจ้าสิงห์กาล(ท้าวเทวกาล) มาจากเชื้อสายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต จาก หลายแว่นแคว้น ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า เป็นเหตุให้ เจ้าสิงห์กาล ได้นำพระพุทธศาสนา ออกไปเผยแพร่ไปยังดินแดน ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า และ มหาอาณาจักรจีน อย่างได้ผล เนื่องจากขณะนั้น มหาอาณาจักรจีน ต้องสาละวนอยู่กับการทำสงครามกับ อาณาจักรมองโกล อย่างต่อเนื่อง ด้วย

 

 

    

(๕) สมัย มหาจักรพรรดิท้าวทองสิงห์ กรุงกิมหลิน(โพธาราม)

 

     ในรัชกาล มหาจักรพรรดิท้าวทองสิงห์(พ.ศ.๔๐๘-๔๑๖) กรุงกิมหลิน(โพธาราม ราชบุรี) ภายหลังจากการที่ มหาอาณาจักรจีน มีชัยชนะในสงครามต่อ อาณาจักรมองโกล เมื่อปี พ.ศ.๔๑๒ แล้ว มหาอาณาจักรจีน จึงได้เริ่มหันมาทำสงคราม ยึดครอง แว่นแคว้นต่างๆ ในดินแดนทางตอนใต้ของ มหาอาณาจักรจีน กลับคืน อีกครั้งหนึ่ง

ในรัชกาลนี้ ราชวงศ์โคตะมะ(ขอม) ได้ให้กำเนิด อาณาจักรคามลังกา แยกออกมาจาก อาณาจักรนาคดิน ทำให้ พระพุทธศาสนา ได้ถูกเผยแพร่ เข้าสู่การนับถือ ของ ชนชาติอ้ายไต ซึ่งตั้งรกรากตามดินแดน อาณาจักรต่างๆ ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ดั้งเดิม และดินแดนแว่นแคว้นต่างๆ ซึ่ง มหาอาณาจักรจีน ได้ทำสงครามเข้ายึดครองไปในอดีต ทำให้ พระพุทธศาสนา แพร่หลาย อย่างรวดเร็ว เป็นที่มาให้ ฮ่องเต้ฮั่นบู่ตี้ ต้องส่งขุนนางชาวฮั่น ไปสืบสาวเรื่องราวถึงการที่ พระพุทธศาสนา ว่า ถูกนำไปเผยแพร่ ไปยังดินแดนแว่นแคว้นต่างๆ ของ มหาอาณาจักรจีน และ มหาอาณาจักรหนานเจ้า อย่างรวดเร็ว ได้อย่างไร ส่งผลต่อสงครามระหว่าง สหราชอาณาจักรเทียน กับ มหาอาณาจักรจีน ในเวลาต่อมา ด้วย

 เนื่องจาก ฮ่องเต้ฮั่นบู่ตี้(ฮ่องเต้ฮั่นอวงมั้ง) ทราบว่า สหราชอาณาจักรเทียน เป็นผู้นำระบบการปกครอง ไปให้กับ มหาอาณาจักรหนานเจ้า มีความมั่นคงยิ่งขึ้น หลักฐานประวัติศาสตร์ ของประเทศจีน กล่าวว่า เมื่อปี พ.ศ.๔๑๕ มหาอาณาจักรจีน โดย ฮ่องเต้ฮั่นบู่ตี้(ฮ่องเต้ฮั่นอวงมั้ง) ได้พยายามสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต กับ มหาอาณาจักรหนานเจ้า(หนานเย่ก๊ก) จึงทราบข้อมูลว่า มหาอาณาจักรหนานเจ้า ขยายบ้านเมือง และแว่นแคว้นอย่างรวดเร็ว ได้อย่างไร?

          หลักฐานประวัติศาสตร์ ของประเทศจีน กล่าวว่า ผลจากการขยายตัวของแว่นแคว้นต่างๆ ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า เป็นที่มาให้ ฮ่องเต้ฮั่นบู่ตี้ ได้ตราพระราชบัญญัติ เลียนแบบ สหราชอาณาจักรเทียน เมื่อปี พ.ศ.๔๑๖ ด้วยการให้บุตรคนหัวปี ของ เจ้าผู้ครองนคร แบ่งการปกครอง ของ เจ้าครองนคร ให้เป็นของบิดา เพียงครึ่งเดียวเพื่อให้กับบุตรคนโต ส่วนดินแดนส่วนที่เหลือ ให้แบ่งให้น้องชายคนอื่นๆ ปกครองด้วย เป็นเหตุให้มีการสืบสมบัติ สร้างบ้านแปลงเมือง แบ่งสันปันส่วน เกิดการสร้างบ้านแปลงเมือง เรื่อยมา ทุกชั่วคน เพื่อขัดขวางการขยายดินแดนของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ซึ่งเป็นชนชาติอ้ายไต ด้วย

 

 

                                           

ภาพที่-๒๔ แสดงตำแหน่งที่ตั้ง ของ อาณาจักรคามลังกา ซึ่งมี เมืองออกแก้ว เป็นราชธานี

 

 

 

 

(๖) สมัย มหาจักรพรรดิท้าวเทวกาล กรุงกิมหลิน(โพธาราม)

 

   ในรัชสมัยของ มหาจักรพรรดิท้าวเทวกาล(พ.ศ.๔๑๖-๔๖๔) กรุงกิมหลิน(โพธาราม) นั้น ฮ่องเต้ฮั่นบู่ตี้ แห่ง มหาอาณาจักรจีน ได้หันมาทำสงคราม กับ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ตั้งแต่ปี พ.ศ.๔๒๐ เป็นต้นมา

 

การอพยพของ ชนชาติอ้ายไต เข้าสู่ ดินแดนสุวรรณภูมิ ครั้งใหญ่

      สงครามระหว่าง สหราชอาณาจักรเทียน กับ มหาอาณาจักรจีน เป็นที่มา ของ การเกิดอพยพหนีภัยสงคราม ของ ชนชาติอ้ายไต โดยทางแพ มาตามแม่น้ำโขง วันละ ๒,๐๐๐ ครัวเรือน และ โดยทางเรือสำเภา ครั้งใหญ่ อีกครั้งหนึ่ง จึงทำให้เกิดแว่นแคว้นทั้ง ๓ คือ แคว้นโพธิสาร(พุนพิน) , แคว้นพินธุสาร(ชุมพร) และ แคว้นพันธุสาร(หลังสวน) ขึ้นมาในดินแดนของ อาณาจักรชวาทวีป(ภาคใต้ตอนบน) เพิ่มขึ้นอีก ๓ แว่นแคว้น ด้ว

    หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ของประเทศจีน สอดคล้องกับหลักฐาน ตำนานสุวรรณโคมคำ ของไทย ซึ่งกล่าวว่า ได้เกิดการอพยพของชนชาติอ้ายไต ครั้งใหญ่ วันละประมาณ ๒,๐๐๐ ครัวเรือน ลงมายังดินแดน ของ อาณาจักรคามลังกา ต่อเนื่องเป็นเวลาถึง ๓ ปี จนต้องนำผู้อพยพเดินทางต่อไปยัง อาณาจักรสุวรรณโคมคำ จนกระทั่ง ต่อมา แว่นแคว้น และอาณาจักรย่อยๆ ของชนชาติอ้ายไต แห่ง มหาอาณาจักรหนานเจ้า ได้ทยอยเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครอง ของ สหราชอาณาจักรเทียน ตั้งแต่ปี พ.ศ.๔๓๖ เป็นต้นมา

เมื่อ มหาจักรพรรดิท้าวเทวกาล ทราบข่าว จึงต้องรับสั่งให้ เจ้าสิงห์พิมพ์ ซึ่งเป็นพระราชโอรส  ให้นำพระราชโอรส ออกไปเร่งสร้างบ้านแปลงเมือง เพื่อปกครองชนชาติอ้ายไต ผู้อพยพหนีภัยสงคราม พร้อมกับให้เร่งรัด สร้างอู่ต่อเรือ เพื่อเร่งสร้างกองทัพเรือ ในดินแดนของ อาณาจักรชวาทวีป(ภาคใต้ตอนบน) เพื่อส่งกองทัพเรือ ไปช่วยเหลือ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ทำสงครามกับ มหาอาณาจักรจีน เมืองโพธิสาร(พุนพิน) เมืองพินธุสาร(ชุมพร) และ เมืองพันธุสาร(หลังสวน) จึงเริ่มเกิดขึ้น จนกระทั่ง ระหว่างปี พ.ศ.๔๓๒-๔๓๕ เนื่องจาก มหาอาณาจักรหนานเจ้า พ่ายแพ้สงคราม จึงเกิดผู้อพยพครั้งใหญ่อีก

 

กำเนิด แคว้นโพธิสาร หรือ แคว้นพันพาน(พุนพิน)

พระราชโอรส ๓ พระองค์ ของ เจ้าพิมพิสาร คือ เจ้าโพธิสาร , เจ้าพินธุสาร และ เจ้าพันธุสาร ได้ไปช่วยกันสร้างบ้านแปลงเมือง เกิดบ้านเมือง และแว่นแคว้นต่างๆ ขึ้นมาในดินแดนภาคใต้ตอนบน ในปัจจุบัน โดยพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ คือ เจ้าโพธิสาร ได้ไปสร้าง แคว้นโพธิ์สาร(พุนพิน) เจ้าพินธุสาร ได้ไปสร้าง แคว้นพินธุสาร(ชุมพร) และ เจ้าพันธุ์สาร ได้ไปสร้าง แคว้นพันธุ์สาร(หลังสวน) ขึ้นมาในดินแดนของ อาณาจักรชวาทวีป

 

    ชนชาติอ้ายไต ด้วยกัน เมื่ออพยพมาตั้งรกราก ณ เมืองท่าข้าม แคว้นมิถิลา(ไชยา) อาณาจักรชวาทวีป(ภาคใต้ตอนบน) เรียบร้อยแล้ว จะเรียกเมืองท่าข้าม ในชื่อใหม่ว่า เมืองเพ่นพ่าน(พันพาน) จากเนื้อหาที่มีผู้อพยพมาจากอาณาจักรไตจ้วง มายังท้องที่ เมืองท่าข้าม มากกว่าเมืองอื่นๆ

 

 

                                

ภาพที่-๒๕ แผนที่ อาณาจักรชวาทวีป ตอนล่าง กำเนิดขึ้นสมัย มหาจักรพรรดิท้าวเทวกาล

 

   

    คำว่า เมืองเพ่นพ่าน(พันพาน) จึงหมายความว่า "เมืองที่มีจำนวนผู้คนที่มากมาย มากกว่าเมืองอื่นๆ" หรือตรงกับคำว่า "เมืองซึ่งผู้คน พลุกพล่าน" ซึ่งเป็นชื่อเรียกในสำเนียงภาษาท้องที่ภาคใต้ ว่า "พันพาน" ซึ่งชนชาติอ้ายไต(ผู้อพยพ) จะเรียกชื่อเมือง ว่า เมืองพันพาน เรื่อยมา ส่วนชุนพื้นเมืองจะเรียกชื่อเพี้ยนว่า พุนพิน ในเวลาต่อมา

     เนื่องจาก เจ้าชายโพธิสาร ได้สร้าง แคว้นโพธิสาร(พันพาน) ขึ้น และเป็นราชา ปกครองแว่นแคว้นนี้ เป็นพระองค์แรก จึงตั้งชื่อแคว้นนี้ว่า แคว้นโพธิสาร(พันพาน) แยกออกจาก แคว้นมิถิลา(ไชยา) โดยตั้งพระราชวังหลวงอยู่ที่ ภูเขาควนสราญรมย์ โดยมี เมืองพันพาน หรือ พุนพิน เป็น เมืองราชธานี ของแคว้น ในเวลาต่อมา

 

สงครามโคมคำ ระหว่าง สหราชอาณาจักรเทียน กับ มหาอาณาจักรจีน

      ในรัชสมัยของ มหาจักรพรรดิท้าวเทวกาล(พ.ศ.๔๑๖-๔๖๔) นั้น หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ของประเทศจีน กล่าวว่า ตรงกับรัชสมัยของ ฮ่องเต้ฮั่นบู่ตี้ แห่ง มหาอาณาจักรจีน ซึ่งได้ส่งกองทัพใหญ่เข้าโจมตี อาณาจักร และแว่นแคว้นต่างๆ ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า(หนานเย่ก๊ก) ตั้งแต่ปี พ.ศ.๔๒๑ เป็นต้นมา อย่างต่อเนื่อง จักรพรรดิ ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า สวรรคตในสงคราม เมื่อปี พ.ศ.๔๓๒ มหาอาณาจักรจีน จึงเข้ายึดครองดินแดน ราชธานี และแว่นแคว้นต่างๆ แล้วทำการแบ่งซอยแว่นแคว้นต่างๆ ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ในอดีต ออกเป็นเขตปกครองเล็กๆ โดยมีขุนนางของราชสำนักฮั่น ได้ทำการควบคุม ชนชาติอ้ายไต(หนานเย่) ทำให้ชนชาติอ้ายไต(หนานเย่) บางแว่นแคว้น ตกอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฮั่น ตั้งแต่ปี พ.ศ.๔๓๓ เป็นต้นมา

 สงครามโคมคำ ระหว่างปี พ.ศ.๔๔๑-๕๔๑ นั้น มีพื้นฐานมาจากการที่ มหาอาณาจักรจีน สามารถทำสงครามยึดครอง เมืองเฉิงตู ราชธานี ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า เป็นผลสำเร็จเมื่อปี พ.ศ.๔๓๓ ทำให้ มหาจักรพรรดิ และพวกราชวงศ์ ในราชธานี ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อย่างเหี้ยมโหด พร้อมกับทำลายหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ด้วย เป็นการปิดฉาก มหาอาณาจักรหนานเจ้า ที่ต้องเสียเอกราช อีกครั้งหนึ่ง ให้กับ มหาอาณาจักรจีน หลังจากนั้น ฮ่องเต้ฮั่นบู่ตี้ ก็สามารถยึดทรัพย์สิน ซึ่งเป็นทองคำในท้องพระคลังหลวง ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ได้เป็นจำนวนมาก มหาอาณาจักรจีน จึงมั่นคงขึ้นจากผลของการทำสงคราม จึงได้นำทองคำไปใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ในเวลาต่อมา หลังจากนั้น อาณาจักรต่างๆ ภายใต้การปกครอง ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ได้ตกมาอยู่ภายใต้การปกครอง ของ สหราชอาณาจักรเทียน แทนที่

     ผลของสงครามครั้งนั้น ทำให้ อาณาจักรต่างๆ ภายใต้การปกครอง ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ดั้งเดิม ต้องปกครองตนเองโดยอิสระ บางอาณาจักร ได้มาอยู่ภายใต้การปกครอง ของ สหราชอาณาจักรเทียน และประชาชนชนชาติอ้ายไต อีกหลายแสนคน ต้องอพยพลงมาตั้งรกรากในดินแดนสุวรรณภูมิ

ตั้งแต่ปี พ.ศ.๔๓๓ เป็นต้นมา อาณาจักร และ แว่นแคว้นต่างๆ ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า คือ อาณาจักรหนานเจ้า(หนานเย่ก๊ก) , อาณาจักรไทยใหญ่(ฉานก๊ก) , อาณาจักรอ้ายลาว(อ้ายลาวก๊ก) , อาณาจักรไตจ้วง(กวางตุ้ง , กวางสี , กวางเจา และ ตาเกี๋ย) , อาณาจักรเก้าเจ้า(เวียตนามเหนือ) , อาณาจักรแมนสรวง(ใต้หวัน) และ อาณาจักรหูหลำ(เกาะไหหลำ) ได้มาอยู่ภายใต้การคุ้มครอง ของ สหราชอาณาจักรเทียน เรียบร้อยแล้ว จึงมีการลุกขึ้นต่อสู้ของ ชนชาติอ้ายไต ขึ้นอีกหลายครั้ง หลายคราว เรียกกันว่า สงครามโคมคำ

เนื่องจากชนชาติอ้ายไต ซึ่งเป็นชาวพุทธ นิยมแขวนโคมคำ ไว้หน้าชานเรือน เพื่อจุดเทียนบวงสรวงพระพุทธเจ้า สงครามโคมคำ ครั้งนั้น มีการสู้รบกันอย่างยืดเยื้อระหว่าง สหราชอาณาจักรเทียน กับ มหาอาณาจักรจีน อย่างต่อเนื่อง ประมาณ ๑๐๐ ปี จนกระทั่งได้พัฒนาเป็น สงครามโชกโชน และ สงครามโพกผ้าเหลือง ในเวลาต่อมา

 สงครามโคมคำ เริ่มเกิดขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ.๔๔๑ เป็นต้นมา เมื่อ มหาจักรพรรดิท้าวเทวกาล ทราบว่า ฮ่องเต้ฮั่นบู่ตี้ ได้ส่งกองทัพใหญ่ เข้ายึดครอง แคว้นเฟอร์คาน่า§- เพื่อสร้างเส้นทางค้าขายทางบก เดินทางไปยังดินแดน เอเชียกลาง เนื่องจาก สหราชอาณาจักรเทียน เป็นผู้ครองน่านน้ำ ในทะเล เป็นเหตุให้ มหาอาณาจักรจีน ต้องสร้างเส้นทางการค้าขายทางบก มาแทนที่

ในช่วงเวลาดังกล่าว มหาจักรพรรดิท้าวเทวกาล จึงรับสั่งให้ ชาวพุทธในดินแดนต่างๆ ของชนชาติอ้ายไต ทำโคมคำ เพื่อใช้จุดเทียนบูชาพระพุทธเจ้า ไว้ที่หน้าชานเรือน ของทุกบ้านเรือน ของทุกๆ แว่นแคว้น ของทุกๆ อาณาจักร เพื่อขอพรจากพระพุทธเจ้า และบรรพชนผู้ล่วงลับไปแล้ว ให้สามารถทำสงครามยึดครองดินแดน ของชนชาติอ้ายไต ที่เสียไป กลับคืนมา เป็นการปลุกระดม ชนชาติอ้ายไต ผู้นับถือพระพุทธศาสนา ครั้งยิ่งใหญ่ ให้ร่วมกันจับอาวุธ ร่วมกันทำสงคราม กับ มหาอาณาจักรจีน ผู้นับถือ ลัทธิขงจื้อ

มหาจักรพรรดิท้าวเทวกาล ได้ส่งกองทัพบก เข้าทำสงครามยึดครองดินแดน อาณาจักรเสฉวน(แคว้นฉู่) และ ส่งกองทัพเรือเข้าทำสงครามยึดครอง อาณาจักรไตจ้วง(กวางตุ้ง กวางสี กวางเจา ตาเกี๋ย) และ อาณาจักรเซี่ยงไฮ้(นานกิง , เซี่ยงไฮ้) กลับคืน เป็นผลสำเร็จ มหาอาณาจักรจีน จึงต้องส่งกองทัพเข้าทำสงครามยึดครองดินแดนที่เสียไป กลับคืน จึงเกิดสงครามกันอย่างยืดเยื้อ ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ ในหลายสมรภูมิ

เนื่องจาก ผลของสงครามโคมคำ ในระยะแรกๆ สหราชอาณาจักรเทียน สามารถทำสงครามยึดครอง อาณาจักรเสฉวน กลับคืน เป็นผลสำเร็จ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๔๕๖ เป็นต้นมา มีหลักฐานว่า สหราชอาณาจักรเทียน ได้เริ่มทำสงครามยึดครองดินแดน ซึ่งถูก มหาอาณาจักรจีน ยึดครองไป กลับคืนได้สำเร็จอย่างต่อเนื่อง อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจาก ฮ่องเต้ฮั่นบู่ตี้ ได้สวรรคต และ ฮ่องเต้จาวตี้ ได้ขึ้นครองราชสมบัติ เมื่อปี พ.ศ.๔๕๖ โดยมีพระชนมายุเพียง ๙ พรรษา สมุหกลาโหม จึงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มหาอาณาจักรจีน จึงพ่ายแพ้สงครามโคมคำ ในระยะแรกๆ จนต้องหันไปสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต กับ อาณาจักรต่างๆ ภายใต้การปกครอง ของ สหราชอาณาจักรเทียน แทนที่ โดยใช้นโยบาย แยกสลายแล้วทำสงครามยึดครอง แทนที่

 

 

 

 

(๗) สมัย มหาจักรพรรดิท้าวพิมพิสาร กรุงกิมหลิน(โพธาราม)

 

     ในรัชสมัยของ มหาจักรพรรดิท้าวพิมพิสาร(พ.ศ.๔๖๔-๔๘๖) กรุงกิมหลิน(โพธาราม) นั้น ต้องแบกรับภารกิจ ทำสงครามโคมคำ และทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ต่อไป ในรัชกาลนี้ ท้าวโพธิสาร เป็น จักรพรรดิ ว่าราชการอยู่ที่ กรุงโพธิสาร(พันพาน) ในรัชกาลนี้ อาณาจักรต่างๆ ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครอง ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ได้ตกมาอยู่ภายใต้การปกครอง ของ สหราชอาณาจักรเทียน เป็นส่วนใหญ่

 

สงครามโคมคำ ณ สมรภูมิ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ปี พ.ศ.๔๖๔-๔๘๖

เหตุการณ์ในรัชกาล มหาจักรพรรดิท้าวพิมพิสาร ก็คือ สงครามโคมคำ ระหว่าง สหราชอาณาจักรเทียน กับ มหาอาณาจักรจีน ได้ขยายต่อไป เนื่องจาก ปี พ.ศ.๔๕๖ ฮ่องเต้ฮั่นบู่ตี้ ได้สวรรคต พระราชโอรส ซึ่งมีพระชนมายุเพียง ๙ พรรษา พระนามว่า ฮ่องเต้จาวตี้ ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ โดยมี สมุหกลาโหม เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

ตามหลักฐานประวัติศาสตร์ ของ ประเทศจีน บันทึกว่า ขณะนั้น มหาราชา ของ อาณาจักรหนานเจ้า(หนานเย่ก๊ก) แห่ง สหราชอาณาจักรเทียน มีพระนามว่า มหาราชาช้างเคียง ได้ถือโอกาส เร่งรัดให้ สหราชอาณาจักรเทียน ทำสงครามยึดครองดินแดน อาณาจักรเสฉวน(แคว้นฉู่) กลับคืน แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ กลับมีการฆ่าล้างครัว ผู้จุดเทียน แขวนโคมคำ บูชาพระพุทธเจ้าที่หน้าชานเรือน เหตุการณ์ยืดเยื้อมาถึง รัชกาล มหาจักรพรรดิท้าวพิมพิสาร สงครามโคมคำ จึงขยายตัวเป็นสงครามใหญ่ ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

เนื่องจาก สมุหกลาโหม ผู้สำเร็จราชการแทน ฮ่องเต้จาวตี้ พิจารณาเห็นว่า พระพุทธศาสนา เป็นอันตราย ต่อ ราชวงศ์ฮั่น เป็นอย่างยิ่ง เพราะขัดแย้งกับความเชื่อตาม ลัทธิเต๋า และ ลัทธิขงจื้อ สมุหกลาโหม ผู้สำเร็จราชการแทนฮ่องเต้ จึงเริ่มกวาดล้างผู้นับถือพระพุทธศาสนา ครั้งใหญ่ อีกครั้งหนึ่ง มีการฆ่าล้างครัว ประชาชนชนชาติอ้ายไต ผู้จุดเทียน แขวนโคมคำ บูชาพระพุทธเจ้าที่หน้าชานเรือน อย่างต่อเนื่อง

 

สงครามโคมคำ ณ สมรภูมิ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ปี พ.ศ.๔๖๔-๔๘๖

หลักฐานประวัติศาสตร์ ของ ประเทศจีน กล่าวว่า การกวาดล้างชาวพุทธ เป็นที่มาให้เกิดความแตกแยกขึ้นมาในหมู่ขุนนางจีน อย่างรุนแรง อีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น ตั้งแต่ปี พ.ศ.๔๖๔  ฮ่องเต้จาวตี้ ได้ขยายโรงเรียนสอน ลัทธิขงจื้อ และเพิ่มนักศึกษา ขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเร่งรัดสร้างปัญญาชนจีน ต่อสู้ กับ การเผยแพร่ พระพุทธศาสนา ของ พระธรรมทูต จาก สหราชอาณาจักรเทียน หลังจากนั้น ก็เริ่มเกิดสงครามโคมคำ ระหว่าง สหราชอาณาจักรเทียน กับ มหาอาณาจักรจีน อีกครั้งหนึ่ง เรียกกันว่า สงครามโคมคำ หรือ สงครามปราบปรามชาวพุทธ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๔๖๔ เป็นต้นมา

เนื่องจาก ในรัชกาล มหาจักรพรรดิท้าวพิมพิสาร นั้น พระองค์ ได้ถือโอกาส ส่งกองทัพบก ไปสนับสนุน มหาอาณาจักรหนานเจ้า ซึ่งปกครองโดย มหาราชาช้างเคียง โดยได้ส่งกองทัพบก จาก สหราชอาณาจักรเทียน ไปร่วมทำสงครามยึดครองดินแดน อาณาจักรเสฉวน(แคว้นฉู่) กลับคืน เป็นผลสำเร็จ และขยายสงครามยึดครอง แคว้นสู่ และ แคว้นปา ซึ่งเป็นแว่นแคว้นดั้งเดิม ของ ชนชาติอ้ายไต กลับคืนเป็นผลสำเร็จด้วย เป็นเหตุให้ สมุหกลาโหม ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ฮ่องเต้จาวตี้ ได้ส่งกองทัพใหญ่เข้ายึดครอง อาณาจักรเสฉวน กลับคืนอีกครั้งหนึ่ง สงครามทางบก จึงเป็นไปอย่างยืดเยื้อ

ขณะนั้น จักรพรรดิเจ้าโพธิสาร ซึ่งว่าราชการประจำอยู่ที่ เมืองพันพาน(พุนพิน) แคว้นโพธิสาร ได้มีการสร้างกองทัพเรือ ขึ้นที่ลุ่มแม่น้ำตาปี บริเวณท่าแมนจูลี้(ท่าโรงช้าง) เพื่อส่งกองทัพไปยึดครอง แว่นแคว้นต่างๆ ซึ่งตั้งอยู่ตามชายฝั่งทะเลตะวันออก ของ มหาอาณาจักรจีน กลับคืน แคว้นโพธิสาร จึงกลายเป็นฐานที่มั่นทางทหารที่สำคัญ ในการทำสงครามทางเรือ กับ มหาอาณาจักรจีน มีการสร้างกองทัพเรือ ขึ้นมาใน แคว้นออกแก้ว แคว้นจุลนี และแว่นแคว้นต่างๆ ของ อาณาจักรเก้าเจ้า และ อาณาจักรหูหลำ(เกาะไหหลำ) เพื่อทำสงครามยึดครอง อาณาจักรเสี่ยงให้(แคว้นอู๋) กลับคืน อีกด้วย

     จักรพรรดิเจ้าโพธิสาร แห่ง กรุงพันพาน(พุนพิน) แคว้นโพธิสาร(พันพาน) นั้น ได้ส่งกองทัพเรือ ไปขับไล่กองทัพจีน ออกจาก อาณาจักรเสี่ยงให้(เซี่ยงไฮ้ , นานกิง) กลับคืน เป็นผลสำเร็จ แต่เมื่อถอยทัพกลับมา สมุหกลาโหม ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ฮ่องเต้จาวตี้ ได้ส่งกองทัพเข้ายึดครอง แคว้นสู่ และ แคว้นปา ของ อาณาจักรเสฉวน(แคว้นฉู่) เป็นผลสำเร็จ และเริ่มส่งกองทัพ เข้าโจมตี แว่นแคว้นต่างๆ ของ อาณาจักรเสฉวน ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า กลับคืน

     หลักฐานประวัติศาสตร์ ของประเทศจีน กล่าวว่า สงครามระหว่าง มหาราชาช้างเคียง แห่ง หนานเย่ก๊ก(รัฐหนานเจ้า) กับ มหาอาณาจักรจีน เพื่อแย่งชิงดินแดน อาณาจักรเสฉวน เป็นไปอย่างยืดเยื้อ ผลที่สุด ชัยชนะ ตกเป็นของ มหาราชาช้างเคียง

      สงครามป้องกัน อาณาจักรเสฉวน(แคว้นฉู่) ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า เป็นไปอย่างยืดเยื้อ เป็นเหตุให้ สมุหกลาโหม ผู้สำเร็จราชการแทน ฮ่องเต้จาวตี้ พยายามสร้างกองทัพเรือ เพื่อมีอิทธิพลในการทำสงครามทางทะเล และทำสงครามยึดครอง แค้นเสี่ยงให้ กลับคืน แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ มีความพยายามอยู่หลายครั้ง แต่กองทัพเรือ ของ สหราชอาณาจักรเทียน สามารถทำลายกองทัพเรือ ของ มหาอาณาจักรจีน มิให้มีบทบาท ในท้องทะเล มาโดยตลอด เป็นที่มาให้ บทบาท ของ กองทัพเรือ ของ จักรพรรดิเจ้าโพธิสาร ซึ่งมีกองทัพใหญ่ประจำอยู่ที่ เมืองพันพาน(พุนพิน) แคว้นโพธิสาร(พันพาน) นั้น มีบทบาทสำคัญ อีกครั้งหนึ่ง เพื่อทำลายกองทัพเรือ ของ มหาอาณาจักรจีน จนกระทั่ง สหราชอาณาจักรเทียน เป็นผู้ครอบครอง น่านน้ำ ทางทะเลตะวันออก และทะเลใต้ โดยสิ้นเชิง บทบาทของ แคว้นโพธิสาร(พันพาน) จึงมีบทบาทสำคัญมากขึ้น แต่ สงครามโคมคำ ยังยืดเยื้อต่อมา ถึง รัชสมัย ของ มหาจักรพรรดิท้าวโพธิสาร ซึ่งพระองค์ได้วางแผนยึดครองดินแดนของ มหาอาณาจักรจีน กลับคืน ทั้งหมด

 

 

 

 

 

(๘) สมัย มหาจักรพรรดิท้าวโพธิสาร กรุงพันพาน(พุนพิน)

 

       ในรัชสมัยของ มหาจักรพรรดิท้าวโพธิสาร(พ.ศ.๔๘๖-๕๒๒) กรุงโพธิสาร(พุนพิน) นั้น มี จักรพรรดิขุนหลวงโชติ ซึ่งเป็นพระราชบุตรเขย เป็น จักรพรรดิ ว่าราชการอยู่ที่ กรุงโพธิ์นารายณ์(ยะลา) แคว้นเทียน ในรัชกาลนี้ มีการทำสงครามโคมคำ ณ สมรภูมิ ดินแดน มหาอาณาจักรหนานเจ้า ต่อเนื่อง อย่างดุเดือด สงครามโคมคำครั้งนี้ ท้าวพินธุสาร และ ท้าวพันธุสาร สวรรคตในสงครามโคมคำ ด้วย

ในรัชกาล มหาจักรพรรดิท้าวโพธิสาร เมืองนครหลวง ของ สหราชอาณาจักรเทียน ตั้งอยู่ที่ กรุงพันพาน(พุนพิน) แคว้นโพธิสาร(พันพาน) เนื่องจากความจำเป็นในการทำสงครามโคมคำ กับ มหาอาณาจักรจีน เป็นเหตุให้ มหาจักรพรรดิท้าวโพธิสาร จำเป็นต้องใช้ เมืองพันพาน(พุนพิน) แคว้นโพธิสาร เป็นเมืองนครหลวง ของ สหราชอาณาจักรเทียน เพื่อง่ายในการส่งกองทัพเรือเข้าช่วยเหลือ มหาอาณาจักรหนานเจ้า เพราะมีกองทัพเรือ และอู่ต่อเรือ อยู่ที่ลุ่มแม่น้ำตาปี จำนวนมาก

การส่งกองทัพเรือ เข้าหนุนช่วย เพื่อเข้าไปยึดครอง แว่นแคว้นต่างๆ ซึ่งตั้งอยู่ตามชายฝั่งทะเลตะวันออก ของ มหาอาณาจักรจีน สะดวกรวดเร็วขึ้น ผลของสงครามโคมคำในรัชกาลนี้ทำให้การค้า ของ สหราชอาณาจักรเทียน กับ อินเดีย ต้องลดลง เนื่องจากต้องระดมเรือสำเภาค้าขาย เข้าร่วมทำสงคราม ครั้งนี้ด้วย

 

สงครามโคมคำ กับ มหาอาณาจักรจีน ปี พ.ศ.๔๘๖-๕๒๒

ตำนานความเป็นมาของ เมืองโพธิสาร(พันพาน) กล่าวว่า ในรัชกาลของ มหาจักรพรรดิท้าวโพธิสาร นั้น สหราชอาณาจักรเทียน ได้ส่งกองทัพบก จากรัฐในผืนแผ่นดินบก เพื่อเตรียมเข้ายึดครอง ดินแดนของ มหาอาณาจักรจีน ทั้งหมด จึงมีการระดมกองทัพเรือ เพื่อเตรียมการทำสงครามใหญ่ เนื่องจาก สหราชอาณาจักรเทียน ได้ส่งกองทัพใหญ่เข้ายึดครอง อาณาจักรเสี่ยงให้(แคว้นอู๋) กลับคืน สำเร็จมาแล้ว แต่สงครามทางบก ในดินแดนอาณาจักรเสฉวน(แคว้นฉู่) ยังไม่ยุติ มหาจักรพรรดิท้าวโพธิสาร จึงวางแผนส่งกองทัพเรือใหญ่ เข้ายึดครองเมืองทางชายฝั่งทะเลตะวันออก ของ มหาอาณาจักรจีน ทั้งหมด

อันที่จริงแล้ว อาณาจักรชวาทวีป และ อาณาจักรเทียน(นาคน้ำ) ได้ระดมกองเรือสำเภา ของ พ่อค้าต่างๆ เข้าร่วมทำสงครามโคมคำ เพื่อหนุนช่วย มหาอาณาจักรหนานเจ้า เพื่อทำสงครามยึดครองดินแดนกลับคืน ตั้งแต่ปี พ.ศ.๔๘๖ เป็นต้นมา เป็นเหตุให้ บทบาททางการค้ากับประเทศอินเดีย จึงลดลง อย่างกะทันหัน

 สงครามครั้งนั้น กองทัพของ สหราชอาณาจักรเทียน ได้ส่งกองทัพบก เข้าขับไล่กองทัพจีน ให้ออกจาก แคว้นฉู่(อาณาจักรเสฉวน) จนสามารถยึดครอง อาณาจักรเสฉวน กลับคืน เป็นผลสำเร็จ สามารถจับขุนนางนางจีน มาเป็นเชลยศึก ได้เป็นจำนวนมาก แล้วแต่งตั้งให้ มหาราชาช้างเคียง เป็นผู้ปกครอง อาณาจักรเสฉวน(แคว้นฉู่) แล้วส่งกองทัพเข้ายึดครองแว่นแคว้นอื่นๆ กลับคืน อย่างต่อเนื่อง

      สงครามโคมคำ ภายหลังการยึดครอง อาณาจักรเสฉวน(แคว้นฉู่) กลับคืน เป็นผลสำเร็จ แล้ว ได้เกิดความขัดแย้งในหมู่ขุนนางชนชาติอ้ายไต ในประเด็นที่ว่า สมควรที่จะฆ่าเชลยศึก ขุนนางจีน ที่เข้ามาปกครอง ดินแดนต่างๆ หรือไม่? ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมา ในหมู่ แม่ทัพ ของ ชนชาติอ้ายไต เรื่อยมา และกลายเป็นต้นเหตุแห่งปัญหา ที่ทำให้ ชนชาติอ้ายไต กลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงคราม กับ มหาอาณาจักรจีน โดยที่ อาณาจักรเสฉวน(แคว้นฉู่) ได้ถูกกองทัพใหญ่ ของ มหาอาณาจักรจีน ทำสงครามยึดครองกลับคืน ในเวลาต่อมา

       กองทัพจีน ของ ฮ่องเต้จาวตี้ ยังตัดสินใจผิดพลาดหลายครั้ง เมื่อกองทัพเรือ ของ สหราชอาณาจักรเทียน แสร้งส่งกองทัพเข้าโจมตี เมืองต่างๆ ตามดินแดนชายฝั่งทะเล เป็นเหตุให้ ฮ่องเต้จาวตี้ รับสั่งให้ นำกองทัพ มาป้องกัน แว่นแคว้นต่างๆ ริมฝั่งทะเล และเมืองนครหลวง เป็นเหตุให้ มหาอาณาจักรหนานเจ้า สามารถส่งกองทัพบก เข้ายึดครองแว่นแคว้นต่างๆ บนแผ่นดินบก ที่ มหาอาณาจักรจีน เคยยึดครองไป กลับคืนมา เป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อ จักรพรรดิท้าวพินธุสาร และ นายกท้าวพันธุสาร ส่งกองทัพเรือ เข้ายึดครองเมืองต่างๆ ริมฝั่งทะเลเหลือง ทั้งสองพระองค์ สวรรคต ในสงคราม สงครามโคมคำ จึงยุติลงชั่วคราว

 หลังจากสงครามโคมคำ ครั้งนั้น ขุนหลวงโชติ ราชบุตรเขย ของ มหาจักรพรรดิท้าวโพธิสาร จึงได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่ง จักรพรรดิ ของ สหราชอาณาจักรเทียน ประจำกรุงโพธิ์นารายณ์(ยะลา) แห่ง อาณาจักรเทียน(นาคน้ำ) แทนที่ หลังจากนั้น สหราชอาณาจักรเทียน ต้องถอยทัพกลับมายังดินแดนสุวรรณภูมิ แต่ยังคงเป็นผู้ควบคุม น่านน้ำในทะเลหลวง อยู่เช่นเดิม ภายหลังสงครามโคมคำ ครั้งนั้น สหราชอาณาจักรเทียน ยังคงมุ่งเน้น ส่งพระธรรมทูต ออกทำการเผยแพร่ พระพุทธศาสนา ณ แว่นแคว้นที่ได้ทำสงครามยึดครองกลับคืนมาได้

      จนกระทั่งเมื่อ ฮ่องเต้ฮั่นบู่ตี้ สวรรคต และ ฮ่องเต้จาวตี้ ได้ขึ้นครองราชสมบัติปกครอง มหาอาณาจักรจีน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ในการครอบครองน่านน้ำทางทะเล เป็นเหตุให้ ฮ่องเต้จาวตี้ มุ่งเน้นสร้างเส้นทางการค้าทางบก ต่อไป โดยใช้กองทหาร ชาวมองโกล เป็นผู้บุกเบิกเส้นทางบก จนกระทั่ง เมื่อปี พ.ศ.๕๐๗ การขยายเส้นทางบก ของ มหาอาณาจักรจีน ต้องยุติลง เพราะกองทัพของมหาอาณาจักรจีน ได้ปะทะกับกองทหารโรมัน ณ แคว้นซอกเดีย เป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้าย กองทัพจีน พ่ายแพ้สงคราม อย่างยับเยิน ต้องถอยทัพกลับ ฮ่องเต้ พระองค์ใหม่ จึงเปลี่ยนนโยบาย ยุติการทำสงครามโคมคำ โดยการใช้นโยบายแยกสลาย อาณาจักรต่างๆ ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ออกจากการปกครองของ สหราชอาณาจักรเทียน แทนที่

       สงครามโคมคำ เกิดขึ้นอย่างยืดเยื้อ ต่อเนื่องถึง ๔ รัชกาล คือ ตั้งแต่รัชสมัย ของ มหาจักรพรรดิท้าวเทวกาล กรุงราชคฤห์(โพธาราม) , มหาจักรพรรดิท้าวพิมพิสาร กรุงกิมหลิน(โพธาราม-ราชคฤห์) , มหาจักรพรรดิท้าวโพธิสาร กรุงพันพาน รวมเวลาทั้งหมดประมาณ ๑๐๐ ปี

 

 

 

 

(๙)สมัยมหาจักรพรรดิท้าวขุนหลวงโชติกรุงโพธิ์นารายณ์(ยะลา)

 

ในรัชสมัย มหาจักรพรรดิท้าวขุนหลวงโชต(พ.ศ.๕๒๒-๕๕๒) กรุงโพธิ์นารายณ์ ซึ่ง มหาอาณาจักรจีน พยายามใช้ความสัมพันธ์ทางการทูต กับ มหาอาณาจักรหนานเจ้า มาใช้แทนที่ สงครามโคมคำ จึงได้สิ้นสุดลงเมื่อ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ประกาศเอกราช แยกออกจากการปกครองของ สหราชอาณาจักรเทียน

    ในรัชกาล มหาจักรพรรดิท้าวขุนหลวงโชติ(ขุนโชติ) นั้น เป็นเหตุการณ์ที่ ฮ่องเต้จาวตี้ สวรรคต เมื่อปี พ.ศ.๕๔๑ และ ฮ่องเต้หวางหม่าง ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ จึงเปลี่ยนนโยบาย สร้างความสัมพันธ์ทางการทูต กับ สหราชอาณาจักรเทียน และสนใจพระพุทธศาสนา แทนที่ สงครามโคมคำ จึงสิ้นสุดลง จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ.๕๔๔ ฮ่องเต้หวางหม่าง ได้เสด็จสวรรคต อย่างซับซ้อน

      จากผลของความขัดแย้งในดินแดนของ มหาอาณาจักรจีน ทำให้ ฮ่องเต้วายเอียงอ๋อง ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ แต่เนื่องจากทรงพระเยาว์ พระพันปีหลวง จึงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ระหว่างปี พ.ศ.๕๔๔-๕๕๑ และเมื่อปี พ.ศ.๕๕๒ ฮ่องเต้วายเอียงอ๋อง ได้ว่าราชการด้วยพระองค์เอง นโยบายต่อ สหราชอาณาจักรเทียน จึงได้เปลี่ยนแปลงไป และใช้นโยบายเช่นเดียวกับพระราชบิดา โดยพยายามสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต กับ สหราชอาณาจักรเทียน และสนใจพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกัน พระองค์จึงได้เสด็จสวรรคต อย่างซับซ้อน จากผลของความขัดแย้ง เช่นเดียวกัน

 

มหาอาณาจักรหนานเจ้า ประกาศเอกราช ปกครองอิสระ ปี พ.ศ.๕๔๑

การที่กองทัพจีน ของ ฮ่องเต้จาวตี้ ตัดสินใจผิดพลาด ในการทำสงครามโคมคำ หลายครั้ง ทำให้ สหราชอาณาจักรเทียน สามารถสร้างความมั่นคงให้กับ อาณาจักรต่างๆ ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า เป็นผลสำเร็จ อีกทั้ง จักรพรรดิเจ้าขุนโชติ ได้ส่งกองทัพเรือ เข้าควบคุมน่านน้ำในทะเล เป็นผลสำเร็จ อีกด้วย ทำให้ มหาอาณาจักรหนานเจ้า มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น มหาอาณาจักรจีน จึงตกอยู่ในฐานะเสียเปรียบ

ดังนั้น เมื่อ ฮ่องเต้จาวตี้ เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ.๕๔๑ และ ฮ่องเต้หวางหม่าง ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติปกครอง มหาอาณาจักรจีน ฮ่องเต้หวางหม่าง จึงได้เปลี่ยนนโยบายต่อ มหาอาณาจักรหนานเจ้า โดยมุ่งเน้นสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างลับๆ กับ มหาอาณาจักรหนานเจ้า แทนที่การทำสงครามระหว่างกัน โดยฮ่องเต้หวางหม่าง แสร้งเป็นสนใจ พระพุทธศาสนา และยังสร้าง ตราพระราชลัญจกร(ตราหยก) มาเป็นเครื่องหมายสร้างความสัมพันธ์ กับ มหาอาณาจักรหนานเจ้า อีกด้วย เป็นเหตุให้ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ประกาศเอกราช แยกตัวออกจากการปกครอง ของ สหราชอาณาจักรเทียน ตั้งตัวขึ้นเป็น มหาอาณาจักรหนานเจ้า ปกครองโดยอิสระ อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ ฮ่องเต้จาวตี้ สวรรคต เมื่อปี พ.ศ.๕๔๑ สงครามโคมคำ จึงยุติลง โดยอัตโนมัติ

เมื่อ ฮ่องเต้หวางหม่าง ขึ้นครองราชย์สมบัติ พระองค์ได้อ้างสายสัมพันธ์ทางเชื้อชาติ ระหว่างชนชาติจีน กับ ชนชาติอ้ายไต ว่าเป็นชนชาติเดียวกัน จึงมีวัฒนธรรมอันเดียวกัน มาแต่ดั้งเดิม แต่ สหราชอาณาจักรเทียน ถูกครอบงำ โดยวัฒนธรรมของประเทศอินเดีย ฮ่องเต้หวางหม่าง ได้วางแผนให้ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ส่งคณะราชทูต ไปสร้างความสัมพันธ์ กับ มหาอาณาจักรจีน โดยตรง มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ของประเทศจีน ซึ่งบันทึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว มีข้อความสั้นๆ ว่า...

   "...ปีแรกในรัชกาล ของ ฮ่องเต้หวางหม่าง(พ.ศ.๕๔๑) ประเทศเตียนเย่เจ้า(มหาอาณาจักรหนานเจ้า) ได้ส่งคณะราชทูต ไปถวายเครื่องราชบรรณาการแด่ ฮ่องเต้ ด้วย ราชทูต เป็นผู้สอนพระสูตรทางพระพุทธศาสนา ให้กับขุนนางจีน ท่องบ่น อีกด้วย..."

 หลักฐานความสัมพันธ์ทางการทูต เมื่อปี พ.ศ.๕๔๑ นั้น แสดงให้เห็นว่า ได้มีคณะราชทูต จาก ประเทศเตียนเย่เจ้า(มหาอาณาจักรหนานเจ้า) ได้ส่งคณะราชทูต ไปยัง มหาอาณาจักรจีน ตามที่กล่าวมาแล้ว แสดงให้เห็นว่า มหาอาณาจักรหนานเจ้า ไม่ยอมอยู่ภายใต้การปกครอง ของ สหราชอาณาจักรเทียน ตั้งแต่ปี พ.ศ.๕๔๑ เป็นต้นมา และเป็นโอกาสที่ มหาอาณาจักรจีน สามารถทำสงครามยึดครองดินแดนของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า กลับคืนอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่ง มหาอาณาจักรหนานเจ้า ต้องเสียดินแดน ให้กับ มหาอาณาจักรจีน จนหมดสิ้น ในเวลาต่อมา ด้วย

เมื่อ ฮ่องเต้หวางหม่าง สวรรคต อย่างมีเงื่อนงำ นั้น ฮ่องเต้วายเอียงอ๋อง ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ แต่เนื่องจากยังทรงพระเยาว์ พระพันปีหลวง จึงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ระหว่างปี พ.ศ.๕๔๔ -๕๕๑ นั้น พระพันปีหลวง เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อยู่ ๗ ปี แทนที่ พระเจ้าหลานเธอ ของ พระพันปีหลวง(มเหสีของ ฮ่องเต้หวางหม่าง) แห่งราชวงศ์ซิน จึงได้กำหนดนโยบายใหม่ของ มหาอาณาจักรจีน อีกครั้งหนึ่ง โดยพยายามสร้างความสัมพันธ์กับ สหราชอาณาจักรเทียน ด้วยเช่นกัน คือ นโยบายแยกสลายแล้ว ก่อสงคราม เพื่อให้มีชัยชนะ ในสงคราม อย่างได้ผล ในเวลาต่อมา คือที่มาของ สงครามโชกโชน และ สงครามโพกผ้าเหลือง ในเวลาต่อมา นั่นเอง

 

 

 

(๑๐)สมัยมหาจักรพรรดิท้าวขุนหลวงช่วงกรุงโพธิ์ารายณ์(ยะลา)

 

ในรัชสมัยของ มหาจักรพรรดิขุนหลวงช่วง(พ.ศ.๕๕๒-๕๘๘) กรุงโพธิ์นารายณ์(ยะลา) แคว้นเทียน นั้น  โดยมีขุนหลวงชัด แห่ง กรุงตาโกลา(กันตัง) เป็น จักรพรรดิ ในรัชกาลนี้ ฮ่องเต้วายเอียงอ๋อง แห่งราชวงศ์ซิน ได้ส่งคณะราชทูตมาเจริญสัมพันธ์ไมตรี กับ สหราชอาณาจักรเทียน เพื่อแสร้งขอยุติสงครามระหว่างกัน

หลักฐานจดหมายเหตุจีนสมัย ฮ่องเต้วายเอียงอ๋อง ซึ่งได้ขึ้นครองราชย์สมบัติเมื่อปี พ.ศ.๕๕๑ นั้น กล่าวว่า ขุนนางจีนนิยมลัทธิขงจื้อ ทราบข่าวว่า มีการผลัดแผ่นดิน ของ สหราชอาณาจักรเทียน จึงใช้ ฮ่องเต้วายเอียงอ๋อง เป็นเครื่องมือ ให้ ฮ่องเต้วายเอียงอ๋อง จัดส่งคณะราชทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับ สหราชอาณาจักรเทียน ณ กรุงโพธิ์นารายณ์(ยะลา) เป็นครั้งแรก จดหมายเหตุจีน มีบันทึกอย่างสั้นๆ ว่า..

"...ปีที่สองในรัชกาลฮ่องเต้วายเอียงอ๋อง(พ..๕๕๒) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ของฮ่องเต้ ได้ส่งคณะราชทูตไปสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต กับ เทียนก๊ก(สหราชอาณาจักรเทียน) ในดินแดนทะเลใต้..."

อย่างไรก็ตาม ภายหลังความสัมพันธ์ทางการทูตครั้งนั้น ส่งผลให้ พระพุทธศาสนา ได้แพร่หลาย เข้าไปในดินแดนของ มหาอาณาจักรจีน อย่างรวดเร็ว ทำให้ ขุนศึกอวงมั้ง ซึ่งนิยมลัทธิขงจื้อ และอยู่เบื้องหลังในการวางแผนการที่สลับซับซ้อน อ้างเป็นเหตุ ไม่พอใจต่อ ฮ่องเต้วายเอียงอ๋อง อ้างว่า ฮ่องเต้วายเอียงอ๋อง เป็นผู้ทำลายวัฒนธรรม ของ มหาอาณาจักรจีน จึงได้ก่อการรัฐประหาร และตั้งตัวเป็น ฮ่องเต้ อวงมั้ง(อวงมั้ง) โดยสามารถแย่งชิงราชย์สมบัติ เป็นผลสำเร็จ หลังจากที่ ฮ่องเต้วายเอียงอ๋อง มีการส่งคณะราชทูต ไปสร้างความสัมพันธ์กับ สหราชอาณาจักรเทียน เพื่อปฏิบัติการตามแผนการที่กำหนด ในการทำสงครามยึดครองดินแดนของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า กลับคืน อีกครั้งหนึ่ง

 

มหาอาณาจักรจีน ใช้ตราพระราชลัญจกร(ตราหยก) แยกสลาย ชนชาติอ้ายไต

      หลังจากสิ้นสุดสงครามโคมคำ และ ฮ่องเต้อวงมั้ง ขึ้นเป็น ฮ่องเต้ ของ มหาอาณาจักรจีน นั้น ฮ่องเต้อวงมั้ง ได้ใช้ตราพระราชลัญจกร(ตราหยก) คือเครื่องหมายรัฐภายใต้การอารักขา ของ มหาอาณาจักรจีน นั่นเอง ตราพระราชลัญจกร ถูกนำมาใช้ในการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต กับ อาณาจักรต่างๆ ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครอง ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า เพื่อแยกสลายอาณาจักรต่างๆ แล้วทำสงครามยึดครอง อีกครั้งหนึ่ง

       การประกาศเอกราช ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ครั้งนั้น หลายอาณาจักรของชนชาติอ้ายไต ไม่ยอมขึ้นต่อการปกครองของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ด้วย เช่น อาณาจักรไตจ้วง(กวางตุ้ง , กวางสี , กวางเจา และ ตังเกี๋ย) , อาณาจักรไตหวัน(เกาะใต้หวัน) และ อาณาจักรหูหลำ(เกาะไหหลำ) เป็นต้น ล้วนไม่ยอมขึ้นต่อการปกครอง ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า แต่เป็นอาณาจักร ที่ยอมขึ้นต่อการปกครอง ของ สหราชอาณาจักรเทียน ดังเดิม

     ต่อมาในปี พ.ศ.๕๖๖ ฮ่องเต้อวงมั้ง ก็ถูกโค่นล้มโดย ขุนศึก หลิวเซียว วานชก และเกิดราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ซึ่งเรียกว่า สมัยราชวงศ์ฮั่นกวงอู่ตี้ ซึ่งได้เลือกเอา เมืองลั่วหยาง ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของ เมืองฉางอาน มาเป็นเมืองนครหลวง นับเป็นการเริ่มต้นของ ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ซึ่งมีการใช้ ตราพระราชลัญจกร(ตรายก) มาใช้เป็นเครื่องมือในการอ้างสร้างรัฐภายใต้การอารักขา ของ มหาอาณาจักรจีน อีกครั้งหนึ่ง เจตนาเพื่อแยกสลาย อาณาจักรต่างๆ ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ก่อนการทำสงคราม รุกรานเข้ายึดครอง ดินอาณาจักรต่างๆ ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ทีละอาณาจักร อย่างต่อเนื่อง

     ดังนั้น เมื่อ มหาอาณาจักรจีน พยายามทำสงครามยึดครองดินแดน อาณาจักรไตหวัน , อาณาจักรไตจ้วง และ อาณาจักรหูหลำ ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครอง ของ สหราชอาณาจักรเทียน จึงเป็นที่มา ของ สงครามโชกโชน ในเวลาต่อมา

 

สาเหตุของ สงครามโชกโชน กับ มหาอาณาจักรจีน

สาเหตุของ สงครามโชกโชน ในสมัย สหราชอาณาจักรเทียน มีมูลเหตุมาจาก อาณาจักรเสฉวน(แคว้นฉู่) ซึ่งเป็นอาณาจักรหนึ่ง ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ขณะนั้นปกครองโดย มหาราชาขุนวังเมือง ซึ่ง สหราชอาณาจักรเทียน ได้เคยยกกองทัพไปช่วยทำสงครามขับไล่กองทัพจีน ออกไปจนสำเร็จแล้ว

ต่อมาในปี พ.ศ.๕๔๑ ขุนวังเมือง ได้ประกาศเอกราช ตั้งตัวเป็น จักรพรรดิ ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า แยกตัวออกจากการปกครอง ของ สหราชอาณาจักรเทียน ภายใต้การสนับสนุนของ มหาอาณาจักรจีน โดยใช้ อาณาจักรหนานเจ้า(หนองแส) เป็นราชธานี เป็นเหตุให้ จักรพรรดิขุนวังเมือง โปรดเกล้าให้ มหาราชาช้างเคียง เป็นมหาราชาผู้ปกครอง อาณาจักรเสฉวน ในรัชกาลถัดมา แต่ต่อมาเมื่อ ขุนศึกหลิวเซียว วานชก สามารถยึดอำนาจเป็นฮ่องเต้ ปกครอง มหาอาณาจักรจีน และเกิดราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ซึ่งเรียกว่า สมัยราชวงศ์ฮั่นกวงอู่ตี้ มหาอาณาจักรจีน จึงเริ่มทำสงครามยึดครองดินแดน ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า อีกครั้งหนึ่ง

ในรัชสมัยของ ฮ่องเต้ฮั่นกวงอู่ตี้ นั้น กลุ่มปัญญาชนจีนนิยมลัทธิขงจื้อ ได้ส่งคณะราชทูต และใช้ ตราพระราชลัญจกร(ตรายก) มาใช้เป็นเครื่องมือในการ สร้างความสัมพันธ์ทางการทูต เพื่อสร้างรัฐภายใต้การอารักขา ของ มหาอาณาจักรจีน อย่างลับๆ ต่อ อาณาจักรต่างๆ ภายใต้การปกครอง ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า เพื่อแยกสลาย อาณาจักรต่างๆ ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ก่อนการทำสงคราม รุกรานเข้ายึดครอง ดินแดนอาณาจักรต่างๆ ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ทีละอาณาจักร อย่างต่อเนื่อง

ฮ่องเต้กวงอู่ตี้ แห่ง มหาอาณาจักรจีน ได้จัดส่งคณะราชทูต ไปสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต กับ มหาราชาช้างเคียง แห่ง อาณาจักรเสฉวน ด้วย แต่ มหาราชาช้างเคียง ไม่ยอมรับตราพระราชลัญจกร(ตราหยก) ของ ฮ่องเต้ฮั่นกวงอู่ตี้ เป็นเหตุให้ ฮ่องเต้ฮั่นกวงอู่ตี้ อ้างเป็นเหตุ ส่งกองทัพเข้ายึดครอง อาณาจักรเสฉวน(แคว้นฉู่) เป็นอาณาจักรแรก ตั้งแต่ปี พ.ศ.๕๕๓ เป็นต้นมา อาณาจักรเสฉวน จึงต้องทำสงครามต่อสู้ อย่างโดดเดี่ยว

ก่อนหน้านี้ มหาราชาช้างเคียง แห่ง อาณาจักรเสฉวน(แคว้นฉู่) ได้ทำการสู้รบ กับกองทัพของ มหาอาณาจักรจีน อยู่ประมาณ ๑๐ ปี ระหว่างปี พ.ศ.๕๕๓-๕๖๓ โดยไม่มีอาณาจักรต่างๆ ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า เข้าหนุนช่วย ผลของสงคราม มหาราชาช้างเคียง สวรรคตในสงคราม จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ.๕๖๓ ฮ่องเต้ฮั่นกวงอู่ตี้ สามารถทำสงครามยึดครอง เมืองเฉิงตู ราชธานีของ อาณาจักรเสฉวน(แคว้นฉู่) เป็นของ มหาอาณาจักรจีน เป็นผลสำเร็จ ฮ่องเต้ฮั่นกวงอู่ตี้ จึงได้เปลี่ยนชื่อ อาณาจักรเสฉวน ว่า แคว้นฉู่(เสฉวน) ให้เป็นดินแดนแว่นแคว้นหนึ่ง ของ มหาอาณาจักรจีน อีกครั้งหนึ่ง

มหาอาณาจักรจีน ปกครอง แคว้นฉู่(เสฉวน) อยู่ได้ประมาณ ๓ ปี เหตุการณ์ต่อมาในปี พ.ศ.๕๖๖ มหาราชาผาใย ได้นำประชาชนชนชาติอ้ายไต ชาวเสฉวน ลุกขึ้นทำสงครามกอบกู้เอกราชสำเร็จ อีกครั้งหนึ่ง และได้ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็น มหาราชา ปกครอง อาณาจักรเสฉวน(แคว้นฉู่) เป็นอาณาจักรหนึ่ง ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า อีกครั้งหนึ่ง

ต่อมาในปี พ.ศ.๕๖๘ ซึ่งเป็นปีที่ ฮ่องเต้อวงมั้ง ขึ้นครองราชย์สมบัติอยู่ได้ประมาณ ๖ ปี นั้น ก็ได้เกิดกบฏฮั่นกวงบู๊ ขึ้นมาในดินแดนของ มหาอาณาจักรจีน อีกครั้งหนึ่ง โดย แม่ทัพฮั่นกวงบู๊ สามารถแย่งชิงอำนาจ ได้สำเร็จเมื่อปี พ.ศ.๕๖๘ เป็นเหตุให้ ฮ่องเต้อวงมั้ง ถูกนำไปสำเร็จโทษ สวรรคต ทำให้ ฮ่องเต้ฮั่นกวงบู๊ ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ(พ.ศ.๕๖๘-๕๗๙) เป็นฮ่องเต้ ของ มหาอาณาจักรจีน เป็นรัชกาลต่อมา หลักฐานของจีนบันทึกว่า ฮ่องเต้ฮั่นกวงบู๊ เริ่มทำสงครามยึดครอง อาณาจักรเสฉวน(แคว้นฉู่) อีกต่อไป

สงครามระหว่าง อาณาจักรเสฉวน(แคว้นฉู่) ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า กับ มหาอาณาจักรจีน จึงเกิดขึ้นต่อไป อีก ๑๑ ปี จนกระทั่งปี พ.ศ.๕๗๙ ฮ่องเต้ฮั่นกวงบู๊ สวรรคต ฮ่องเต้ฮั่นกวงอู่ตี้ ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ(พ.ศ.๕๗๙-๖๐๑) จนกระทั่งในปี พ.ศ.๕๗๙ ฮ่องเต้ฮั่นกวงอู่ตี้ มอบให้แม่ทัพจีน ส่งกองทัพใหญ่เข้าทำสงครามปราบปราม อาณาจักรเสฉวน เป็นผลสำเร็จ มหาอาณาจักรจีน ได้ระดมกองทัพใหญ่เข้าโจมตี สามารถยึดครอง อาณาจักรเสฉวน(แคว้นฉู่) เป็นผลสำเร็จเมื่อปี พ.ศ.๕๗๙ ทำให้ชนชาติอ้ายไต ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ คน ต้องอพยพหนีภัยสงครามลงมาทางใต้ ยังดินแดนสุวรรณภูมิ อีกครั้งหนึ่ง มีบันทึกว่า..

"...ปีแรกของรัชสมัย ฮ่องเต้ฮั่นกวงอู่ตี้(พ.ศ.๕๗๙) พระองค์ สามารถทำสงครามปราบปราม แคว้นฉู่(อาณาจักรเสฉวน) เป็นผลสำเร็จ แคว้นฉู่(อาณาจักรเสฉวน) จึงตกเป็นของ มหาอาณาจักรจีน อีกครั้งหนึ่ง ส่วนเชื้อสายเจ้าไต พร้อมไพร่พล ๑๒,๐๐๐ ครอบครัว ซึ่งไม่ยอมขึ้นต่อการปกครองของ มหาอาณาจักรจีน ได้อพยพไพร่พลประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ คน ลงมาทางใต้ ของ หนานเย่ก๊ก(มหาอาณาจักรหนานเจ้า) ..."

ต่อมา สหราชอาณาจักรเทียน โดย มหาจักรพรรดิท้าวขุนหลวงช่วง ได้ส่งคณะราชทูต หลายคณะ ไปสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต กับ มหาอาณาจักรหนานเจ้า เพื่อชี้ให้เห็นถึงกุลอุบาย ของ มหาอาณาจักรจีน ในการที่จะทำสงคราม ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนชาติอ้ายไต แต่ไม่เป็นผล

หลักฐานประวัติศาสตร์ ของ ประเทศจีน บันทึกว่า มหาอาณาจักรจีน ต้องใช้เวลาถึง ๒๖ ปี จึงสามารถทำสงครามยึดครอง อาณาจักรเสฉวน(แคว้นฉู่) เป็นผลสำเร็จ หลังจากนั้น จึงได้เกิดผู้อพยพครั้งใหญ่ เข้าสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ อีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้น มหาอาณาจักรจีน จึงเริ่มทำสงคราม ยึดครอง อาณาจักรอื่นๆ ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า อีกต่อไป จนกระทั่งได้ส่งกองทัพเข้ายึดครอง อาณาจักรต่างๆ ภายใต้การปกครอง ของ สหราชอาณาจักรเทียน ในเวลาต่อมาด้วย สงครามโชกโชน จึงเกิดขึ้น

 

สงครามกับ มหาอาณาจักรจีน ณ สมรภูมิ อาณาจักรไตจ้วง

เนื่องจาก มหาราชา แห่ง อาณาจักรไตจ้วง(กวางเจา , กวางตุ้ง , กวางสี และ ตาเกี๋ย) ไม่ยอมรับตราพระราชลัญจกร(ตราหยก) และยอมสวามิภักดิ์ต่อ ฮ่องเต้ฮั่นกวงอู่ตี้ แห่งราชวงศ์ฮั่น เป็นเหตุให้ มหาอาณาจักรจีน ส่งกองทัพใหญ่ เข้าทำสงครามยึดครองดินแดนของ อาณาจักรไตจ้วง(กวางตุ้ง กวางสี กวางเจา และ ตังเกี๋ย) โดย แม่ทัพขุนหารเสือ เป็นไส้ศึก อยู่ภายใน สงครามโชกโชน จึงเกิดขึ้น

หลักฐานประวัติศาสตร์ ของ มหาอาณาจักรจีน บันทึกว่า ในปี พ.ศ.๕๘๕ ฮ่องเต้ฮั่นกวงอู่ตี้ ได้มอบให้ ขุนศึกม้าหยวน ส่งกองทัพเข้าทำสงครามเข้าปิดล้อมเมืองนครหลวง ของ อาณาจักรไตจ้วง อยู่ ๑ ปี ก็สามารถยึดครอง อาณาจักรไตจ้วง ของ สหราชอาณาจักรเทียน เป็นผลสำเร็จ หลังจากนั้น มหาอาณาจักรจีน ได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า แคว้นหนำหาย(กวางตุ้ง , กวางสี) กลายเป็นดินแดนของ มหาอาณาจักรจีน เป็นผลสำเร็จ เพราะมี แม่ทัพขุนหาญเสือ ขุนนางของ เชื้อสายเจ้าอ้ายไต เป็นผู้ทรยศ ต่อ สหราชอาณาจักรเทียน โดยได้นำไพร่พลจำนวนประมาณ ๑๘,๐๐๐ คน ไปอ่อนน้อมต่อ ขุนศึกม้าหยวน เมื่อปี พ.ศ.๕๘๖ ดินแดนของ อาณาจักรไตจ้วง ส่วนใหญ่ จึงตกไปอยู่ภายใต้การปกครอง ของ มหาอาณาจักรจีน อีกครั้งหนึ่ง แม่ทัพขุนหารเสือ จึงกลายเป็นเจ้าผู้ครองนคร ผู้ปกครอง แคว้นหนำหาย ในเวลาต่อมา

    ต่อมา ขุนศึกม้าหยวน ได้มอบให้ ขุนหารเสือ เป็นผู้นำทาง เพื่อยกกองทัพเข้าโจมตี ทำลาย อาณาจักรยืนนาน(ยูนนาน) และ อาณาจักรหนานเจ้า(หนองแส) และ แว่นแคว้นต่างๆ ตามเส้นทางเผยแพร่พระพุทธศาสนา ทางเส้นทางบก โดยส่งกองทัพเข้าตีเมืองต่างๆ จนกระทั่ง สามารถเข้าโจมตี อาณาจักรสุวรรณโคมคำ ของ สหราชอาณาจักรเทียน จนล่มสลายไปอีกอาณาจักรหนึ่ง ประชาชนชาวพุทธ ของ อาณาจักรสุวรรณโคมคำ ต้องเสียชีวิต เป็นจำนวนมาก เนื่องจาก พระราชวังหลวง ของ อาณาจักรสุวรรณโคมคำ ถูกสร้างอย่างมั่นคง ขุนศึกม้าหยวน จึงนำเชลยศึกหลายแสนคน สร้างเขื่อนทดน้ำ กั้นแม่น้ำโขง แล้วขุดคลองเปลี่ยนทิศทาง ให้น้ำไหลเข้าเซาะกำแพงเมือง จนกระทั่ง พระราชวังหลวง ของ เมืองสุวรรณคำหลวง พังทลาย อาณาจักรสุวรรณโคมคำ จึงล่มสลายลง

    ตามหลักฐานประวัติศาสตร์ ของ มหาอาณาจักรจีน กล่าวว่า หลังจาก ขุนศึกม้าหยวน สามารถยึดครอง อาณาจักรไตจ้วง(กวางตุ้ง , กวางสี) และทำลาย อาณาจักรสุวรรณโคมคำ สำเร็จแล้ว แต่ แม่ทัพม้าหยวน ถูกประชาชนชนชาติอ้ายไต ได้ลุกขึ้นก่อกบฏ ไปทั่วทุกท้องที่ โดยไม่ยอมอยู่ภายใต้อำนาจ ของ มหาอาณาจักรจีน ผู้อพยพส่วนหนึ่ง ได้อพยพไปรวมตัวกันที่ อาณาจักรหูหลำ(เกาะไหหลำ) ในที่สุด ฮ่องเต้ฮั่นกวงอู่ตี้ ต้องส่งคณะราชทูตไปเจรจาให้ มหาราชาแห่ง อาณาจักรหูหลำ(เกาะไหหลำ) ให้ยอมสวามิภักดิ์ ต่อ มหาอาณาจักรจีน โดยดี แต่ไม่เป็นผล ฮ่องเต้ฮั่นกวงอู่ตี้ จึงรับสั่งให้นำกองทัพเข้าโจมตี อาณาจักรหูลำ(เกาะไหหลำ)จึงถูกต่อต้าน อย่างหนัก

 

สงครามโชกโชน กับ มหาอาณาจักรจีน ณ สมรภูมิ ลุ่มแม่น้ำโขง

       สงครามโชกโชน เกิดขึ้นเมื่อ ขุนศึกม้ายวน แห่ง มหาอาณาจักรจีน ได้พยายามส่งกองทัพเข้าทำสงครามยึดครอง แคว้นตาเกี๋ย(ตังเกี๋ย) ของ อาณาจักรไตจ้วง , อาณาจักรหูหลำ(เกาะไหหลำ) , อาณาจักรเก้าเจ้า(อันหนำ หรือ เวียตนามเหนือ) เมื่อปี พ.ศ.๕๘๗ แต่ สหราชอาณาจักรเทียน ได้ส่งกองทัพเข้าคุ้มครอง แว่นแคว้น และ อาณาจักรต่างๆ ที่กล่าวมา กองทัพของ ขุนศึกม้าหยวน จึงมุ่งเน้นส่งกองทัพเข้าโจมตี อาณาจักรเก้าเจ้า และ แคว้นตาเกี๋ย ของ สหราชอาณาจักรเทียน เพื่อลวงให้ กองทัพใหญ่ ของ สหราชอาณาจักรเทียน นำกองทัพใหญ่ ไปรักษา ดินแดนทางใต้ เพื่อให้กองทัพจีน สามารถยึดครอง อาณาจักรไตจ้วง(กวางตุ้ง , กวางสี) , อาณาจักรหูหลำ(เกาะไหหลำ) ให้สำเร็จตามแผนที่กำหนด เป็นที่มาให้ ขุนศึกม้าหยวน ต้องต่อแพ ติดตามไล่ฆ่าผู้อพยพ ชนชาติไต ไปตามแม่น้ำโขง ในดินแดน อาณาจักรต่างๆ แบบล้างเผ่าพันธุ์

       ตามหลักฐานประวัติศาสตร์จีน กล่าวอย่างสั้นๆ ว่า กองทัพจีน ต้องส่งกองทัพเดินทางโดยใช้แพล่องไปตามลำแม่น้ำ เพื่อเข้าโจมตีไล่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ผู้อพยพ ชนชาติไตเย่(เตียนเย่) มาถึงดินแดนของ เทียนก๊ก(สหราชอาณาจักรเทียน) แต่ต่อมา กองทัพของ เทียนก๊ก ได้ยกกองทัพเข้ามาปะทะกับ กองทัพของ ขุนศึกม้าหยวน กองทัพของ เทียนก๊ก(สหราชอาณาจักรเทียน) สามารถโจมตีแพ ของ กองทัพขุนศึกม้าหยวน แตกพ่าย ทหารจีน ถูกกองทัพ ไตเย่(ชนชาติอ้ายไต) แห่ง เทียนก๊ก(สหราชอาณาจักรเทียน) เข้าโจมตีกลับคืน กองทัพจีน ต้องล้มตายเป็นอันมาก ต้องล่าถอยกลับไปยัง แคว้นเสี่ยงให้(แคว้นอู๋) อีกครั้งหนึ่ง สงคราม ระหว่าง สหราชอาณาจักรเทียน กับ มหาอาณาจักรจีน ยืดเยื้อมาถึง รัชกาล มหาจักรพรรดิท้าวขุนหลวงชัด การรบยังคงยืดเยื้อ ต่อไปถึงรัชกาลของ มหาจักรพรรดิขุนหลวงโชก และ มหาจักรพรรดิขุนหลวงโชน

 

 อาณาจักรสุวรรณโคมคำ ของ สหราชอาณาจักรเทียน ล่มสลาย

     นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๕๘๓ เป็นต้นมา ฮ่องเต้ฮั่นกวงอู่ตี้ ได้แต่งตั้งให้ขุนศึก ม้าหยวน เป็นแม่ทัพ ยกกองทัพเข้าปราบปรามแว่นแคว้น และ อาณาจักรต่างๆ ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า อย่างต่อเนื่อง เป็นที่มาให้ มหาอาณาจักรจีน มีดินแดน เพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง

  หลักฐานประวัติศาสตร์ ของ ประเทศจีน บันทึกว่า เมื่อปี พ.ศ.๕๘๕ ฮ่องเต้ฮั่นกวงอู่ตี้ ได้มอบให้ ขุนศึกม้าหยวน ส่งกองทัพเข้าทำสงครามเข้าปิดล้อมเมืองนครหลวง ของ อาณาจักรไตจ้วง อยู่ ๑ ปี ก็สามารถยึดครอง อาณาจักรไตจ้วง ซึ่ง มหาอาณาจักรจีน เรียกชื่อใหม่ว่า แคว้นหนำหาย(กวางตุ้ง , กวางสี) เป็นของ มหาอาณาจักรจีน เป็นผลสำเร็จ เพราะมี แม่ทัพขุนหาญเสือ ขุนนางของ เชื้อสายเจ้าอ้ายไต เป็นผู้ทรยศ โดยได้นำไพร่พลจำนวนประมาณ ๑๘,๐๐๐ คน ไปอ่อนน้อมต่อ ขุนศึกม้าหยวน เมื่อปี พ.ศ.๕๘๖ ดินแดนของ อาณาจักรไตจ้วง ส่วนใหญ่ จึงตกไปอยู่ภายใต้การปกครอง ของ มหาอาณาจักรจีน อีกครั้งหนึ่ง แม่ทัพขุนหารเสือ จึงกลายเป็นผู้ปกครอง แคว้นหนำหาย ต่อมา และให้ข้อมูลต่างๆ ต่อ ขุนศึกม้าหยวน เพื่อทำสงครามยึดครอง อาณาจักรสุวรรณโคมคำ ของ สหราชอาณาจักรเทียน ด้วย

       เมื่อขุนศึกม้าหยวน สามารถยึดครอง อาณาจักรไตจ้วง เรียบร้อยแล้ว แม่ทัพขุนหารเสือ ได้นำกองทัพของ ขุนศึกม้าหยวน เข้าโจมตี อาณาจักรยูนนาน , อาณาจักรหนานเจ้า และ อาณาจักรสิบสองพันนา สำเร็จ เป็นอาณาจักรต่อๆ มา และยังยกกองทัพเข้าโจมตี อาณาจักรสุวรรณโคมคำ เป็นอาณาจักรต่อไปด้วย เพราะอาณาจักรสุวรรณโคมคำ เป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่พระพุทธศาสนา โดยทางบก ด้วย ประชาชนชาวพุทธ ของ อาณาจักรสุวรรณโคมคำ จึงเสียชีวิต เป็นจำนวนมาก ในขณะที่ ขุนศึกม้าหยวน ทำการปิดล้อมราชธานี ของ อาณาจักรสุวรรณโคมคำ ณ เมืองเชียงแสน ด้วย

       เนื่องจาก พระราชวังหลวง ของ อาณาจักรสุวรรณโคมคำ ของ สหราชอาณาจักรเทียน ถูกสร้างอย่างมั่นคง ขุนศึกม้าหยวน จึงได้นำเชลยศึก สร้างเขื่อนทดน้ำ ในแม่น้ำโขง แล้วขุดคลองเปลี่ยนทิศทาง ให้น้ำไหลเข้าเซาะกำแพงเมือง จนกระทั่ง พระราชวังหลวง ของ เมืองสุวรรณคำหลวง พังทลาย§-อาณาจักรสุวรรณโคมคำ จึงล่มสลายลงเมื่อประมาณปี พ.ศ.๕๘๘-๕๙๐ และกำเนิด อาณาจักรยวนโยนก ขึ้นมาแทนที่ ในเวลาต่อมา

 

 

 

(๑๑) สมัย มหาจักรพรรดิขุนหลวงโชก กรุงโพธิ์นารายณ์(ยะลา)

 

ในรัชสมัยของ มหาจักรพรรดิขุนหลวงโชก(พ.ศ.๕๘๘-๕๙๔) กรุงโพธิ์นารายณ์(ยะลา) นั้น เนื่องจาก ฮ่องเต้ฮั่นกวงอู่ตี้ มีนโยบายในการใช้ ตราพระราชลัญจกร(ตรายก) มาเป็นเครื่องมือในการแยกสลาย อาณาจักรต่างๆ ของ สหราชอาณาจักรเทียน ออกจากกัน เป็นที่มาให้ อาณาจักรเสี่ยงให้(แคว้นอู๋) และ อาณาจักรแมนสรวง(ใต้หวัน) ยอมสวามิภักดิ์ ต่อ ราชวงศ์ซิน และ ราชวงศ์ฮั่น ไปก่อนแล้ว ส่วน อาณาจักรไตจ้วง(แคว้นเย่) ได้เคยยอมรับ ตราพระราชลัญจกร(ตรายก) จากการผลักดัน ของ แม่ทัพขุนหารเสือ ด้วย

 

สงครามโชกโชน กับ มหาอาณาจักรจีน

เนื่องจากต่อมา กองทัพของ ขุนศึกม้าหยวน ได้นำกองทัพเข้าไปปราบปรามชนชาติอ้ายไต ที่ แคว้นตาเกี๋ย และ อาณาจักรเก้าเจ้า(เวียตนามเหนือ)แทนที่ เพื่อลวงให้กองทัพใหญ่ ของ สหราชอาณาจักรเทียน ถอนกำลังจาก แคว้นหนำหาย(กวางตุ้ง , กวางสี) ไปรักษา แคว้นตาเกี๋ย และ อาณาจักรเก้าเจ้า(เวียตนามเหนือ) เพื่อวางแผนให้ ขุนหารเสือ ส่งกองทัพ เข้ายึดครอง แคว้นหนำหาย(กวางตุ้ง , กวางสี) กลับคืน อีกครั้งหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ.๕๙๓

หลักฐานประวัติศาสตร์ ของ ประเทศเวียดนาม กล่าวถึงเหตุการณ์ในช่างเวลาที่ ขุนศึกม้าหยวน นำกองทัพเข้าไปปราบปรามชนชาติอ้ายไต ณ สมรภูมิ แคว้นตาเกี๋ย และสมรภูมิ อาณาจักรเก้าเจ้า(เวียตนามเหนือ) สรุปว่า ได้มีวีรสัตรี ๒ ท่าน คือ ตรึงจั๊ก และ ตรึงนี่ ได้ลุกขึ้นต่อต้านกองทัพของ มหาอาณาจักรจีน อย่างห้าวหาญ จนกระทั่งกองทัพจีน ต้องล่าถอยกลับไป อีกครั้งหนึ่ง

      หลักฐานประวัติศาสตร์ ของ มหาอาณาจักรจีน กล่าวว่า เชื้อสายเจ้าอ้ายไต ซึ่งไม่ยอมขึ้นต่ออำนาจ ของ มหาอาณาจักรจีน ได้อพยพไพร่พล มายังดินแดนสุวรรณภูมิ คือดินแดนของ สหราชอาณาจักรเทียน แต่กองทัพของ มหาอาณาจักรจีน ได้ส่งกองทัพเข้าขับไล่โจมตีฆ่าฟันผู้อพยพชนชาติอ้ายไต มาถึงดินแดนสุวรรณภูมิ

     ผู้อพยพส่วนหนึ่ง ต้องต่อแพ เพื่อใช้เดินทาง อพยพลงมาตามลำแม่น้ำโขง แม่น้ำอิง และแม่น้ำยม อีกส่วนหนึ่งอพยพหนีไปทางทะเล แล่นเรือลงไปทางใต้ ไปตั้งรกรากในดินแดน อาณาจักรเทียน(นาคน้ำ) และ อาณาจักรชวาทวีป(ภาคใต้ตอนบน) อีกส่วนหนึ่งได้อพยพโดยทางบก ลงมาตั้งรกราก ในดินแดนทางใต้ ในพื้นที่ของ อาณาจักรอ้ายลาว , อาณาจักรเก้าเจ้า(เวียตนามเหนือ) , อาณาจักรจุลนี(เวียตนามใต้) , อาณาจักรนาคดิน(ภาคอีสาน) และ อาณาจักรคามลังกา ด้วย

      ผลของสงครามโชกโชน ครั้งนั้น จากการที่กองทัพของ ขุนศึกม้าหยวน ได้ทำสงครามปราบปรามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนชาติอ้ายไต นั้น เมื่อถูกต่อต้านจาก กองทัพ ของ สหราชอาณาจักรเทียน การปราบปรามของ ขุนศึกม้าหยวน จึงต้องยุติลง ตั้งแต่ปี พ.ศ.๕๙๐ และเริ่มพ่ายแพ้สงคราม ต่อ สหราชอาณาจักรเทียน อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง จนกระทั่ง ปี พ.ศ.๕๙๓ ขุนหารเสือ ผู้ทรยศ สามารถนำกองทัพมาจาก อาณาจักรอ้ายลาว เข้ายึดครอง แคว้นหนำหาย(กวางตุ้ง) กลับคืน เป็นผลสำเร็จ อีกครั้งหนึ่ง สมรภูมิของสงครามโชกโชน จึงย้ายสมรภูมิ ไปอยู่ที่ อาณาจักรไตจ้วง(กวางสี , กวางตุ้ง , กวางเจา และ ตาเกี๋ย) แทนที่

สงครามโชกโชน ยืดเยื้อมาถึง ปี พ.ศ.๕๙๔ กองทัพของชนชาติอ้ายไต แห่ง สหราชอาณาจักรเทียน เริ่มตีโต้ กองทัพจีน กลับคืน กองทัพจีน พ่ายแพ้สงครามครั้งใหญ่ ด้วยถูกกองทัพของ ขุนโชก และ ขุนโชน เข้าโจมตี ต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก กองทัพจีน ของ ขุนศึกม้าหยวน จึงต้องล่าถอยกลับไป จนกระทั่งในปี พ.ศ.๖๐๑ เมื่อ ฮ่องเต้ฮั่นกวงอู่ตี้ สวรรคต หลักฐานประวัติศาสตร์ ของ มหาอาณาจักรจีน บันทึกว่า กองทัพจีน จำเป็นถอยทัพกลับ เพราะต้องเดินทางไปรับนโยบายจาก ฮ่องเต้ พระองค์ใหม่

       ผลของสงครามโชกโชน ครั้งนั้น อาณาจักรสุวรรณโคมคำ ของ สหราชอาณาจักรเทียน ล่มสลาย แต่ได้กำเนิด อาณาจักรยวนโยนก(หลวงพระบาง) ขึ้นมาแทนที่

 

ความสัมพันธ์ทางการทูต กับ มหาอาณาจักรจีน

     เมื่อ ฮ่องเต้ฮั่นกวงอู่ตี้ สวรรคต เมื่อปี พ.ศ.๖๐๑ นั้น มหาอาณาจักรจีน อยู่ในฐานะเสียเปรียบในสงครามโชกโชน กับ สหราชอาณาจักรเทียน ทุกสมรภูมิ เป็นเหตุให้ กลุ่มปัญญาชนขงจื้อ ซึ่งเป็นขุนนางจีน ได้เร่งรัดให้ ฮ่องเต้ ผู้สืบทอดราชสมบัติพระองค์ใหม่ คือ ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้ เปลี่ยนแปลงนโยบายใหม่ ก่อนที่ มหาอาณาจักรจีน จะได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้น และ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ฟื้นตัวเข้มแข็งขึ้นอีกครั้งหนึ่ง มหาอาณาจักรจีน จึงมุ่งเน้น สร้างความสัมพันธ์ทางการทูต กับ สหราชอาณาจักรเทียน ทันที

      หลักฐานประวัติศาสตร์ ของ มหาอาณาจักรจีน กล่าวว่า เมื่อ ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้ ขึ้นครองราชย์สมบัติ เมื่อปี พ.ศ.๖๐๑ นั้น พระองค์ได้ส่งคณะราชทูต มายัง สหราชอาณาจักรเทียน กรุงโพธิ์นารายณ์(ยะลา) พร้อมกับขอให้ สหราชอาณาจักรเทียน ช่วยส่งคณะสมณะทูต ไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนของ มหาอาณาจักรจีน ด้วย และในปีเดียวกัน มหาจักรพรรดิท้าวสีหราช(ขุนหลวงโชก) ได้ส่งคณะราชทูต พร้อมพระสมณทูต ไปเผยแพร่พระพุทธศาสนา และสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต กับ มหาอาณาจักรจีน เป็นครั้งแรก ในประวัติศาสตร์ ของ ชนชาติไทยในดินแดนสุวรรณภูมิ ด้วย การเผยแพร่พระพุทธศาสนา ครั้งนั้น ทำให้ ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้ เป็นฮ่องเต้องค์แรก ของ มหาอาณาจักรจีน หันมานับถือพระพุทธศาสนา อีกด้วย

 

  

 

(๑๒) สมัย มหาจักรพรรดิท้าวสีหราช กรุงโพธิ์นารายณ์(ยะลา)

 

     ในรัชสมัย ของ มหาจักรพรรดิท้าวสีหราช(พ.ศ.๕๙๔-๖๒๓) กรุงโพธิ์นารายณ์(ยะลา) นั้น ในรัชกาลนี้ มี ขุนหลวงโชน(ท้าวสิงห์ราช) ดำรงตำแหน่ง จักรพรรดิ ของ สหราชอาณาจักรเทียน ในรัชกาลนี้ มหาอาณาจักรจีน พยายามสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต กับ สหราชอาณาจักรเทียน

      ในปลายรัชกาล ได้เกิด สงครามโพกผ้าเหลือง ขึ้นในดินแดน ของ อาณาจักรอ้ายลาว ซึ่งเป็นอาณาจักร ที่ขึ้นต่อการปกครอง ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า มาก่อน แต่ถูกกองทัพของ มหาอาณาจักรจีน ทำสงครามยึดครองไป เป็นเหตุให้ ชนชาติอ้ายไต และ ชนชาติอ้ายลาว ร่วมกันทำสงครามโพกผ้าเหลือง ขับไล่กองทัพจีน ให้ออกไปจาก อาณาจักรอ้ายลาว ผลของสงครามโพกผ้าเหลือง ครั้งนั้น กองทัพใหญ่ ของ มหาอาณาจักรจีน เป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงคราม เป็นเหตุให้ อาณาจักรอ้ายลาว ตกมาอยู่ภายใต้การปกครอง ของ สหราชอาณาจักรเทียน อีกครั้งหนึ่ง

 

กำเนิด อาณาจักรยวนโยนก กรุงโยนก(หลวงพระบาง) ปี พ.ศ.๕๙๓-๕๙๔

หลังจากที่ แม่ทัพม้าหยวน แห่ง มหาอาณาจักรจีน ส่งกองทัพเข้าโจมตี อาณาจักรสุวรรณโคมคำ ของ ราชวงศ์ขอม สายราชวงศ์สิงหลวัติ จนล่มสลาย เมื่อประมาณปี พ.ศ.๕๘๘-๕๙๐ เรียบร้อยแล้ว ต่อมา กองทัพของ สหราชอาณาจักรเทียน อาณาจักรนาคฟ้า ได้ยกกองทัพเข้ามาทำสงครามขับไล่ กองทัพของ ขุนศึกม้าหยวน สามารถโจมตีแพ ของ กองทัพขุนศึกม้าหยวน แตกพ่าย หลายสมรภูมิ ทหารจีน ถูกกองทัพชนชาติอ้ายไต แห่ง สหราชอาณาจักรเทียน เข้าโจมตีกลับคืน กองทัพจีน ต้องบาดเจ็บ ล้มตาย เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ.๕๙๔ กองทัพของ มหาอาณาจักรจีน ต้องล่าถอยกลับไปยัง แคว้นหนำหาย(กวางตุ้ง , กวางสี) อีกครั้งหนึ่ง

เมื่อกองทัพของ แม่ทัพม้าหยวน แห่ง มหาอาณาจักรจีน พ่ายแพ้สงคราม ต้องถอยทัพกลับไป ยังมีพวกสายราชวงศ์เจ้าอ้ายไต ๓ พี่น้อง ซึ่งเป็นสายราชวงศ์แมนสม จาก อาณาจักรแมนจูเจ้า ซึ่งหลบหนีมาอยู่ที่ อาณาจักรไตจ้วง(กวางเจา , กวางตุ้ง , กวางสี และ ตาเกี๋ย) มีพระนามว่า "เจ้ายวน" , "เจ้าโย" และ "เจ้านก" เรียกว่า เจ้ายวนโยนก ๓ พี่น้อง พร้อมไพร่พล ได้อพยพหนีภัยสงคราม เข้ามาตั้งรกราก ณ ดินแดน ของ อาณาจักรสุวรรณโคมคำ ทำให้ประชาชนเรียกกลุ่มผู้อพยพครั้งนั้น ว่า "พวกยวน" หรือ "พวกโยนก" หรือ "พวกยวนโยนก" เป็นต้น

ต่อมา จักรพรรดิขุนหลวงเทียนสน(ขุนโชก) หรือ ท้าวสีหราช ได้มอบให้ สายราชวงศ์ยวนโยนก ร่วมช่วยกันรื้อฟื้น อาณาจักรสุวรรณโคมคำ ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และเปลี่ยนชื่อใหม่ ว่า อาณาจักรยวนโยนก โดยมีราชธานี ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจรัฐอยู่ที่ แคว้นโยนก(หลวงพระบาง) ขึ้นต่อการปกครอง กับ อาณาจักรนาคฟ้า แห่ง สหราชอาณาจักรเทียน ในระยะเริ่มสร้างบ้านแปลงเมือง จนกระทั่ง กลายเป็น อาณาจักรยวนโยนก ในที่สุด

อาณาจักรยวนโยนก ที่เกิดขึ้นใหม่ นั้น ราชธานี ตั้งอยู่ในท้องที่ เมืองหลวงพระบาง ของประเทศลาว ในปัจจุบัน เมืองราชธานี คือ เมืองโยนก แต่ต่อมา ได้เกิดสงครามกับ มหาอาณาจักรจีน อีกหลายครั้ง จนกระทั่งในสมัยของ สหราชอาณาจักรเทียนสน ราชธานี ของ อาณาจักรยวนโยนก จึงได้โยกย้าย ไปตั้งอยู่ที่ เมืองเชียงแสน อีกครั้งหนึ่ง ส่วน เมืองโยนก(หลวงพระบาง) ดั้งเดิม ได้เปลี่ยนชื่อเป็น เมืองเชียงทอง เป็นราชธานี ของ อาณาจักรอ้ายลาว แทนที่ คำสวดมนต์ คำกลอนลายลักษณ์ รอยพระบาทเบื้องขวา§-ของ พระพุทธเจ้า ได้กล่าวถึง เมืองโยนก ไว้ด้วย โดยมี บทสวดมนต์ ตอนหนึ่ง ว่า...

       "...พระศาสดาจารย์ เสด็จนิพพาน ลับแล้ว เราอาลัย เหลือรอยบาทบงสุ์ ซึ่งทรงลักขณา บรรจบ ครบห้า ประดิษฐาน โดยมี พระบาทหนึ่ง ปรากฏ อยู่เหนือบรรพต สุวรรณคีรี(ภูเขาน้ำร้อน-ไชยา) พระบาทที่สอง พระชินศรี ประดิษฐาน อยู่ที่  โยนกนคร(หลวงพระบาง) พระบาทสาม นั้นโสด อยู่เขาสุมนโกฏิ ลังกาบวร(ศรีลังกา) พระบาทสี่ ทศพล อยู่บนสิงขร ตรงกับนคร สุวรรณมาลี(ภูเขาชวาลา-คันธุลี) พระบาทห้า ภูบาล ประดิษฐาน ณ แม่น้ำนที(อยุธยา) เป็นที่ปรากฏ หมดจดด้วยดี เป็นแหล่งแห่งที่ มีสถาบัน..."

เมื่อมีการอธิบายความ บทสวดมนต์ลายลักษณ์เบื้องขวา ของ พระพุทธองค์ ก็จะอธิบายสอดคล้องตรงกันว่า มหาจักรพรรดิท้าวชินศรี(ขุนเชน) หรือ พระพุทธชินศรี แห่ง สหราชอาณาจักรเทียนสน เป็นผู้ประดิษฐ์ ขึ้น เพื่อนำไปประดิษฐานไว้ ณ ภูเขาดอยนันการี คือท้องที่เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว ในปัจจุบัน ซึ่งเคยเป็นเมืองราชธานี ของ อาณาจักรยวนโยนก ก่อนที่ ราชธานี ของ อาณาจักรยวนโยนก จะโยกย้ายไปยัง เมืองเชียงแสน ในสมัย สหราชอาณาจักรเทียนสน อีกครั้งหนึ่ง

 

ความสัมพันธ์ทางการทูต กับ มหาอาณาจักรจีน ครั้งที่ ๒ ปี พ.ศ.๖๐๑-๖๑๐

     หลักฐานประวัติศาสตร์ ของประเทศจีน กล่าวว่า เมื่อ ฮ่องเต้ฮั่นกวงอู่ตี้ สวรรคต เมื่อปี พ.ศ.๖๐๑ นั้น มหาอาณาจักรจีน อยู่ในฐานะเสียเปรียบในสงครามโชกโชน กับ สหราชอาณาจักรเทียน กลุ่มปัญญาชนขงจื้อ ซึ่งเป็นขุนนางจีน ได้เร่งรัดให้ ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้ ผู้สืบทอดราชสมบัติพระองค์ใหม่ เร่งเปลี่ยนแปลงนโยบายใหม่ ก่อนที่ มหาอาณาจักรจีน จะได้รับความเสียหายหนักขึ้น อีกทั้งเหตุการณ์ในขณะนั้น มหาอาณาจักรหนานเจ้า ได้ฟื้นตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง มหาอาณาจักรจีน จึงมุ่งเน้น สร้างความสัมพันธ์ทางการทูต กับ สหราชอาณาจักรเทียน โดยเร่งด่วน

หลักฐานประวัติศาสตร์ ของ มหาอาณาจักรจีน กล่าวว่า เมื่อ ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้ ขึ้นครองราชย์สมบัติ เมื่อปี พ.ศ.๖๐๑ นั้น พระองค์ได้ส่งคณะราชทูต มายัง สหราชอาณาจักรเทียน กรุงโพธิ์นารายณ์(ยะลา) พร้อมกับมีพระราชสาส์น ขอให้ มหาจักรพรรดิท้าวสีหราช แห่ง สหราชอาณาจักรเทียน ช่วยส่ง คณะภิกษุ สมณะทูต ไปช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนา ณ ดินแดนของ มหาอาณาจักรจีน ด้วย บันทึกดังกล่าว มีบันทึก สั้นๆ ว่า...

     "...ปีแรกในรัชกาลของ ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้(พ.ศ.๖๐๑) ฮ่องเต้ ได้ส่งคณะราชทูต ไปเจริญสัมพันธไมตรี กับ เทียนก๊ก(สหราชอาณาจักรเทียน) คณะราชทูต ได้ขอให้ เทียนก๊ก(สหราชอาณาจักรเทียน) ช่วยส่งคณะภิกษุ สมณะทูต ไปเผยแพร่พระพุทธศาสนา ณ ดินแดนของ มหาอาณาจักรจีน ด้วย..."

 ปี พ.ศ.๖๐๑ หลักฐานจดหมายเหตุจีน ยังบันทึกอีกว่า ประมาณปี พ.ศ.๖๐๑ สหราชอาณาจักรเทียน จึงแต่งคณะราชทูต ไปสร้างสัมพันธ์ไมตรี กับ ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้(พ.ศ.๖๐๐-๖๑๘) แห่ง มหาอาณาจักรจีน เป็นครั้งแรกด้วย จดหมายเหตุจีน บันทึกว่า...

 "...ปีที่ ๒ ในรัชกาลของ ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้(พ.ศ.๖๐๑) เทียนก๊ก(สหราชอาณาจักรเทียน) ได้ส่งคณะราชทูต และ คณะภิกษุ สมณะทูต ไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนของมหาอาณาจักรจีน จนกระทั่งฮ่องเต้(ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้) เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา..."

 ต่อมา ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้ ได้มอบให้คณะปัญญาชนนิยมลัทธิขงจื้อ ของ มหาอาณาจักรจีน ทำการดัดแปลงคำสอนของพระพุทธศาสนา เมื่อปี พ.ศ.๖๐๒ ให้สอดคล้องกับสังคมของ มหาอาณาจักรจีน เป็น นิกายมหายาน เพื่อสร้างความแตกต่างกับ สหราชอาณาจักรเทียนสน และเพื่อสกัดกั้นการขยายดินแดนของ สหราชอาณาจักรเทียนสน ที่อาศัยแว่นแคว้นต่างๆ ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า และชนชาติอ้ายไต ผู้นับถือพุทธศาสนา เข้ายึดครองดินแดนแว่นแคว้น ต่างๆ ซึ่งเป็นแว่นแคว้นดั้งเดิม ของชนชาติอ้ายไต กลับคืนมา ดังเดิม มหาอาณาจักรจีน จึงพยายามสร้างลักษณะร่วม กับ อาณาจักรย่อยๆ ภายใต้การปกครอง ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า ให้ไปเป็น อาณาจักร ภายใต้การอารักขา ของ มหาอาณาจักรจีน อีกครั้งหนึ่ง

ต่อมาในปี พ.ศ.๖๐๗ มีคณะราชทูต จาก มหาอาณาจักรจีน เดินทางโดยทางบก ไปสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต กับ ประเทศอินเดีย เป็นครั้งแรก จดหมายเหตุจีน บันทึกว่า...

 "...ปีที่ ๗ ในรัชกาลของ ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้(พ.ศ.๖๐๗) ฮ่องเต้ได้ส่งคณะราชทูต เดินทางโดยทางบก ไปสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับ ประเทศอินเดีย โดยนำต้นพีช และ ต้นสาลี่ ไปเป็นเครื่องราชบรรณาการ ด้วย..."

     ต่อมาในปี พ.ศ.๖๐๘ พระภิกษุ และสามเณร ชาวจีน ณ เมืองเจียงชู ใกล้ปากแม่น้ำแยงซีเกียง ของ แคว้นเสี่ยงให้(เซี่ยงไฮ้) ได้ร่วมกันสร้างวัดทางพระพุทธศาสนา ขึ้นมาในดินแดนของ มหาอาณาจักรจีน เป็นครั้งแรก อีกด้วย

หลักฐานประวัติศาสตร์ ของ มหาอาณาจักรจีน ยังกล่าวอีกว่า ในปี พ.ศ.๖๐๘ สหราชอาณาจักรเทียนสน(เทียนก๊ก) ได้ทำการส่งคณะพระภิกษุ สมณะทูต ไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนของ มหาอาณาจักรจีน ด้วย พร้อมกับนำพระพุทธรูป พร้อมพระไตรปิฎก ไปถวายแก่ ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้ อีกด้วย เป็นที่มาให้ ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้ ได้เกิดความเลื่อมใส ในพระพุทธศาสนา§-และหันมานับถือพระพุทธศาสนา ตั้งแต่นั้นมา

หลักฐานประวัติศาสตร์ของจีน บันทึกว่า เทียนก๊ก(สหราชอาณาจักรเทียน) ได้ถือโอกาสแต่งคณะราชทูต เดินทางไปสร้างสัมพันธไมตรี กับ ฮ่องเต้เม่งตี้ ของ มหาอาณาจักรจีน พร้อมกับได้จัดส่ง คณะภิกษุ พระสมณะทูต ไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนของ มหาอาณาจักรจีน พร้อมกับนำพระพุทธรูป และพระไตรปิฎก ไปถวายแก่ ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้ อีกด้วย กลุ่มปัญญาชนขุนนาง และขุนศึกจีน ซึ่งนิยมลัทธิขงจื้อ ได้มาห้อมล้อมซักถาม สนใจคำสอนในพระพุทธศาสนา จนกระทั่ง ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้ ได้เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และหันมานับถือพระพุทธศาสนา ทำให้ กลุ่มปัญญาชนขุนนาง และขุนศึกจีน ซึ่งนิยม ลัทธิขงจื้อ หันมานับถือ พระพุทธศาสนา ตั้งแต่นั้นมา

ได้ปรากฏข้อเท็จจริง ในเวลาต่อมาว่า ทาง ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้ ได้มอบให้ กลุ่มปัญญาชนขุนนาง และขุนศึกจีน ซึ่งนิยม ลัทธิขงจื้อ มาร่วมทำการศึกษา ดัดแปลงคำสอน และวิธีการ ของ พระพุทธศาสนา นำไปใช้ให้สอดคล้องกับ ลัทธิขงจื้อ จนกลายเป็น พุทธศาสนา สายลัทธิมหายาน เพื่อทำการเผยแพร่ในดินแดนของ มหาอาณาจักรจีน ตั้งแต่นั้นมา

      หลักฐานประวัติศาสตร์ ของประเทศอินเดีย บันทึกว่า หลังจากปี พ.ศ.๖๐๘ นั้น อินเดีย ได้ทำการส่งคณะภิกษุ พระสมณะทูต เดินทางไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนของ มหาอาณาจักรจีน ด้วย พร้อมกับนำพระพุทธรูป พร้อมพระไตรปิฎก ไปถวายแก่ ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้ ด้วย

       ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๖๑๐ หลักฐานประวัติศาสตร์ของจีน บันทึกว่า ได้มีพระภิกษุจากอินเดีย ๓ รูป ชื่อ พระภิกษุกัศยปะ , พระภิกษุมาตังคะ และ พระภิกษุธรรมรักษะ ได้เดินทางไปเผยแพร่พระพุทธศาสนา ณ ดินแดนของมหาอาณาจักรจีน ในรัชสมัย ฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้ พระภิกษุทั้ง ๓ รูป ได้ช่วยกันสร้าง วัดม้าขาว ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโล เมืองโลยาง อีกด้วย

 

มหาอาณาจักรจีน ส่งกองทัพทำสงครามยึดครอง อาณาจักรอ้ายลาว

     เนื่องจากในปี พ.ศ.๖๑๒ นั้น อาณาจักรอ้ายลาว ปกครองโดย มหาราชาท้าวไล จดหมายเหตุจีน บันทึกว่า ขณะนั้น อาณาจักรอ้ายลาว มีขุนนางจำนวน ๗๗ คน มีพลเมือง ๕๑,๘๙๐ ครอบครัว รวมเป็นประชาชนทั้งหมดประมาณ ๕๕๓,๗๑๑ คน ประชาชนทั้งหมด ได้หันมานับถือพระพุทธศาสนา§- แล้ว มหาอาณาจักรจีน ได้วางแผนทำสงครามยึดครอง อาณาจักรอ้ายลาว โดยใช้ตราพระราชลัญจกร(ตราหยก) มาใช้เป็นเงื่อนไขในการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตให้ อาณาจักรอ้ายลาวึดครองทำสงครามยึดครอง โดยใช้ตราพระราชลัญจกร(ตราหยก) มาใช้เป็นเงื่อนไขในการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต เพื่อสร้างเงื่อนไขทำสงค เป็นรัฐภายใต้การอารักขา ของ มหาอาณาจักรจีน เพื่อขูดรีดภาษี และสร้างเงื่อนไขทำสงครามยึดครอง ในอนาคต

โอกาส ได้เปิดให้กับ มหาอาณาจักรจีน เมื่อ มหาราชาท้าวไล สวรรคต เมื่อปี พ.ศ.๖๑๘ และ มหาราชาท้าวหงอลาว ขึ้นครองราชย์สมบัติปกครอง อาณาจักรอ้ายลาว เป็นเหตุให้ มหาอาณาจักรจีน เร่งรีบฉวยโอกาส เรียกเก็บภาษี จากประชาชนชาวลาว อย่างหนักหน่วง ทันที และเป็นเหตุให้ มหาราชาท้าวหงอลาว ต้องทำการขูดรีดภาษี จากประชาชน เพื่อส่งมอบให้กับ มหาอาณาจักรจีน ทำให้ พระราชา บางแว่นแคว้น ของ อาณาจักรอ้ายลาว ที่รู้ทันเล่ห์กล ของ ฮ่องเต้ฮั่นจางตี้ และขันทีจีน โดยเฉพาะ กลุ่มราชวงศ์ขุนเหล็ก คือ เจ้าลาวจักร(ลาวจก) ไม่เห็นชอบด้วยกับการยอมอ่อนน้อมของ มหาราชาท้าวหงอลาว แห่ง อาณาจักรอ้ายลาว เนื่องจากการขูดรีดภาษีเกลือ และภาษีเสื้อผ้า ของ มหาอาณาจักรจีน

ราชวงศ์เจ้าลาวจักร จึงได้ตั้ง กองทัพโพกผ้าเหลือง ขึ้น และประกาศ ไม่ยอมเสียภาษี ให้กับ มหาอาณาจักรจีน ตามที่กำหนด ซึ่งเป็นไปตามแผนการที่ มหาอาณาจักรจีน วางแผนไว้ทุกประการ มหาอาณาจักรจีน จึงส่งกองทัพใหญ่ ทำสงครามยึดครอง อาณาจักรอ้ายลาว ทันที สงครามโพกผ้าเหลือง จึงเกิดขึ้น

 

สงครามโพกผ้าเหลือง กับ มหาอาณาจักรจีน ณ สมรภูมิ อาณาจักรอ้ายลาว

มหาอาณาจักรจีน อ้างเหตุการณ์ การลุกขึ้นสู้ ของ ราชาเจ้าลาวจักร(ลาวจก) ส่งกองทัพใหญ่ เข้ายึดครองดินแดน อาณาจักรอ้ายลาว เป็นผลสำเร็จ เมื่อประมาณปี พ.ศ.๖๑๘ เป็นต้นมา แล้วเปลี่ยนชื่อ อาณาจักรอ้ายลาว เป็น แคว้นหงอลาว และส่งผู้ปกครองแคว้น แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เข้ามาปกครอง แคว้นหงอลาว(อาณาจักรอ้ายลาว) ตามแผนการที่กำหนด ทุกประการ สหราชอาณาจักรเทียน จึงต้องเข้าร่วมสงครามโพกผ้าเหลือง ด้วย

สงครามโพกผ้าเหลือง ณ สมรภูมิ อาณาจักรอ้ายลาว ครั้งนั้น เจ้าลาวจักร(ลาวจก) ผู้สืบสายราชวงศ์ จาก ท้าวขุนเหล็ก ได้ลุกขึ้นนำพาประชาชนชาวลาว ลุกขึ้นก่อกบฏไปทั่วดินแดน อาณาจักรอ้ายลาว ด้วยการสนับสนุน ของ มหาจักรพรรดิท้าวเทียนสน(ขุนโชก) หรือ ท้าวสีหราช แห่ง สหราชอาณาจักรเทียน มีการสร้างกองทัพขึ้น เรียกว่า กองทัพโพกผ้าเหลือง หรือ กองทัพชาวพุทธ จนกระทั่ง ขุนศึกจีน ต้องยกกองทัพใหญ่ เข้าทำสงครามปราบปราม ตั้งแต่ปี พ.ศ.๖๑๘-๖๒๑ เป็นต้นมา

เมื่อมหาจักรพรรดิท้าวสีหราช(ขุนโชก) ยกกองทัพไปถึง เมืองโยนก(หลวงพระบาง) ราชธานี ของ อาณาจักรยวนโยนก แห่ง ลุ่มแม่น้ำยม แม่น้ำอิง และ แม่น้ำโขง ปรากฏว่า กองทัพโพกผ้าเหลือง ของประชาชนชาวลาว ซึ่งนำโดย เจ้าลาวจักร(ลาวจก) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการหลอมเหล็ก ผลิตอาวุธ และเครื่องมือการผลิต ทำเลื่อยเหล็ก ได้ถูกแม่ทัพจีน ส่งกองทัพเข้าปราบปราม กองทัพโพกผ้าเหลือง ของ เจ้าลาวจักร(ลาวจก) ถูกกองทัพจีนฆ่าตาย เป็นจำนวนมาก ทำให้ เจ้าลาวจักร(ลาวจก) ซึ่งมีพระราชโอรส ๓ พระองค์ คือ เจ้าลาวก่อ , เจ้าลาวเกื้อ และ เจ้าลาวเก๊า(ลาวกาว) ต้องอพยพไพร่พลไปตั้งรกรากในดินแดน อาณาจักรยวนโยนก เป็นเหตุให้ กองทัพใหญ่ ของ มหาอาณาจักรจีน ได้ส่งกองทัพ เข้าทำสงคราม กับ อาณาจักรยวนโยนก ด้วย สงคราม ระหว่าง มหาอาณาจักรจีน กับ สหราชอาณาจักรเทียนสน จึงเกิดขึ้น อีกครั้งหนึ่ง เรียกว่า สงครามโพกผ้าเหลือง

     สงครามโพกผ้าเหลือง ณ สมรภูมิ อาณาจักรอ้ายลาว ครั้งนั้น คือพื้นฐานที่ทำให้ มหาอาณาจักรจีน แตกแยก ออกเป็น ๓ ก๊ก ในเวลาต่อมา เนื่องจาก สงครามครั้งนี้ มหาจักรพรรดิท้าวสีหราช(ขุนโชก) มีประสบการณ์ในการทำสงครามมาแล้ว เพราะได้สรุปบทเรียนจากการที่ ขุนนางจีน ซึ่งนิยม ลัทธิขงจื้อ ได้เคยทำไว้ในอดีต

    มหาจักรพรรดิท้าวสีหราช แห่ง สหราชอาณาจักรเทียน ได้วางแผน ย้อนศร สร้างความแตกแยก ขึ้นมาในหมู่ ขุนนาง และ ขุนศึกจีน จึงได้มีการวางแผนสร้าง กองทัพโพกผ้าเหลือง ขึ้นมาต่อสู้ และทำสงครามก่อกวน ทั่วดินแดนที่ มหาอาณาจักรจีน ได้เคยทำสงครามยึดครองดินแดนของ ชนชาติไต ไปครอบครองไว้ ในอดีต มหาอาณาจักรจีน จึงมิได้เรียกกองทัพ ของ สหราชอาณาจักรเทียน ครั้งนั้น ว่า กองทัพโพกผ้าเหลือง แต่กลับเรียกว่า กบฏโพกผ้าเหลือง ในเวลาต่อมา

     ผลของสงครามโพกผ้าเหลืองครั้งนั้น มหาอาณาจักรจีน เป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงคราม ต่อ กองทัพโพกผ้าเหลือง ของ สหราชอาณาจักรเทียน และ กองทัพโพกผ้าเหลือง ของ ประชาชนอาณาจักรอ้ายลาว ด้วย ภายหลังสงครามครั้งนั้น อาณาจักรอ้ายลาว จึงตกอยู่ภายใต้การปกครอง ของ สหราชอาณาจักรเทียน ตั้งแต่ปี พ.ศ.๖๒๒ เป็นต้นมา สงครามโพกผ้าเหลือง จึงขยายออกไปทั่วดินแดน ของ มหาอาณาจักรจีน ซึ่งนับถือพระพุทธศาสนา ในเวลาต่อมา จนกระทั่ง มหาอาณาจักรจีน ต้องแตกแยกออกเป็น ๓ ก๊ก ในเวลาต่อมาด้วย

 

ดินแดนเกษียรสมุทร ตกอยู่ภายใต้อำนาจ ของ สหราชอาณาจักรเทียน

   ในปลายสมัย ของ สหราชอาณาจักรเทียน ดินแดนเกษียรสมุทร ได้ตกมาอยู่ภายใต้การปกครอง ของ สหราชอาณาจักรเทียน ด้วย ดินแดนเกษียรสมุทร หมายถึง ดินแดนบริเวณหมู่เกาะสุมาตรา หมู่เกาะชวา หมู่เกาะบาหลี , เกาะบอร์เนียว และ หมู่เกาะฟิลิปินส์ ซึ่งเป็นดินแดนที่ พญาวสุเทวะ เป็นผู้สร้างรัฐขึ้นมาในดินแดน เกาะชวา เป็นครั้งแรก

       ต่อมา พระกฤษณะ(จตุคามรามเทพ) เป็นผู้สืบทอดราชย์สมบัติ และเรียกชื่อ เกาะชวา ในสมัยนั้นว่า เกาะพระกฤต เป็นดินแดนเมืองขึ้น ของ อินเดีย เรื่อยมา ต่อมา อินเดีย ได้ใช้ เกาะทมิฬอาแจ๊ะ(สุมาตรา) และ เกาะพระกฤต(เกาะชวา) สำหรับเนรเทศ ขุนนาง นักปกครองอินเดีย ผู้กระทำความผิดกฎหมา และถูกลงโทษ ให้อพยพมาตั้งรกรากในดินแดนดังกล่าว จนกระทั่งได้พัฒนากลายเป็น อาณาจักรเกษียรสมุทร โดยยังคงเป็นเมืองขึ้นของอินเดีย เช่นเดิม

       จนกระทั่ง ในสมัยของ พระเจ้าอโศกมหาราช ได้มีชนชาติกลิงค์ อพยพมาอาศัยอยู่ที่ เกาะพระกฤต(เกาะชวา) และ ชนชาติทมิฬโจฬะ อพยพมาอาศัยอยู่ที่ เกาะอาแจ๊ะ(สุมาตรา) ดินแดนอาณาจักรเกษียรสมุทร ยังคงเป็นเมืองขึ้น ของ อินเดีย เช่นเดิม

      ในสมัยของ สหราชอาณาจักรเทียน อาณาจักรเกษียรสมุทร ได้ก่อกบฏ หลายครั้ง เป็นที่ยากลำบากในการทำสงครามปราบปราม ของ อินเดีย จนกระทั่งในสมัยของ พระเจ้ากัทฟิเสสที่ ๑ ซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์ของ ราชวงศ์กุษาณะ ซึ่งมีความต้องการที่จะปลดเกษียร ดินแดนอาณาจักรเกษียรสมุทร ให้ออกไปจากความรับผิดชอบ ของ อินเดีย และมอบให้ อยู่ในการปกครอง ของ สหราชอาณาจักรเทียน เนื่องจากความสัมพันธ์ทางสายราชวงศ์

      สืบเนื่องจาก มหาจักรพรรดิท้าวสีหราช(ขุนโชก หรือ ท้าวเทียนสน)และ มหาจักรพรรดิท้าวสิงห์ราช(พระพุทธสิหิงส์) เป็นพระสหายสนิท กับ พระเจ้ากนิษกมหาราช ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เคยร่วมศึกษา พระพุทธศาสนา และโต้แย้งกัน อย่างแตกฉาน มาก่อน อีกทั้ง พระขนิษฐา ๒ พระองค์ ของ พระเจ้ากนิษกมหาราช เป็นอัครมเหสี  ของ มหาจักรพรรดิท้าวสีหราช(ขุนโชก)และ มหาจักรพรรดิท้าวสิงห์ราช อีกด้วย จึงมีความสัมพันธ์ทางเครือพระญาติวงศ์ ที่ใกล้ชิด ด้วยกัน

       เนื่องจาก ดินแดนเกษียรสมุทร(เกาะชวา และ เกาะสุมาตรา) หรือ อาณาจักรเกษียรสมุทร ซึ่งเป็นดินแดนเมืองขึ้น ของ ประเทศอินเดีย มาอย่างยาวนาน และ เกิดการกบฏ บ่อยครั้ง ดังนั้น ในรัชสมัยของ มหาจักรพรรดิท้าวเทียนสน นั้น ชนชาติทมิฬโจฬะ ซึ่งตั้งรกรากอยู่ที่ เกาะอาแจ๊ะ หรือ เกาะกาละ(เกาะสุมาตรา) และ ชนชาติกลิงค์ ซึ่งตั้งรกรากอยู่ในเกาะพระกฤต(เกาะชวา) นั้น ได้ก่อกบฏ ประกาศเอกราช แยกตัวออกจากการปกครอง ของ อินเดีย พระเจ้ากนิษกมหาราช จึงขอให้ สหราชอาณาจักรเทียน ทำสงครามปราบปราม และยกดินแดนเกษียรสมุทร ให้อยู่ภายใต้การปกครอง ของ สหราชอาณาจักรเทียน ด้วย เรียกกันว่า ปลดเกษียร ดินแดนเกษียรสมุทร ออกจากการปกครอง ของ อินเดีย

   ต่อมาเมื่อ จักรพรรดิท้าวสิงห์ราช(พระพุทธสิหิงส์) แห่ง สหราชอาณาจักรเทียน ได้ส่งกองทัพไปทำสงครามปราบปรามกบฏ ในดินแดนเกษียรสมุทร เรียบร้อยแล้ว พระองค์ ได้นำ กิ่งดอกชบา ไปปลูกไว้ตามหมู่เกาะต่างๆ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า เป็นดินแดน ของ สหราชอาณาจักรเทียน พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อหมู่เกาะต่างๆ เป็นชื่อใหม่ว่า หมู่เกาะชบาตะวันตก(หมู่เกาะสุมาตรา) , หมู่เกาะชบาตะวันออก(หมู่เกาะชวา) , หมู่เกาะชบาใน(หมู่เกาะบอร์เนียว) และ หมู่เกาะชบาเหนือ(หมู่เกาะฟิลิปินส์) ตั้งแต่ปี พ.ศ.๖๒๒ เป็นต้นมา 

      ในต้นปี พ.ศ.๖๒๓ มหาจักรพรรดิท้าวสีหราช ซึ่งประชวร สวรรคต จักรพรรดิท้าวสิงห์ราช ซึ่งเป็นพระอนุชา จึงได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ เป็น มหาจักรพรรดิ ปกครอง สหราชอาณาจักรเทียน เป็นรัชกาลถัดมา มหาจักรพรรดิท้าวสิงห์ราช จึงได้ประกาศตั้งศกศักราช ไว้เป็นอนุสรณ์ที่มีชัยในสงครามต่อ มหาอาณาจักรจีน และสามารถครอบครองดินแดนเกษียรสมุทร ด้วย มหาจักรพรรดิท้าวสิงห์ราช จึงเปลี่ยนชื่อ สหราชอาณาจักรเทียน เป็นชื่อใหม่ว่า สหราชอาณาจักรเทียนสน ตั้งแต่ปี พ.ศ.๖๒๓ เป็นต้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

                                                                                                       เชิงอรรถ

 

§- ร.ศ.ดนัย ไชยโยธา มนุษย์กับอารยธรรมในเอเชียใต้ เล่ม ๑ พ.ศ.๒๕๓๖ หน้าที่ ๑๘๒-๑๙๖

 

§-๒  หลักฐาน คัมภีร์อวทาน ของประเทศอินเดีย ได้บันทึกไว้ว่า ปี พ.ศ.๒๙๖ พระเจ้าอโศกมหาราช ได้โปรดให้เปิดกรุพระบรมธาตุ ซึ่งพระเจ้าอชาติศัตรู ได้ทรงบรรจุไว้ในพระสถูปใหญ่ด้านทิศตะวันออกของเวฬุวันวิหาร แล้วโปรดให้แบ่งส่วนพระธาตุ จัดให้มีการเดินทางเพื่อนำไปบรรจุไว้ในสถูปที่สร้างขึ้นใหม่ ตามดินแดนต่างๆ จำนวน ๘๔,๐๐๐ สถูป ต่อมาในปี พ.ศ.๒๙๗  พระเจ้าอโศกมหาราช ได้เสด็จ จาริกแสวงบุญ ในดินแดนชมพูทวีป และ ดินแดนสุวรรณภูมิ

       ตำนานบ้านเล่า ตรงข้ามวัดพระบรมธาตุไชยา กล่าวว่า พระเจ้าอโศกมหาราช ได้เสด็จมาเคารพรอยพระบาทเบื้องซ้าย ของ พระกฤษณะ ซึ่งเชื่อว่า พระกฤษณะ ได้ อวตาลมาเป็นพระพุทธองค์ และได้มาสร้างรอยพระบาทเบื้องซ้าย ไว้ ณ ท้องที่ ถ้ำพระกฤษณะ หรือ บริเวณบ่อ ๗ แห่ง ภูเขาแม่นางเอ พร้อมกับได้ก่อสร้างเจดีย์พระกฤษณะ ร่วมกับ ราชาเชียงแมนสม แห่ง แคว้นมิถิลา(ไชยา) ด้วย ส่วนพงศาวดารไทยอาหม บันทึกว่า หารคำ(พระเจ้าสุมิตร) ได้เสด็จมาด้วย พร้อมกับได้นำระบบการปกครอง รูปแบบใหม่ มาแนะนำให้กับ พระอินทร์(ท้าวกูเวร) แห่ง มหาอาณาจักรสุวรรณภูมิ ด้วย

 

§- Wilhelm Geiger(trans) The Mahavansa or The Great Chronicle of Ceylon, Pali Text Society ๑๙๖๔,p.๘๒

H. Oldenberg(ed.) Dipavamsa(London ๑๘๗๙, pp.๕๓-๕๔, ๑๗๔-๗๕ ; B.C. Law, Buddhaghosa Journal of Bombay Branch of Royal Asiatic Society, Bombay, ๑๙๔๖

ตำนานภูเขาชวาลา(ภูภิกษุ) กล่าวว่า ภิกษุณีพระนางสังฆมิตร พระราชมารดา ของ เจ้าชายสุมิตร พร้อม พระเจ้าสุมิตร(หารคำ) นำ พระสมณะทูต สายที่ ๘ คือ พระโสณะเถระ และ พระอุตมะเถระ ถูกส่งมาเผยแพร่พุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ ตามตำนานภูภิกษุ กล่าวว่า พระสมณะทูต เดินทางโดยทางเรือมายัง ภูเขาพนมเบญจา(พนมสายรุ้ง) จ.กระบี่ พร้อมกับ เจ้าชายสุมิตร มายังเมืองมิถิลา(ไชยา) ส่วนพระสมทูตทั้ง ๒ องค์ ได้ไปจำพรรษา ณ สำนักสงฆ์ภูเขาภิกษุ แคว้นครหิต(คันธุลี) หลังจากมีการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๓ ณ เมืองปาตลีบุตร เมื่อปี พ.ศ.๓๐๐ โดยมี พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ เป็นประธาน

พงศาวดารของศรีลังกา คือ ทีปวงศ์ แต่งขึ้นโดย พระเถระศรีลังกา แต่งขึ้นเป็นภาษาบาลี ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง กล่าวถึง พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังเกาะลังกา และตรัสทำนายเรื่องว่า พระมหินทร์ ผู้เป็นพระราชโอรส ของ พระเจ้าอโศกมหาราช ได้เสด็จไปเยือนเกาะลังกา และพระพุทธเจ้าทรงขับไล่พวกยักษ์ แล้วทำการประดิษฐานพระพุทธศาสนาภายในเกาะลังกา หลังจากการสังคายนาพระธรรมวินัย ครั้งที่ ๓ โดยกล่าวถึง กษัตริย์ลังกา ถึง รัชสมัยของ พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ(ร่วมสมัยกับ พระเจ้าอโศก)

หนังสือทีปวงศ์ ได้ระบุว่า พระโสณะเถระ และ พระอุตตรเถระ ได้นำพระพุทธศาสนา มาประดิษฐานยังดินแดนสุวรรณภูมิ เมื่อปี พ.ศ.๓๐๑

 

§- คาริงตัน กูดริช ประวัติศาสตร์จีน หน้าที่ ๓๑

       จดหมายเหตุจีน บันทึกว่า ฮ่องเต้ฮั่นบู่ตี้ ได้ส่งกองทัพเข้าปราบปราบผู้ก่อกบฏ ชนชาติอ้ายไต นับถือศาสนาพุทธ อย่างรุนแรง มีหลักฐานบันทึกของจีน ถึงเหตุการณ์ระหว่างปี พ.ศ.๔๓๓-๔๓๕ มีบันทึกตอนหนึ่ง ว่า...

       "...ฮ่องเต้ฮั่นบู่ตี้ ได้รับสั่งให้ทำสงครามปราบปรามชนชาติอ้ายไต(หนานเย่) ซึ่งนับถือพระพุทธศาสนา ในแคว้นฉู่(อาณาจักรเสฉวน) เพราะได้ลุกขึ้นก่อกบฏ อีกครั้งหนึ่ง ฮ่องเต้ จึงได้ส่งกองทัพเข้าปราบปราบผู้ก่อกบฏ อย่างรุนแรง ระหว่างปี พ.ศ.๔๓๓-๔๓๕ และต่อมา ฮ่องเต้ รับสั่งให้ส่งกองทัพเข้าปราบปรามแว่นแคว้นต่างๆ ของ หนานเย่ก๊ก(มหาอาณาจักรหนานเจ้า) ทางภาคใต้ อีกด้วย..."

หลักฐานจดหมายเหตุจีนซึ่งได้บันทึกการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับต่างชาติ ยังได้บันทึกถึงความพยายามเปิดเส้นทางค้าขายของ มหาอาณาจักรจีน  มีข้อความตอนหนึ่งว่า..

       "...เมื่อปี พ..๔๒๑ ฮ่องเต้(ฮั่นบู่ตี้) ได้ส่งคณะราชทูตไปติดต่อการค้ากับ รัฐบักเตรีย(อิหร่าน) ดินแดนอาณาจักรทางตะวันตก เพราะทราบว่า เทียนก๊ก (สหราชอาณาจักรเทียน) เป็นพ่อค้าคนกลางในการค้าขาย ฮ่องเต้ จึงต้องการติดต่อการค้าโดยตรง จึงส่งคณะราชทูตของจีน ให้เดินทางโดยทางบกเพื่อส่งเสริมการค้ากับ รัฐบักเตรีย(อิหร่าน) โดยตรง..."

       หลักฐานประวัติศาสตร์ ของ ประเทศจีน ได้ทำการบันทึกถึงเหตุการณ์ เมื่อปี พ.ศ.๔๕๖ อีกว่า มหาอาณาจักรจีน ยังได้พยายามสร้างเส้นทางการค้าทางทะเล จึงได้เริ่มทำสงครามยึดครองดินแดนทางใต้ ของ มหาอาณาจักรหนานเจ้า อย่างต่อเนื่อง อีกครั้งหนึ่ง หลักฐานดังกล่าว ได้กล่าวถึง มหาจักรพรรดิท้าวเทวกาล แห่ง สหราชอาณาจักรเทียน ด้วย โดยทำการบันทึกอย่างสั้นๆ มีข้อความตอนหนึ่ง ว่า...

       "...ปีที่ ๕๔ ในรัชกาลฮ่องเต้ฮั่นบู่ตี้(พ.ศ.๔๕๖) ได้ส่งกองทัพเข้าโจมตีแคว้นต่างๆ ของ เทียนก๊ก(สหราชอาณาจักรเทียน) ผู้ปกครองดินแดนทางใต้ ซึ่งขณะนั้น ปกครองโดยกษัตริย์ทรงพระนามว่า มหาจักรพรรดิท้าวเทวกาล..."

       เนื่องจาก มหาจักรพรรดิท้าวเทวกาล แห่ง สหราชอาณาจักรเทียน ได้ใช้พระพุทธศาสนา เพื่อหลอมรวมชนชาติอ้ายไต ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อชนชาวอ้ายไต ที่อยู่ภายใต้การปกครองของ มหาอาณาจักรจีน เป็นอย่างยิ่ง มีหลักฐานบันทึกจดหมายเหตุของจีนบันทึกไว้ ถึงเหตุการณ์ที่ ฮ่องเต้ฮั่นบู่ตี้ ได้ส่งขุนนางมาสืบเรื่องราวที่มีการเผยแพร่พระพุทธศาสนา เข้ามาสู่ดินแดน ของ มหาอาณาจักรจีน ระหว่าง ปี พ.ศ.๔๓๓-๔๓๕ มีบันทึกตอนหนึ่ง ว่า...

       "...ฮ่องเต้ฮั่นบู่ตี้ ได้ส่งขุนนางฮั่น มาสืบเรื่องราวที่พระพุทธศาสนา ซึ่งได้เข้าไปเผยแพร่ไปยังดินแดนจีน ซึ่งได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๔๓๓ และต่อมา ในปี พ.ศ.๔๓๕ ทำให้ชนชาติไต ซึ่งตั้งรกรากอยู่ในแคว้นฉู่(เสฉวน) ได้ลุกขึ้นก่อกบฏ อีกครั้งหนึ่ง ฮ่องเต้ จึงได้ส่งกองทัพเข้าปราบปราบผู้ก่อกบฏ อย่างรุนแรง และยังส่งกองทัพเข้าปราบปราม หนานเย่ก๊ก(มหาอาณาจักรหนานเจ้า) ทางทิศใต้ ในเวลาต่อมาด้วย..."

       นักประวัติศาสตร์ชาติตะวันตก สันนิษฐานกันว่า มหาจักรพรรดิท้าวเทวกาล ที่ปรากฏในหลักฐานประวัติศาสตร์จีน นั้น มิใช่เป็นมหาจักรพรรดิ ของ ชนชาติไทย แต่เป็นกษัตริย์ของจีนฮ่อ ซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งของชนป่าเถื่อนร้อยเผ่า ในดินแดนประเทศจีน นักประวัติศาสตร์บางท่าน ก็อ้างว่า เป็นกษัตริย์ลาว และบางท่านก็อ้างว่า เป็นกษัตริย์ของพม่า ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำสาละวิน โดยอ้างเหตุผลว่า รัฐของชนชาติไทยเพิ่งกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ ๗๐๐ ปี มาเท่านั้นเอง

       นักประวัติศาสตร์จีน ชื่อสุมาเฉียน ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับ สหราชอาณาจักรเทียน โดยเรียกชื่อว่า เทียนเย่ก๊ก(สหราชอาณาจักรเทียน) บันทึกว่า

       "..เทียนเย่ก๊ก(สหราชอาณาจักรเทียน) มีเขตแดนห่างจากเมืองคุณหมิง ลงไปทางทิศใต้ ประมาณ ๑,๐๐๐ ลี้(๕๐๐ กิโลเมตร) ประชาชนชอบขี่ช้าง ประชาชนมีหลายเผ่า ทำนา อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีเจ้านายปกครองอยู่ด้วย.."

       แสดงให้เห็นว่า รัฐของชนชาติไทย ในดินแดนสุวรรณภูมิ คือ สหราชอาณาจักรเทียน มีมานานแล้ว เพียงแต่ชาติตะวันตก จงใจสร้างประวัติศาสตร์ บิดเบือนให้เป็นอื่น เพื่อให้คนไทย ศึกษา เท่านั้น และ เพื่อการล่าอาณานิคม ในอดีต เท่านั้น

 

§-๕  จิตร ภูมิศักดิ์ ข้อเท็จจริงว่าด้วย ชนชาติขอม สำนักพิมพ์ มติชน ปี พ.ศ.๒๕๔๗ หน้าที่ ๓๔

       ตำนานสุวรรณโคมคำ กล่าวถึงการล่มสลาย ของ อาณาจักรสุวรรณโคมคำว่า พระยานาคผู้พ่อโกรธ ผู้ปกครอง อาณาจักรสุวรรณโคมคำ จึงนำไพร่พลมาจำนวน หนึ่งแสนโกฏิ(ประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ คน) แล้วพร้อมใจกันไปขุดควัก ฝั่งแม่นำ ขลนนที(แม่นำโขง) ให้ลัดไปทางทิศตะวันออก ของเมืองสุวรรณโคมคำ ทำให้เมืองนั้นพังทลายลงไปทันที

 

§-น.สพ.ชาญณรงค์ พุฒิคุณเกษม เรื่อง คัมภีร์ลายลักษณ์พระพุทธบาท พ.ศ.๒๕๔๕ หน้าที่ ๑๘

บทกลอนสวดมนต์ กลอนลายลักษณ์ พระบาทเบื้องขวา ของ พระพุทธองค์ จะใช้สวดมนต์ ในหมู่พระที่ถือศีล เคร่งครัด และพระป่า หรือพระที่ชอบจำศีลอยู่ตามเขตป่าเขา คำกลอนบทสวนมนต์นี้ ถอดคำมาจากเทปบันทึก จากการสวดมนต์ ของ พระครูโกวิทนวกาล(พ่อท่านภาส) แห่งวัดพุนพินใต้ อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี และยังมีผู้สูงอายุ อีกหลายราย สามารถสวดมนต์ บทกลอนลายลักษณ์ พระบาทเบื้องขวา ของ พระพุทธองค์ สอดคล้อง ตรงกัน เช่นกัน

       นักประวัติศาสตร์ ส่วนใหญ่ ในปัจจุบัน สันนิษฐานว่า ราชธานี ของ อาณาจักรยวนโยนก คือ เมืองโยนก ตั้งอยู่ที่เมืองเชียงแสน ในปัจจุบัน แต่จากการค้นคว้า ของ ผู้เรียบเรียง พบว่า ราชธานี เมืองโยนก เคยตั้งอยู่ที่เมืองหลวงพระบาง มาก่อน ต่อมา ในสมัย สหราชอาณาจักรเทียนสน เมื่อเกิดสงครามโพกผ้าเหลือง ณ สมรภูมิ อาณาจักรอ้ายลาว ในรัชสมัย ท้าวหงอลาว ซึ่งถูกกองทัพของ มหาอาณาจักรจีน ทำสงครามรุกราน ราชธานี ของ อาณาจักรยวนโยนก จึงย้ายไปยัง เมืองเชียงแสน ส่วน เมืองโยนก(หลวงพระบาง) เดิม ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น เมืองเชียงทอง กลายเป็นราชธานี ของ อาณาจักรอ้ายลาว แทนที่ และ อาณาจักรอ้ายลาว ได้ตกมาอยู่ภายใต้การปกครองของ สหราชอาณาจักรเทียนสน ด้วย

 

§-สกว. ศาสตราจารย์ ดร.ชลธิรา สัตยาวัฒนา สืบสานประวัติศาสตร์สังคม และ วัฒนธรรม ไป่เยว่ ศูนย์ไทย-เอเชีย ศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาสังคม วัฒนธรรม และ สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยรังสิต หน้าที่ ๒๑๘-๒๑๙

 

§-หลักฐานจดหมายเหตุจีน ซึ่งได้บันทึกเรื่องราว ของ คณะราชทูต ของ มหาอาณาจักรจีน ที่ได้เดินทางไปยัง อาณาจักรอ้ายลาว ได้กล่าวถึงเรื่องราวการนับถือพระพุทธศาสนา ของ อาณาจักรอ้ายลาว และจำนวนประชากร และพระนามของ มหาราชา มีบันทึกว่า...

 

       "...ปีที่ ๑๒ ในรัชกาลของฮ่องเต้ฮั่นเม่งตี้(พ.ศ.๖๑๒) คณะราชทูตได้เดินทางไปยังอ้ายลาวก๊ก(อาณาจักรอ้ายลาว) ซึ่งปกครองโดย มหาราชาขุนไล และรายงานว่า อ้ายลาวก๊ก มีขุนนางจำนวน ๗๗ คน มีพลเมือง ๕๑,๘๙๐ ครอบครัว รวมเป็นประชาชนทั้งหมดประมาณ ๕๕๓,๗๑๑ คน ล้วนได้หันมานับถือพระพุทธศาสนา แล้ว..."

 

 

 
Visitors: 47,291